[เรื่องสั้นตอนเดียวจบ] “พี่ชายของผมชื่อมวก” [INCEST]

Y

[เรื่องสั้นตอนเดียวจบ] “พี่ชายของผมชื่อมวก” [INCEST]

[เรื่องสั้นตอนเดียวจบ] “พี่ชายของผมชื่อมวก” [INCEST]

CROON's

Y

0
ตอน
2.47K
เข้าชม
91
ถูกใจ
5
ความคิดเห็น
4
เพิ่มลงคลัง

 

 

ผมกับพี่มวกไม่ค่อยสนิทกันมากนัก

ตั้งแต่จำความได้เขาก็แบกเป้หนึ่งใบแล้วบอกพ่อแม่ที่บ้านว่าจะไปตามหาความฝัน

เราอายุห่างกันสิบปี ตอนที่พี่ชายออกจากบ้านผมอายุได้เพียงแปดขวบเท่านั้น สิ่งสุดท้ายที่พ่อแม่เอ่ยเกี่ยวกับตัวเขาคือไม่เรียนต่อมหาวิทยาลัย และไม่เคยทำให้พ่อแม่ภูมิใจเลยสักครั้งเดียว

ทรงผมของพี่มวกแปลกประหลาดมาก เขาถักเปียเต็มหัว จนเพิ่งมารู้ภายหลังว่านั่นเป็นเทรนด์แบบหนึ่งที่นิยม ผมมักมองใครก็ตามที่ทำทรงนี้จนเหลียวหลังเพราะนึกถึงพี่ชายที่เคยมีอยู่ในความทรงจำ โดยที่บ้านไม่ได้เอ่ยถึงมานานมากแล้ว

จนวันหนึ่งที่ผมใกล้เรียนจบมัธยมปลาย พี่มวกวัยยี่สิบแปดปรากฏตัวอีกครั้ง

ในฐานะคนสิ้นไร้ไม้ตอก อับจนหนทาง หน้าตาดูซีดเซียว ผอมแห้งแรงน้อย ทรงผมตัดเกรียนสกินเฮด มองปราดเดียวรู้เลยว่าเส้นทางของพี่ชายไม่ได้ราบรื่น และคงไม่ถึงฝั่งฝัน

พ่อแม่ไม่เอ่ยอะไร คำพูดแรกที่ท่านบอกกับพี่ชายของผมนั้นคือ

“ไปอาบน้ำแล้วมากินข้าวซะสิ”

พี่ชายออกจากบ้านสิบปี ข้าวของเครื่องใช้ยังอยู่ดีเสมอมา ลึก ๆ แม้พ่อแม่จะผิดหวังกับการกระทำ แต่ก็ยังรอคอยการกลับมาของเขา

ผมเรียนจบแล้วสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ พ่อแม่ยินดีกับความสำเร็จ ปีแรกกิจกรรมของผมเยอะจนแทบไม่ได้กลับบ้าน ระยะห่างของผมกับพี่ชายยังคงเท่าเดิม

ตั้งแต่กลับมา พี่มวกไม่ทำอะไร อยู่บ้านเฉย ๆ และเกากีตาร์ตัวโปรดไปวัน ๆ

เขาไม่เคยทำหน้าที่พี่ชายที่ดีสักครั้ง และแน่นอนว่าผมรู้สึกว่าเขาเป็นเพียงคนอาศัยร่วมกับที่บ้าน

จนกระทั่งวันหนึ่งหลังจากกลับจากมหาวิทยาลัย ผมพบเขาที่ห้องนั่งเล่นกลางห้อง พร้อมกับกีตาร์ตัวโปรด

หน้าจอทีวีปรากฏเป็นคอนเสิร์ตวงดนตรีร็อคชื่อดัง พี่มวกเล่นตามและร้องพึมพำตามเพลง

วินาทีนั้นผมรู้แล้วว่าพี่ชายของตัวเองมีพรสวรรค์

แต่เป็นพรสวรรค์ที่ไม่ได้รับโอกาส

นัยน์ตาผมร้อนผ่าวจ้องมองเขาจากแผ่นหลังที่ผอมแห้ง ทำให้รู้ว่าบ่าที่บอบบางนี้ต้องแบกรับอะไรต่าง ๆ มากมาย

