เครื่องปรับอากาศที่ทำงานอย่างหนักเพื่อต่อสู้กับอากาศร้อนและมลพิษในกรุงเทพฯ ทำให้ห้องทำงานบนตึกสูงเสียดฟ้ายังคงเย็นฉ่ำ หากคนที่กำลังเผชิญหน้ากันในห้องนั้นไม่ได้อารมณ์เย็นลงเลย
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน แกทำแบบนี้ทำไมคณิน” นายพงษ์สิริตวาดใส่บุตรชายเสียงดัง ในขณะที่คณินได้แต่ก้มเก็บเอกสารที่ถูกเขวี้ยงเกลื่อนพื้นขึ้นมา ก่อนจะยื่นให้บิดาอีกครั้ง
“ผมกำลังพิสูจน์ตัวเองให้คุณพ่อเห็นไงครับว่า ผมสามารถยืนด้วยลำแข้งตัวเองได้”
“หึ! ยืนด้วยลำแข้งตัวเองได้งั้นเรอะ ไอ้การที่แกไปตั้งบริษัทสั่วๆกับเมียน้อยแก แล้วตั้งใจทำโปรเจ็กต์ขึ้นมาแข่งกับลูกในไส้ของแกเองเนี่ย มันคือการพิสูจน์ตัวเองของแกใช่มั้ย! แกบอกฉันหน่อยได้ไหมว่า ความคิดชั่วๆนี่มันมาจากหัวกลวงๆของแก หรือจากขี้ในสมองของนังเมียน้อยของแก ..หา!”
คณินจ้องบิดาด้วยสายตาแดงก่ำอย่างเสียใจและเจ็บใจที่ถูกพ่อของตัวเองด่าว่าอย่างรุนแรง ก่อนจะกัดฟันตอบไปอย่างทิฐิและต้องการเอาชนะ
“ผมจะทำให้พ่อได้เห็นว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่พ่อกล่าวหาผม ผมกับนิอรไม่ได้มีเจตนาอื่นนอกจากต้องการออกไปพิสูจน์ตัวเอง”
“เพราะแกเป็นแบบนี้ไงคณิน แกยังคิดจะให้ฉันไว้ใจ ให้แกทำหน้าที่ประธานบริษัทต่อจากฉันได้ยังไง ตราบใดที่แกยังถูกเมียจูงจมูกอยู่แบบนี้!”
“ผมไม่ได้เป็นแบบนั้น! คุณพ่อคอยดูผมก็แล้วกัน บริษัทของผมจะประสบความสำเร็จ พ่อจะได้รู้สักทีว่าผมเลือกเมียไม่ผิด!”
คณินประกาศต่อหน้าบิดาของตนก่อนจะหันหลังเดินออกไปจากห้องทันที ทิ้งให้นายพงษ์สิริได้แต่ทุบโต๊ะอย่างโกรธจัด ที่ลูกชายของตัวเองยังคงงมงายกับผู้หญิงที่ไม่เคยทำให้ชีวิตของครอบครัวดีขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว..