ผมมองเขาเปลี่ยนไป จากความสมเพชกลายเป็นความสงสาร

ทันทีที่เพลงจบลงผมปรบมือให้เขาเบา ๆ

พี่มวกสะดุ้งตัวเล็กน้อยแล้วหันมามองด้วยความประหลาดใจ

ผมยิ้มให้ ก่อนสีหน้าพี่ชายจะแดงระเรื่อเหมือนเขินอาย เรียวปากบางนั้นกระตุกยิ้มหลบสายตา มือข้างว่างเกาหัวเบา ๆ

“ร..รบกวนหรือเปล่า”

เขาถาม เป็นประโยคแรกที่เราเริ่มคุยกันในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมา

จนแทบลืมไปแล้วว่าเขาคือสมาชิกครอบครัวคนหนึ่ง

ผมส่ายศีรษะแทนคำตอบ

ไม่เลย ไม่รำคาญเลยสักนิด

เพิ่งสังเกตว่านอกจากร่างของพี่ชายจะผอมบางแล้วยังตัวเล็กกว่าที่คิด เหมือนความสูงเขาถดถอยลง หรือผมสูงขึ้นเองไม่รู้ กลายเป็นคนละคนจากในความทรงจำ พี่เคยสามารถพูดคุยได้อย่างปกติ และมีความมั่นใจตัวเองมากกว่าตอนนี้หลายร้อยเท่า

ไม่รู้เลยว่าสิบปีที่ผ่านมาพี่ชายต้องพบเจออะไรบ้าง แต่เชื่อว่ามันคงโหดร้ายจนทำให้พี่ต้องแบกหน้าซมซานกลับมาพักฟื้นที่บ้านเกิด

ครอบครัวเราไม่ใช่คนร่ำรวย พ่อแม่หาเช้ากินค่ำ ความคาดหวังในตัวลูกชายทั้งสองจึงเป็นเรื่องปกติ

ผมทรุดตัวลงนั่งโซฟาข้างพี่มวก เขาขยับหนีให้ผมทั้งที่ไม่จำเป็น

ครั้งแรกที่เราได้ใกล้กันน้อยกว่าระยะหนึ่งเมตร

จอทีวียังคงฉายคอนเสิร์ตต่อไป ผมจ้องมองเขาไปในดวงตาที่ว่างเปล่า

ครั้งหนึ่งมันเคยมีประกายระยิบระยับ ก่อนพี่มวกออกจากบ้านผมยังจำมันได้ เต็มเปี่ยมไปด้วยความฝันจนนึกอิจฉา แต่บัดนี้เหลือเพียงแต่ความมืดสนิท ราวกับสิ้นหวัง

ผมบอกเขาว่า

“เสียงพี่เพราะมากเลย ร้องให้ผมฟังอีกได้ไหม”

พริบตานั้นดวงตาไร้แสงพลันเอ่อล้นด้วยหยดน้ำใส พี่มวกยกมือขึ้นเช็ดมันอย่างลวก ๆ ก่อนยิ้มกว้าง

“ขอบคุณนะ”

แต่พี่ชายไม่ร้องให้ฟังในทันที เขาสะอื้นเล็ก ๆ ไหล่นั้นสั่นเทาราวกับลูกนก ผมได้แต่มองเขาโดยที่ไม่เอ่ยอะไรออกมา

ความเงียบปกคลุมเราสองคน ผมเอื้อมมือนั้นกอบกุมมือเขาเอาไว้ พี่มวกบีบตอบแรงจนแน่น ริมฝีปากสั่นระริกขยับเป็นประโยคที่ผมฟังออกว่ามันคือเนื้อเพลง

ความทรงจำในวัยเด็กที่ผุดขึ้นมา

ลืมไปนานราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้น

เพลงโปรดของพี่

ที่เคยร้องกับพี่บ่อย ๆ

ผมในวัยเด็กไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของพี่มวกเท่าไหร่ ความฝันที่พี่อยากเป็นนั้นผมคิดว่าเป็นความเท่ ที่วัยรุ่นมักเป็นกัน

 

ตั้งแต่วันนั้นผมกับพี่ชายเริ่มคุยกันมากขึ้น เขาเปิดใจให้ผมมากกว่าที่คิด เล่าเรื่องต่าง ๆ ที่เคยผจญภัย ด้านดีที่เขาเผชิญ จนทำให้ชีวิตนั้นดูน่าอิจฉา

พี่มวกเริ่มยิ้มมากขึ้น และกล้าที่จะร้องเพลงให้ฟัง

แต่ทว่า..