นายคณินที่กลับออกมาจากบริษัท เพียงธำรง ขับรถตรงไปยังอาคารสำนักงานแห่งใหม่ที่ตนเช่าเอาไว้ ก่อนจะรีบตรงไปหาภรรยาที่กำลังสนทนากับชายสูงวัยที่เขาเคยเจอเพียงครั้งเดียวในวันแถลงข่าวโครงการที่หัวหิน
“สวัสดีครับ กำนันไพบูลย์ ผมเข้ามาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่าครับ”
คณินทัก พลางเป็นฝ่ายยกมือไหว้ชายสูงวัยที่แม้จะแก่กว่าเขาไม่เท่าไหร่ หากด้วยกิตติศัพท์ที่นางนิอรเคยเล่าเอาไว้ว่าเป็นผู้มีอิทธิพลในจังหวัดพิษณุโลก ทำให้เขาต้องยอมแสดงความนอบน้อมต่ออีกฝ่ายเพื่อผลประโยชน์ที่กำลังจะเกิดขึ้น
“ไม่เลยคุณคณิน ผมกำลังคุยกับคุณนิอรเรื่องที่ดินอยู่พอดี ได้ข่าวว่าทางคุณต้องการที่ดินไปทำห้างคอมเพล็กซ์ ไอ้ผมเองก็มีที่ดินที่พิษณุโลกอยู่หลายแปลง คงจะพอแบ่งขายให้พวกคุณได้”
“เป็นข่าวดีจริงๆครับ นิอร..คุณนี่เก่งจริงๆเลยที่รัก เดี๋ยวผมจะรีบติดต่อคุณพัฒนาหุ้นส่วนของเรา แล้วจะรีบเอาโครงการนี้ไปเสนอแบงค์ คราวนี้คุณพ่อจะได้รู้สักทีว่าผมไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านปรามาสเอาไว้”
“นิบอกแล้วไงคะ ว่านิจะสู้ไปกับคุณ ไม่ว่าจะมีอุปสรรคมากมายแค่ไหน นิจะไม่ยอมแพ้ค่ะ”
นิอรเอ่ยพลางส่งยิ้มหวานให้สามี ก่อนจะหันมาสบตากับชายชราที่นั่งมองละครฉากใหญ่อย่างนึกสนุกในใจ ...ผัวโง่อย่างนี้นี่เอง เจ้าหล่อนถึงกล้ามาเจรจาต่อรองกับคนอย่างเขาแบบถึงลูกถึงคน!
“พวกเราไปหาร้านดีๆฉลองกันดีกว่าครับ ผมเป็นเจ้าภาพเองถือว่าเป็นการเริ่มต้นมิตรภาพที่ดีของพวกเราด้วย ไปนะครับกำนัน"
“ด้วยความยินดีครับคุณคณิน แด่การเริ่มต้นที่ดีของพวกเรา” กำนันไพบูลย์เอ่ยทวน ราวกับต้องการย้ำคำพูดท้ายกับนางนิอรเป็นพิเศษ ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเมื่ออีกฝ่ายตอบรับด้วยรอยยิ้มที่หวานหยดเป็นพิเศษ
.................................
กว่าที่เรื่องที่ดินจะจัดการเสร็จเรียบร้อยลง ทั้งหมดก็เสียเวลากับการตระเวนอยู่ที่ตัวจังหวัดทั้งวัน ซึ่งกว่าจะแยกย้ายกันกลับบ้านได้ก็เกือบค่ำ พงศ์พิชชาเองแม้ว่าจะไม่ได้เตรียมใจมาก่อนว่าจะต้องเสียที่ดินในมือให้กับผู้เป็นเพื่อนสนิท หากด้วยความไว้ใจและเชื่อใจในตัวใกล้รุ่ง ทำให้พงศ์พิชชาไม่นึกเสียดายที่ดินในตัวเมืองผืนสุดท้ายของตนเอง
“สุดท้ายฉันก็ขายที่ให้แกจนได้นะรุ่ง คราวนี้แกก็ไม่ต้องกลัวเรื่องที่ใครจะมาขู่ให้ออกไปจากไร่อีกแล้ว เสียแต่ว่าที่ดินผืนนี้มันแพงกว่าที่ฉันเคยจะขายให้แกเยอะ”
“ขอบใจมากไอ้ชา”
“แล้วถ้าแกไม่มีเงิน แกก็มาคุยกับฉันตรงๆ ที่ฉันยอมขายที่ผืนนี้ให้แก ก็เพราะอยากให้แกกับพี่ดงมีที่ดินเป็นของตัวเองเป็นหลักแหล่ง และหวังว่าแกคงจะไม่เอาไปขายต่อให้ใคร”
พงศ์พิชชาเอ่ยพลางเหลือบตาไปยังผู้หญิงร่างเล็กอีกคนที่ยืนยิ้มอารมณ์ดีเป็นพิเศษ จนไม่ได้สังเกตว่าผู้เป็นเพื่อนหน้าเจื่อนลงในขณะที่รับปากเบาๆ
“อืม ฉันจะพยายาม”
...................................................
คะนึงนิจเอาโฉนดที่ดินมากอดเอาไว้อย่างดีใจพลางหันไปบอกกับพี่ชายที่เดินมาหาสองสาวที่นั่งรอเขาอยู่ใต้ถุนบ้านในระหว่างรอเขาเอารถไปเก็บ
“นิดดีใจจังเลยค่ะพี่นุด ในที่สุดเราก็จะมีที่ดินทำโครงการคอมเพล็กซ์กันเสียที”
“นี่ยัยนิด พี่ไม่เห็นด้วยนะ ทำไมต้องให้รุ่งไปหลอกคุณพงศ์พิชชาเขาแบบนั้นด้วย” คณุตม์ตำหนิน้องสาวเสียงเข้มหากคะนึงนิจยังคงลอยหน้าตอบอย่างไม่กลัว
“หลอกที่ไหนกันคะ อีตาพงศ์พิชชานั่นหลอกนิดก่อนต่างหาก เมื่อวานเขาบอกว่าเขาจะขายที่ให้นิด แต่พอวันนี้เขาดันทำสัญญามาขายให้รุ่ง นิดก็แค่ให้รุ่งซื้อเอาไว้...แค่นั้นเอง”
“พูดมาให้หมดยัยนิด” พี่ชายคาดโทษอย่างจริงจัง คะนึงนิจจึงยอมเอ่ยต่อโดยที่ใกล้รุ่งได้แต่ทำหน้าลำบากใจ
“ก็พอรุ่งจะซื้อ นิดก็จะให้รุ่งยืมเงินก่อน หลังจากที่โอนกรรมสิทธิ์แล้ว พี่นุดก็ค่อยขอแบ่งที่ดินจากรุ่งไปทำโครงการก็ได้ เพราะพี่นุดเป็นสามี มีสิทธิ์ในที่ดินนี้ครึ่งหนึ่ง”
คณุตม์เหลือบมองคนข้างตัวที่เอาแต่นิ่งเงียบแล้วก็ได้แต่อยากจะเล่นงานน้องสาวตัวแสบให้เข็ดหลาบ ใกล้รุ่งเพิ่งยอมใจอ่อนแต่งงานกับเขาแท้ๆ แต่คะนึงนิจดันเอาเรื่องสินสมรสมาบีบบังคับใกล้รุ่งทำแบบนี้ หญิงสาวจะมองเขาในแง่ไหนกัน!
“พี่จะจัดการเราเรื่องนี้ทีหลังยัยนิด ยัยจอมจุ้น!”
หลังจากแยกย้ายกับเพื่อนกลับขึ้นบนบ้านมา ใกล้รุ่งก็เอาแต่ครุ่นคิดแม้กระทั่งในมื้อเย็น หญิงสาวก็ทานน้อยจนคณุตม์ที่คอยสังเกตอยู่ได้แต่แอบเป็นห่วง ดังนั้นเมื่อหญิงสาวกลับเข้าห้องไปอาบน้ำเตรียมเข้านอนโดยที่ลืมนัดบำบัดกับเขา คณุตม์ก็เลยต้องเป็นฝ่ายเข้ามาทวงถามพยาบาลส่วนตัวเสียเอง
ใกล้รุ่งที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำไม่รู้ว่าตัวเองควรจะกลุ้มใจเรื่องไหนก่อนดีระหว่างเรื่องของร่างสูงที่นั่งอยู่ที่ปลายเตียงของเธอพร้อมกับแก้วนมใบใหญ่บนโต๊ะทำงาน หรือว่าเรื่องของโฉนดที่ดินที่ชายหนุ่มถือเอาไว้ในมือที่เป็นสาเหตุทำให้เธอลืมไปเสียสนิทว่าต้องไปบำบัดอาการกลัวผู้หญิงร่วมกับเขา