สายตาของพ่อแม่กลับดูกังวลอย่างบอกไม่ถูก

 

ผมขึ้นปีสองโดยกิจกรรมรับน้องถาโถมทำให้กลับบ้านไม่ตรงเวลา ส่วนพี่มวกเองก็รอการกลับมาของผมทุกวัน ทุกครั้งที่เปิดประตูผมมักพบเขาที่โซฟาห้องนั่งเล่นพร้อมกีตาร์เสมอ เขายิ้มและบอกว่าร้องเป็นกำลังใจให้ ซึ่งเป็นเพลงที่เขาชอบร้องให้ฟัง

ราวกับว่าเสียงเพลงของเขาเป็นสิ่งเติมเต็มในวันที่เหนื่อยล้า

“พี่ว่าพี่จะลองทำงานดูน่ะ”

เขาบอกหลังจากร้องเพลงจบ ผมดวงตาลุกวาว

“จริงเหรอพี่”

“อือ พ่อกับแม่บอกว่าไม่อยากให้อยู่บ้านเฉย ๆ เขาอยากให้พี่ออกไปข้างนอกบ้าง”

แม้จะไม่เคยเอ่ยอะไร แต่ภาระค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ใหญ่หนึ่งคนมันไม่ได้เบา ๆ เลย ทว่าพี่มวกไม่เคยใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย เสื้อผ้า รองเท้า ทุกอย่างยังคงเป็นแบบเดิมจากกระเป๋าเดินทางใบนั้นเมื่อสองปีก่อน ผมเริ่มยาวจนรวบไว้ข้างหลัง เขาทานข้าววันละสองมื้อ แค่เช้ากับเย็น กลางวันตอนอยู่คนเดียวเขาจะไม่ทำอะไร นอกจากเล่นกีตาร์ไปร้องเพลงไปวัน ๆ เท่านั้น

เพราะฉะนั้นผมจึงไม่เคยเห็นเขาหยิบจับอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน งานบ้านพี่มวกรับหน้าที่แค่ล้างจาน ส่วนอย่างอื่นผมกับแม่ช่วยกันตลอด ซึ่งระยะหลังผมรับผิดชอบซักเสื้อผ้าให้เขาและทำความสะอาดห้องให้

ห้องนอนของพี่มวกปัจจุบันเป็นห้องนอนของผม และเมื่อเขากลับมาตอนแรกเขานอนที่ว่างใต้บันได จนเมื่อไม่นานมานี้ผมจึงย้ายของทุกอย่างของเขาให้มาอยู่ด้วยกัน พี่มวกดูเกรงใจและดีใจในเวลาเดียวกัน ทั้งที่ห้องนี้เคยเป็นของตัวเองมาก่อน

ผมนึกไม่ออกหรอกว่าพี่มวกจะทำงานอะไรได้ เขาเรียนจบเพียงแค่มัธยมปลาย สิ่งที่เขาทำมีเพียงแค่การเล่นกีตาร์และร้องเพลง เหมือนชีวิตทั้งชีวิตเขาได้อุทิศให้กับสิ่งนั้นไปแล้ว

พ่อกับแม่ฝากฝังพี่มวกทำงานที่โรงงานของคนรู้จัก

วันแรกของการทำงานเขาดูตื่นเต้นมาก พี่มวกในชุดพนักงานโรงงานช่างแปลกตา ให้ความรู้สึกเหมือนช่างยนต์แต่หน้าตาดูสะอาดสะอ้านเกินไป ผมคุยหยอกล้อเขาในเวลาอาหารเช้า

“แบบนี้ใครจะร้องเพลงต้อนรับผมกลับบ้านละเนี่ย”

ผมกลั้วหัวเราะเล็กน้อย

แต่ไม่มีใครสนุกกับมัน

พี่มวกก้มหน้างุดก่อนบอกด้วยเสียงอู้อี้ว่า

“จ..จะรีบกลับมาร้องให้ฟังนะ”

น้ำเสียงช่างบางเบา แต่เต็มไปด้วยความตั้งใจ บอกตามตรงว่าตอนนั้นหัวใจผมรู้สึกพองโต ผมอมยิ้มให้กับร่างนั้นก่อนบอกตัวเองว่าพี่ชายกำลังพยายามในส่วนที่ควรทำ พ่อแม่ให้การสนับสนุน ตัวผมเองก็รู้สึกยินดีที่เขาพร้อมจะก้าวไปข้างหน้า

ทั้งที่ทุกอย่างมันควรเป็นไปตามทางที่ควรเป็น

เย็นวันนั้นผมกลับบ้านมาเร็วกว่าปกติ พ่อแม่และพี่มวกออกจากบ้านไปทำงานตั้งแต่เช้ายังไม่มีใครกลับมา ตู้ไปรษณีย์มีจดหมายฉบับหนึ่งเสียบอยู่

ผมหยิบมันออกมาราวกับเรื่องปกติ มันติดจนเป็นนิสัย และเพราะคิดว่าอยู่บ้านเดียวกันจึงไม่ต้องเกรงใจอะไรมากมาย

จดหมายฉบับนั้นเป็นซองเอกสารสีน้ำตาลมาจากบริษัทค่ายเพลงแห่งหนึ่ง

จ่าหน้าถึงพี่ชายผม

ในขณะที่กำลังจะแกะออกอ่านโดยพลการผมได้ยินเสียงข้าวของหล่นลงพื้น เมื่อหันไปพบว่าพี่มวกกำลังยืนหน้าซีดเหมือนไก่ต้ม จังหวะนั้นทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก พี่มวกปรี่เข้ามาคว้าซองเอกสารนั้นไปจากมือแล้วหนีหายขึ้นบนห้องโดยไม่บอกกล่าวอะไรสักคำ

และเย็นวันนั้นพี่มวกไม่ลงมาร้องเพลงให้ฟังเลย

ผมตัดสินใจถามพ่อกับแม่ หน้าตาของพ่อบอกบุญไม่รับ ส่วนแม่ได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

แม่บอกว่า

“พี่แกเค้ายังไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจ วัน ๆ เอาแต่จะเป็นนักดนตรี แต่งเพลงมาเป็นร้อยเป็นพันเสนอค่ายเพลงแต่เค้าไม่สนใจ นี่ไม่ใช่จดหมายฉบับแรกที่เขาปฏิเสธหรอกนะ ปล่อย ๆ ไปเถอะ เดี๋ยวก็ยอมรับความจริงเอง”

ตลอดเวลาที่อยู่บ้านพี่มวกไม่ได้เล่นกีตาร์ไปเฉย ๆ เขาแต่งเพลงทุกวัน เรียงร้อยถ้อยคำออกมาเป็นตัวโน๊ตแล้วร้องออกมาราวกับบทกวี

“แล้วแม่เคยฟังเพลงของพี่มวกแล้วหรือยัง”

“ยังหรอก แต่ถึงฟังไปแม่ก็ไม่รู้เรื่อง”

พี่มวกแต่งเพลง เรื่องนี้ผมพอรู้มาบ้าง แต่ไม่คิดว่าความตั้งใจของพี่มวกจริง ๆ หาใช่การเป็นคนเล่นดนตรี แต่เป็นนักแต่งเพลงต่างหาก

ทั้งที่มีความสามารถขนาดนั้น ทั้งที่ร้องเพลงเพราะขนาดนั้น แต่กลับไม่ได้รับการยอมรับ

หรือว่าแท้ที่จริงแล้วพี่มวกนั้นยังไม่รู้ว่าตนเหมาะที่จะทำอะไร

“แต่ก่อนที่อยู่วงในโรงเรียนก็รุ่งอยู่หรอก แต่พี่แกมันขี้อายไม่ชอบเป็นหน้าด่านร้องนำ พอย้ายไปอยู่เบื้องหลังเลยล่มไม่เป็นท่า เพื่อนในวงลาออกกันหมดจนเหลือตัวคนเดียว ไปค่ายเพลงไหนก็ปฏิเสธ สุดท้ายเลยต้องกลับมาแบบนี้ไง”