“รุ่งขอโทษค่ะพี่นุด รุ่งลืมไปเลยว่าต้องไปอยู่กับพี่นุดที่ห้องก่อน”
“ไม่เป็นไร พี่มาหารุ่งที่นี่เองก็ได้ ทานนมก่อนดีไหมพี่เอามาให้ เห็นรุ่งทานข้าวไปนิดเดียวเดี๋ยวจะหิวเอา”
ชายหนุ่มว่าพลางวางเอกสารในมือลงบนโต๊ะ และเอื้อมไปหยิบแก้วนมเดินตรงมาหาคนที่อยู่ในชุดนอนเรียบร้อยแล้วพลางยื่นนมสดให้
ใกล้รุ่งเอื้อมมือไปรับพลางหน้าแดงขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นตัวเองผ่านกระจกข้างๆตู้เสื้อผ้าว่า ชุดนอนที่ตนสวมอยู่นั้นแม้จะเป็นชุดเสื้อและกางเกงที่มิดชิด แต่เนื้อผ้าออกจะค่อนข้างบางไปสำหรับการที่จะอยู่กับผู้ชายสองต่อสองในห้องนอนส่วนตัว
“ขอบคุณค่ะพี่นุด แต่รุ่งไม่ค่อยหิว”
“ไม่หิวก็ต้องกิน เกิดเราเป็นลมไป พี่อุ้มไปหาหมอไม่ได้หรอกนะ ...เพราะคงเป็นลมอยู่พร้อมๆกัน”
ใกล้รุ่งอดหัวเราะออกมาเบาๆไม่ได้กับคำหยอกเย้านั้น ก่อนจะยกแก้วนมขึ้นดื่มเอาใจคนที่อุตส่าห์มีน้ำใจเอามาให้
“ไม่สบายใจเรื่องที่ดินของพงศ์พิชชาเหรอ”
ใกล้รุ่งถอนใจแทนคำตอบก่อนจะเดินไปวางแก้วนมเปล่าบนโต๊ะ พลางหันมาเผชิญหน้ากับร่างสูงที่เดินตามมายืนใกล้ๆพลางแบมือออกมาเช่นเคย ใกล้รุ่งจึงสอดมือตัวเองไปยังอุ้งมือหนานั้นก่อนที่จะเดินตามอีกฝ่ายที่จูงมือเธอไปนั่งข้างเตียงด้วยกันพลางเอ่ยตอบชายหนุ่มเสียงอ่อย
“รุ่งไม่อยากทำแบบนี้เลยค่ะพี่นุด ยัยนิดขอร้องรุ่งเอาไว้ว่าจะเอาที่ดินไปทำโครงการ แต่ถ้ารุ่งทำ มันก็เหมือนเป็นการหักหลังพงศ์พิชชา”
“ทำไมถึงคิดว่ามันเป็นการหักหลังล่ะ พงศ์พิชชาขายที่ให้รุ่ง และรุ่งก็เป็นเจ้าของที่ดินผืนนั้น ไม่ใช่ยัยนิดหรือว่าพี่สักหน่อย”
คณุตม์ว่าพลางจ้องลึกเข้าไปยังดวงตากลมโตที่สั่นไหวคู่นั้น ก่อนจะเอ่ยต่ออย่างจริงใจ
“รุ่งมีสิทธิ์เต็มที่ในที่ดินผืนนั้น และรุ่งไม่จำเป็นต้องขายให้พี่หรือยัยนิดเพื่อเอามาทำโครงการอะไรทั้งสิ้น”
“แต่ยัยนิดบอกว่า...”