ความจริงของพี่ชายค่อยปรากฏ เรื่องราวที่เป็นต้นตอให้พี่มวกถึงกับออกจากบ้านเดินทางตามความฝัน

แม่เล่าสิ่งที่แม่รู้ ก่อนถอนหายใจออกมาอีกระลอก

“..เสียเวลาเป็นสิบปี กลับมาดันทำอะไรไม่เป็นอีก ลูกคนนี้”

ผมได้แต่เหม่อมองออกไปชั้นบน นึกถึงเรื่องราวของพี่ชาย เขาจะรู้สึกอย่างไรกับจดหมายปฏิเสธฉบับนั้น คงเจ็บปวดน่าดู แต่พี่มวกก็ยังไม่ล้มเลิกความพยายาม เขายังทำมันต่อ แม้จะต้องเสียใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า

หลังทานข้าวเย็นผมถือถาดอาหารขึ้นไปให้พี่มวกชั้นบน เขาไม่ยอมลงมากินข้าวกินน้ำ ผมรู้ว่าเขาไม่ได้โกรธ เพียงแต่เขาเสียใจ เขาไม่อยากให้ผมเห็นสภาพเขาที่โดนปฏิเสธ

เสียงสะอึกดังมาจากในห้อง ถ้าเป็นก่อนหน้านี้พี่มวกจะหายไปในห้องเก็บของเพราะไม่มีห้องของตัวเอง แต่ตอนนี้เขาหนีไปไหนไม่ได้นอกจากห้องนอน

“พี่มวก” ผมเรียก

ไม่มีเสียงตอบรับ

“ผมเข้าไปนะ” ขออนุญาต และไม่มีเสียงตอบรับอีกเช่นกัน

ผมถือวิสาสะบิดประตูปรากฏว่าไม่ได้ล็อก

เมื่อเข้าไปผมพบแผ่นหลังผอมบางกำซองเอกสารนั้นไว้แน่น

“ผมขอโทษ”

พี่มวกส่ายศีรษะ

“ม..ไม่เป็นไร พ...พี่ต่างหากที่ขอโทษ ให้เห็นตอนน่าสมเพชเข้าแล้ว”

หลังจากประตูห้องปิดลง มีเพียงเสียงฟืดฟาดราวกับคนคัดจมูกของคนตรงหน้า พี่มวกยังคงไม่หันมาหา

ตาบวมเป่ง พี่ชายคงโดนปฏิเสธจนชิน แต่กำแพงนั้นกลับพังทลายเมื่อผมมาเห็นเข้า

ยอมรับว่ารู้สึกสงสารเขาจับใจ ทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ ก่อนดึงเขาเข้ามาในอ้อมกอดเป็นเชิงปลอบ

ตัวพี่มวกเล็กจริง เป็นเพียงเนื้อหุ้มกระดูก เขาผอมบางมาก สังเกตอยู่หรอกว่าเขาเป็นพวกทานน้อย แต่ไม่คิดว่าเมื่อจับต้องแล้วจะเหมือนคนขาดสารอาหารขนาดนี้

พี่มวกไม่ต่อต้าน เขายอมซุกหน้าลงบนอกผมแต่โดยดี

และเริ่มสะอื้นไห้เสียงดัง

“พี่ขอโทษ... ขอโทษจริง ๆ”

ผมไม่รู้ว่าเขาขอโทษเรื่องอะไร ได้แต่เพียงกอดปลอบเขาในความมืด

ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมวันที่ผมชมว่าเสียงเขาเพราะจึงบ่อน้ำตาแตกได้ง่าย ตลอดชีวิตของพี่มวกคงขาดกำลังใจมานาน จนมันแห้งขอดไปในที่สุด ทุกวันนี้พี่มวกสร้างกำลังใจให้กับตัวเองจนแทบโงนเงนเต็มที