“ถ้าพี่จะใช้ที่ดินผืนนี้เพื่อทำโครงการคอมเพล็กซ์จริง พี่จะให้รุ่งถือหุ้นของโครงการ ไม่ใช่การขายขาดที่ดินให้พี่”
“พี่นุด...” ใกล้รุ่งเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มเต็มๆตา จึงได้สบตาคมเข้มที่ยืนยันคำพูดทั้งหมดว่าคณุตม์คิดจะทำเช่นนั้นจริงๆ ก่อนที่ชายหนุ่มจะเอื้อมมือหนามากุมมือหญิงสาวเอาไว้ทั้งสองข้างโดยไม่นำพากับอาการทางกายที่เริ่มอึดอัดและมือสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
“เชื่อพี่สิ วิธีนี้เป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วทุกฝ่าย รุ่งอย่าไปฟังยัยนิดมากนักเลย อย่างน้อยรุ่งจะได้สบายใจที่ไม่ได้หลอกเพื่อนอย่างที่ยัยนิดต้องการตั้งแต่แรก”
“รุ่งขอเวลาคิดก่อนได้ไหมคะ”
“ถ้ารุ่งยังไม่สบายใจ พี่จะไปคุยกับยัยนิดเอง เรื่องโครงการพี่จัดการเองได้ ส่วนเรื่องค่าที่ดินหนึ่งร้อยล้านนั่น กลับไปที่กรุงเทพฯแล้วพี่จะโอนให้รุ่งเอง รุ่งจะได้เอาไปจ่ายให้พงศ์พิชชา”
“พี่นุดคะ...เงินตั้งเยอะขนาดนั้น ต่อให้พี่นุดให้รุ่งยืม รุ่งก็หามาใช้คืนให้พี่ไม่ได้หรอกค่ะ”
ใกล้รุ่งเอ่ยขึ้นอย่างลำบากใจยิ่งกว่าเดิม หากชายหนุ่มคนที่ยังคงกุมมือเธอเอาไว้แม้ว่าจะมีอาการสั่นน้อยๆแต่ก็ไม่ยอมปล่อยมือเธอออกแม้แต่วินาทีเดียวกลับเป็นคนส่งรอยยิ้มให้กำลังใจเธอ พลางเอ่ยปลอบอย่างอ่อนโยน
“เลิกคิดมากเรื่องนั้นไปได้เลย รุ่งคงจะลืมไปแล้วมั้งว่าตัวเองอยู่ในฐานะอะไร” ชายหนุ่มแกล้งเอ่ยพลางตีหน้าเข้ม ก่อนจะชะโงกหน้ามากระซิบใกล้ๆ
“ต่อไปนี้ห้ามลืมว่ารุ่งแต่งงานกับพี่แล้ว เข้าใจมั้ย?...”
ถึงแม้ว่าจะไม่มีเสียงตอบรับจากใบหน้าหวานที่เป็นฝ่ายไม่ยอมสบตาคมเข้มที่ทอประกายอ่อนโยนนั้น หากคณุตม์ก็พอใจที่มือเล็กในอุ้งมือของเขายังคงเกาะกุมกันไว้ ใบหน้าที่อยู่ใกล้เพียงแค่คืบนั้นทำให้คณุตม์เองชักเริ่มไม่มั่นใจว่าอาการมือสั่นของเขาที่บัดนี้ลามไปจนถึงหัวใจที่เต้นแรงขึ้นนั้นเป็นเพราะอาการของโรคที่เขาเป็นหรือว่าเป็นเพราะร่างนุ่มนิ่มที่นั่งชิดเขาอยู่ตอนนี้กันแน่
ชายหนุ่มสูดหายใจลึกๆพยายามซึมซาบเอาความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจขณะนี้เอาไว้ อย่างน้อยเขาก็ได้แต่หวังว่า สักวันหนึ่งความรู้สึกดีๆที่ก่อตัวขึ้นในหัวใจ จะทำให้เขาเอาชนะความกลัวที่เคยพรากส่วนหนึ่งของชีวิตเขาไป
...และก็ได้แต่หวังว่าใกล้รุ่งจะเป็นคนที่ทำให้คนที่ขาดเช่นเขา...กลับมาเติมเต็มได้อีกครั้งหนึ่งด้วยเช่นกัน
.............................