จนกระทั่งวันนั้นที่ผมจุดประกาย พี่ชายจึงลุกขึ้นสู้อีกครั้ง

แต่ผลของมันกลับไม่เปลี่ยนไป

แม้แต่นิดเดียว

ผมปล่อยให้พี่ชายร้องไห้กับผมจนกว่าจะหมดแรง เสียงสะอื้นไห้ที่มีเพียงแค่ผมได้ยิน ร่างเขาสั่นเทา ราวกับเก็บความรู้สึกมาทั้งชีวิต สิบกว่าปีที่ผ่านมานี่คงเป็นครั้งแรกที่เขาได้ปลดปล่อยมัน

ผมกอดพี่ชายผมแรงขึ้น ยิ่งกอดยิ่งรู้สึกว่าร่างเขาจะแหลกคามือ เรากอดกันกลม ไม่มีใครเคอะเขินอะไร

ความเสียใจของเขาถูกถ่ายทอดจนจิตใจผมเศร้าหมอง ไม่อยากเห็นเขาร้องไห้อีกต่อไป

“ผมจะเป็นกำลังใจให้พี่เอง พี่ทำสิ่งที่พี่อยากทำเถอะ ใครไม่เห็น ผมจะเห็นให้เอง ถ้าพี่ทิ้งมันไปเท่ากับพี่ทิ้งชีวิต ผมชอบเพลงของพี่ ดังนั้นแล้ว คิดซะว่าร้องมันเพื่อผมก็ได้”

ผมกระซิบบอกเขาด้วยความรู้สึกในใจ หมดคำพูดแล้ว นี่คืออยากให้สัมผัสได้จริง ๆ

พี่ครับ พี่อย่ายอมแพ้นะ

ผมจะอยู่เคียงข้างพี่เอง

คืนนั้นเราแทบไม่ได้นอน อันที่จริงไม่ได้นอนด้วยซ้ำ จนเช้าวันรุ่งขึ้นพี่มวกปาดหน้าขยี้ตาที่บวมเป่งผละออกจากอกแล้วบอกว่าได้เวลาไปทำงาน

เรามองหน้ากันท่ามกลางแสงแดดยามเช้าในห้องนอน

แม้จะดูซีดเซียว แต่พี่มวกยังคงยิ้มให้อย่างอิดโรย

วินาทีนั้นผมกลับรู้สึกว่าเขาช่างน่ารัก ตัวเล็กแค่นี้กลับใจสู้มากกว่าที่คิด ผิดกับผมที่ก้มหน้าก้มตาทำตามความคาดหวังของบุพการีจนกลายเป็นคนไร้ความฝัน

จำดวงตาในวันที่พี่มวกตัดสินใจออกจากบ้านไปตามความฝันได้ดี มันดูเปล่งประกายจนเชื่อว่าเขาจะประสบความสำเร็จ

ผมดึงแขนเขาเข้ามาหาตัว ใบหน้าเราห่างกันไม่ถึงคีบ

จากนั้นผมจูบไปที่ริมฝีปากของเขา

มันเฉียบเย็น แห้งกร้าน ไม่มีรสชาติใด ๆ

พี่มวกตาเบิกกว้างมองสิ่งที่เกิดขึ้น ใบหน้าเขาแดงระเรื่อคล้ายลูกตำลึงสุก ริมฝีปากอ้าพะงาบหลังจากผละออก

ผมสบตาเขาอย่างไม่ปิดบัง

ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องหลอกตัวเองอีกต่อไปแล้ว

“ผมรักพี่ และผมอยากให้เราพยายามไปด้วยกัน”

เกิดความเงียบหลายนาที สายตาพี่มวกนั้นเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง ผมไม่อธิบายเพิ่มเติม รักคือรัก ไม่รู้หรอกว่าตอนไหน แต่ความรู้สึกนั้นเป็นของจริง ผมอยากเป็นกำลังให้ อยากให้เขาประสบความสำเร็จ

ใครจะบอกว่ามันเป็นเรื่องไม่ดีก็ช่าง ไม่อยากแคร์อีกต่อไปแล้ว

สีหน้าของพี่ชายเหยเก ไม่รู้จะยิ้มหรือร้องไห้ เขาพูดแค่เพียงว่า

“ขอบคุณนะ”

แล้วขอตัวออกจากห้องไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวทำงาน

เชื่อมั่นว่าเราจะอยู่ด้วยกัน

ตลอดไป

ผมคิดแบบนั้นจริง ๆ

 

แต่ว่า..

เย็นวันนั้นผมได้รับโทรศัพท์จากแม่

สิ่งที่ท่านบอกผ่านสายนั้นทำให้ผมแทบทรุดลงไปนั่งกับพื้น

 

“...มอธตั้งใจฟังแม่ดี ๆ นะ”

 

ไม่จริง ...

 

เป็นไปไม่ได้ ...

 

ผมทิ้งทุกสิ่งอย่างอยู่ตรงนั้นวิ่งกลับบ้านด้วยหัวใจที่กำลังแตกสลาย

ความทรงจำในวันที่ร้องเพลงโปรดกับพี่ชายย้อนกลับมา

 

“ฮือออ... แม่ไม่อยากให้มอธร้องเพลงอะ... แต่มอธจะร้อง....ฮือออ แม่ไม่เข้าใจอะ”

 

“พี่มวก สักวันหนึ่งมอธอยากร้องเพลงที่พี่มวกแต่งอะ”

 

ความกดดันในวัยเด็กทำให้พี่ชายดันทุรังไม่รู้ตัว

ผมวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิต แกว่งมือสุดแรงเกิด ไม่สนใจว่าใครจะมองยังไง ตอนนี้ผมต้องรีบกลับไป

 

กลับไปหาพี่ชาย ... ที่ผมลืมเรื่องของเขาก่อนออกจากบ้านหมดไปแล้ว

 

“พี่ขอไปฝึกวิชาก่อนนะแลเวพี่จะกลับมาแต่งสุดยอดเพลงให้มอธร้องตกลงไหม”

 

คำสัญญาในวัยเด็กที่ผมไม่ใส่ใจ

แม้แต่พี่กลับมาแล้วยังไม่นึกถึงมัน

พี่ครับ ผมขอโทษ

ผมขอโทษจริง ๆ

 

ที่บ้านเต็มไปด้วยกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง เขามาด้วยชุดแปลกตาพร้อมกับตราสัญลักษณ์ที่รู้จักกันดี

ผมหน้าชา สมองตื้อ ทุกอย่างขาวโพลน

แม่ตะโกนร้องไห้เรียกชื่อเขา ส่วนพ่อพยุงแม่ด้วยสีหน้าเจ็บปวด

 

“..ฟังแม่ดี ๆ นะมอธ.. วันนี้มวกไม่ไปทำงาน แม่กลับมาอีกทีมวกก็....”

 

ฆ่าตัวตาย ...

ในห้องนอนของเขา

เจ้าหน้าที่ชุดหมีส้มกับชุดกรมท่าช่วยกันแบกห่อผ้าขาวขนาดสองคนหามลงมาจากชั้นบนขึ้นหลังรถ

ทันทีที่ร่างของเขาจากไป ผมจำได้ว่าตัวเองสติแตกร้องไห้หนักกว่าแม่และทุกคนรวมกัน

 

#######################

 

“..ขอบคุณที่ให้พื้นที่พวกเราในวันนี้นะครับ”

ผมกล่าวขอบคุณแขกผู้ร่วมงานทั้งหมด

พวกเขาคือนักโทษในเรือนจำกลาง ทุกคนมีทรงผมและสีหน้าแบบเดียวกัน และอยู่ในชุดสีอึมครึม

บรรยากาศที่สัมผัสได้ ว่าพวกเขาไร้อารมณ์ร่วม ดวงตาทุกคนไร้ความฝัน สิ้นหวังในชีวิต

ผมได้รับอนุญาตพิเศษให้เข้ามาแสดงสดดนตรีเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจเนื่องในวันเกิดของคนนั้น มีนักข่าวตามมาทำข่าวหลายสำนัก ผมทำได้เพียงส่งยิ้มให้อย่างเคยชิน

ถามว่าทำไมต้องเป็นที่นี่ ผมตอบไม่ได้ คงเพราะแววตาของคน ๆ นั้นในวันนั้นคล้ายกับพวกเขาเหล่านี้

ช่วงเวลาสิบปีที่พี่มวกออกจากบ้าน เขาเคยถึงขั้นตกอับจนถึงขั้นข้องเกี่ยวกับยาเสพติด และนี่คือสถานที่สุดท้ายที่เขาอยู่ก่อนเขาตัดสินใจกลับบ้าน นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมทรงผมเขาถึงสั้นเกรียน ไม่มีความเป็นนักดนตรีแต่เดิม พ่อกับแม่เลือกที่จะปิดปากไม่ยอมบอกอะไรทั้งสิ้น และยอมให้เขากลับมาอยู่บ้านทำงานกิ๊กก๊อกเพราะมีประวัติติดตัว

พี่คงรู้ตัวว่าความฝันของตนได้พังทลายไปนานแล้ว แต่ยังเลือกที่จะดันทุรังต่อไป

ฟางเส้นสุดท้ายของพี่คือผม

แม่ยื่นอัฐิของพี่ให้ผมเก็บติดตัว โดยบอกว่า

“มวกคงอยากอยู่กับมอธมากกว่า”

กว่าผมจะตัดสินใจเก็บกวาดของพี่มวกในห้องนั้นใช้เวลาเกือบสองปี ยิ่งเขาจากไปความทรงจำในวัยเด็กเริ่มเด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ บางวันถึงกับฝันราวกับย้อนวันนั้นไปอีกครั้ง เหมือนเวลาของผมยิ่งถอยหลังกลับไปเรื่อย ๆ

ของพี่มวกมีไม่เยอะ และเก่ามาก แต่มีกระเป๋าใบหนึ่งที่ผมไม่เคยได้เห็น

มันคือโน๊ตเพลงที่พี่ชายแต่งขึ้นมาตลอดชีวิตของเขา

มีรอยขีดฆ่า รอยแก้มากมาย รวมถึงจดหมายตีกลับปฏิเสธจากค่าย ทุกฉบับ

ผมอ่านทุกอย่างด้วยมือสั่นเทา ไม่เพียงแค่เลขสิบ แต่เป็นร้อย ๆ เพลงที่พี่มวกเขียนมันขึ้นมา ทุกที่ล้วนปฏิเสธมันอย่างไม่ใยดี

พี่มวกไม่ทิ้งอะไรไว้ให้ผมเลยแม้แต่จดหมาย

ไดอารี่เขาก็ไม่เขียน

ผมจึงแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลยสักนิดเดียว

 

ผมยิ้มให้นักโทษทุกคนด้วยความจริงใจ

“ผมเชื่อมั่นว่าทุกคนยังมีพรุ่งนี้” มันไม่สายเกินไปหรอก ที่จะลงมือมันอีกครั้ง

แต่ว่า...

“หากเหนื่อยให้พักก่อน แล้วค่อยจูงมือกับคนที่รักก้าวไปด้วยกันนะครับ”

เพลงสุดท้ายเริ่มบรรเลง เป็นบทเพลงที่ผมชอบมากที่สุดในบรรดาเพลงที่พี่มวกแต่ง

โน๊ตเพลงเหล่านั้นผมเอาไปยื่นเสนอค่ายเพลงอีกครั้ง จนกระทั่งค่ายเพลงเล็ก ๆ ค่ายหนึ่งสนใจไปเรียบเรียงใหม่โดยให้ผมเป็นคนถ่ายทอดมันออกมา

ความฝันของพี่มวกเป็นจริง แม้เจ้าตัวจะไม่ทันได้เห็นความสำเร็จนั้นก็ตาม

เขาส่งต่อความฝันนั้นให้ผมได้สานต่อจนถึงทุกวันนี้

และผมอยากทำให้มันเป็นประโยชน์มากที่สุด

ผมหันไปมองเพื่อนร่วมวงแล้วค่อยเอ่ยปากร้อง

ด้วยทำนองที่เต็มไปด้วยความหวัง ความฝัน และพลังแห่งชีวิต

 

ผมกำจี้สร้อยคอบรรจุอัฐิของพี่มวกพร้อมกับน้ำตาที่ไหลริน

ผมทำตามสัญญาแล้วนะ

 

พี่ครับ ได้ยินหรือเปล่า ?

 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว