เรื่อง กลลวงรักเจ้าชายเถื่อน
บทที่ 2.
“มาถึงแล้วเหรอริต้า”
หญิงสาวเสียงใสทักทายทันทีที่เห็นร่างเพื่อนสาวเดินเข้าในห้องทำงานของเธอ ซึ่งเต็มไปด้วยหนังสือเก่ามากมายและหลายเล่มที่ชำรุดทรุดโทรมรอการซ่อมแซม สาริศาถอดแว่นกันแดดออกแล้วยิ้มทักทายเพื่อนรักที่สวมผ้ากันเปื้อนสีเขียวอ่อนสีเดียวกับผ้าปิดจมูกของเธอ
“งานยุ่งเหมือนเคยนะ” สาริศาทักพิชชาแล้วมองไปรอบๆ ห้องเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ซ่อมหนังสือ
“รับช่วงต่อจากคุณตาอ่ะ” พิชชาถอดผ้าปิดจมูกออกแล้วขยับแว่นสายตากรอบหนาของตัวเอง “ดูรูปเธอในนิตยสารแล้วรู้สึกว่าผอมมาก แต่ตัวจริงอวบกำลังดีเชียว”
“นี่เธอชมหรือด่าฉันอ้วนเนี้ย” สาริศาหัวเราะออกมา เธอไม่ค่อยได้หัวเราะแบบนี้กับใครนัก
“ชมซิจ๊ะ” พิชชาหัวเราะร่วนแล้วปลดผ้ากันเปื้อนออก “ไม่เจอกันสองเดือนแล้วมั้ง”
สาริศาไหวไหล่น้อยๆ “วันนี้หาซื้ออะไรอร่อยๆ ไปกินที่บ้านแม่ฉันนะ”
“อ้าว...ไหนว่าจะพาแม่ออกไปกินข้าวนอกบ้านไง”
“แม่เปลี่ยนใจไม่อยากออกไปข้างนอกนะซิ” สาริศาถอนหายใจหนักๆ “ฉันก็อยากพาแม่ออกไปสูดอากาศข้างนอกแล้วก็ได้กินของอร่อยๆ”
“แม่คงไม่อยากให้เธอเจอทัพนักข่าวละมั้ง” พิชชาแตะไหล่เพื่อนอย่างให้กำลังใจ เธอรู้ดีว่าเพื่อนสาวมักมีข่าวคาวตามหน้าหนังสือพิมพ์บันเทิงอยู่บ่อยๆ ซึ่งมันไม่เป็นความจริงเลย “ฉันไม่เข้าใจเธอเลยจริงๆ ข่าวมันใส่สีตีไข่ขนาดนั้น ทำไมเธอไม่แก้ข่าวหรือตอบโต้อะไรไปบ้าง”
“ช่างมันเถอะ” สาริศายิ้มให้เพื่อนรัก “แค่คนในครอบครัวเชื่อใจว่าฉันไม่ได้เป็นแบบนั้นก็พอแล้ว”
พิชชายกมือขึ้นเท้าเอว นึกอยากต่อว่าเพื่อนรักอีกแต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่โต้ตอบอะไรก็เปลี่ยนใจ “เอาเถอะๆ ฉันก็เริ่มหิวแล้ว เราไปหาซื้ออะไรอร่อยๆ แล้วไปกินที่บ้านแม่ดีกว่า”
พิชชาเดินไปเก็บอุปกรณ์ต่างๆ ราวสิบนาที แล้วสองสาวก็ควงแขนกันมาที่รถของสาริศา มุ่งหน้าไปร้านอาหารเจ้าประจำที่เธอโทรสั่งรายการไว้แล้ว และอีกเพียงสี่สิบนาทีต่อมาทั้งคู่ก็มาถึงบ้านชั้นเดียวหลังเล็กที่คุณพรพิมลพักอยู่ สาริศายืนมองดูบ้านอยู่นานราวครึ่งนาที เธอหลับตาลงอย่างปวดร้าว ก่อนหน้านี้เธอเคยมีบ้านหลังใหญ่ในหมู่บ้านหรูกลางกรุง แต่สภาพปัจจุบันช่างแตกต่างจากภาพในความทรงจำเหลือเกิน
“หอมกลิ่นกับข้าวจังเลยพี่ริต้า-พี่พิชชา”
“วันนี้กวินอยู่บ้านเหรอ” สาริศาตื่นจากภวังค์ หลานชายตัวโตยกมือไหว้เธอกับเพื่อนแล้วรีบช่วยรับถุงกับข้าว
"ช่วงนี้สอบเสร็จแล้วฮะ แต่พรุ่งนี้ผมไปทำงานพิเศษ ตอนนี้ได้งานพิเศษที่ร้านกาแฟใกล้ๆ บ้านเรานี่แหละ”
“ขยันจังเลย” พิชชาชมด้วยความจริงใจ กวินอายุเพียงแค่18ปี แต่รูปร่างสูงใหญ่ ที่สำคัญเขาคอยดูแลคุณพรพิมลแม่ของสาริศาเป็นอย่างดี ทำให้สาริศาคอยเบาใจที่ต้องอยู่คนละที่กับแม่
“คุณลุงไม่อยู่ใช่ไหม” สาริศาถามย้ำเพื่อความสบายใจของตัวเอง เลี่ยงที่จะเจอพ่อเลี้ยงได้เป็นเรื่องดีที่สุด ไม่อย่างนั้นเธออาจจะนึกอยากเป็นฆาตกรก็ได้
“ครับพี่ริต้า...ออกไปตั้งแต่เมื่อวานยังไม่เห็นเข้ามาเลย” กวินจัดการจัดอาหารใส่จานเรียบร้อย “ข้าวสุกพอดีเลยครับ พี่ริต้าไปพาคุณป้ามาทานข้าวเลยดีกว่า”
สาริศาเดินไปที่ห้องนอนของแม่ มารดาของเธอกำลังนั่งแปรงผมอยู่ เพราะอาการเจ็บป่วยทำให้เส้นผมบางลงจนน่าตกใจ ร่างกายก็ผายผอมลงแต่กระนั้นก็ยังแย้มยิ้มเมื่อเห็นลูกสาวเข้ามา
“แม่กำลังจะเดินไปอยู่พอดีเลย”
“หนูช่วยประคองค่ะ” สาริศาเข้าไปประคองแม่แล้วค่อยๆ เดินมาที่โต๊ะอาหาร “มีแต่ของโปรดของแม่ทั้งนั้นเลยค่ะ แม่ต้องกินข้าวเยอะๆ นะคะ”
“หนูก็เหมือนกันนะลูก” คุณพรพิมลเอ่ยอย่างห่วงใย “หนูผอมไปนะลูก”
สาริศาหัวเราะแล้วเลื่อนเก้าอี้ให้ผู้เป็นแม่นั่ง “แฮรี่บอกว่าถ้าน้ำหนักหนูเพิ่มอีกขีดเดียวต้องเป็นเรื่องแน่ๆ”
“ตายจริง! ขนาดนั้นเชียวเหรอลูก” คุณพรพิมลมีสีหน้ากังวล
“คุณแม่อย่าไปเชื่อยัยริต้าเลยค่ะ” พิชชากลับหัวเราะออกมา “ใครจะกล้าปฏิเสธนางแบบอันดับหนึ่งของเอเชียได้ล่ะค่ะ”
“เว่อร์ไปยัยพิชชา” สาริศาส่ายหน้าไปมา “ตักข้าวให้แม่ได้แล้ว กวินก็มาทานพร้อมกันด้วยซิ”
“ครับพี่ริต้า”
สาริศา พิชชาและกวินต่างนั่งล้อมคุณพรพิมลเพื่อรับประทานอาหาร แม้จะเป็นอาหารง่ายๆ แต่ก็เป็นของโปรดที่ถูกปากคุณพรพิมลเป็นอย่างยิ่ง เสียงหัวเราะพูดคุยระหว่างพิชชาและสาริศาทำให้คุณพรพิมลมีสีหน้าแช่มชื่นขึ้นจนกวินสังเกตได้
กวินมาอาศัยอยู่กับคุณพรพิมลราวๆ หกปีก่อน ขณะนั้นเขาอายุเพียงสิบสองปีแต่ก็ตัดสินใจเก็บเสื้อผ้าที่มีเพียงไม่กี่ชุดใส่เป้เดินทางจากอยุธยามาหาญาติคนเดียวที่ป้าเลยเล่าให้ฟังที่กรุงเทพฯ แม้ตอนนั้นเขาจะเป็นเพียงเด็กชายตัวเล็กซ้ำยังกำพร้าพ่อและแม้ต้องมาอาศัยกับป้า แต่ทั้งสองก็ยากจนไม่เงินทาองส่งเสียให้เราร่ำเรียน จนทำให้เขาต้องลองเสี่ยงมาขอความช่วยเหลือจากคุณพรพิมล ด้วยความเมตตาของคุณพรพิมลทำให้เขาได้กินดีอยู่ดีและได้ร่ำเรียนหนังสืออย่างที่ตั้งใจหวัง เขาพยายามช่วยเหลืองานบ้านทุกอย่างเพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณที่คุณพรพิมลมีต่อเขา แต่เมื่อในครอบครัวมีเหตุวุ่นวายจนพี่สาริศาหรือริต้าต้องขายบ้านหลังใหญ่โตมาซื้อหลังเล็กๆ แบบนี้
‘สัญญานะว่ากวินจะดูแลคุณแม่ให้ดีที่สุด” สาริศาเอ่ยขึ้นในวันที่ต้องไปเรียนต่อต่างประเทศ “พี่มองกวินเป็นเหมือนน้องชายคนหนึ่ง กวินจะดูแลคุณแม่แทนพี่สาวคนนี้ได้ไหม’
‘ครับพี่ริต้า ผมให้สัญญา ผมจะดูแลคุณแม่ให้ดีที่สุดครับ’
กวินรู้สึกดีใจที่ได้รับการยอมรับจากครอบครัวที่แสนอบอุ่นนี้ ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องพ่อเลี้ยงละก็... ทุกอย่างในบ้านคงสงบสุขมากกว่านี้เป็นสิบเป็นร้อยเท่าแน่ๆ เขาเองก็เข้าใจดีในความจำเป็นที่ทำให้พี่สาริศาของเราต้องไปอยู่คอนโดแทนที่จะได้อยู่ใกล้ชิดคุณแม่พรพิมล
พ่อเลี้ยงชีกอแถมถูกพี่พนันเข้าสิงแบบนั้น อยู่ห่างเป็นดีที่สุด
กวินเองก็เคยนึกสงสัย ทำไมคุณพรพิมลยังอดทนต่อสามีคนนี้เสียเหลือเกิน เขายอมรับว่าแรกๆ ที่ได้รู้จักคุณอานนท์ เขาช่างเป็นคนดีเสียจริงแต่เวลาผ่านไปไม่นานนัก ทุกอย่างก็กลับจากหน้ามือเป็นหลังมือ คุณพรพิมลก็ตรอมใจแต่ทำเหมือนยอมรับโชคชะตาและมักพร่ำเสมอว่ามันเป็นเรื่องของเวรกรรม
“ได้เวลาเสิร์ฟของหวานแล้วจ๊ะกวิน”
เสียงพิชชาทำให้กวินตื่นจากภวังค์ กวินตอบรับแล้วรีบลุกขึ้นไปยกถ้วยของหวานที่เตรียมไว้มาเสิร์ฟทุกคน
“ได้ยินว่ากวินทำงานพิเศษช่วงปิดเทอม จะเอาเงินไปทำอะไรหรือจ๊ะ” พิชชาถามพลางตักลอดช่องน้ำกะทิเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย
“ก็...” กวินยิ้มเขิน
“กวินอยากได้อะไรหรือจ๊ะ” สาริศาถามพร้อมรอยยิ้ม เธอรู้ว่ากวินเป็นเด็กดีไม่มีทางที่จะเอาเงินไปทำเรื่องไม่ดีแน่ๆ
“ผมตั้งใจว่าจะเก็บเงินแล้วเดินทางท่องเที่ยวครับ”
“จริงเหรอ จะไปเที่ยวที่ไหนล่ะ” พิชชาถามอย่างตื่นเต้น
“ผมอยากไปประเทศเทซาเนียครับ” กวินพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง “ผมดูสารคดีท่องเที่ยว ที่นี่เป็นประเทศเปิดใหม่ มีวัฒนธรรมที่แตกต่างจากเรามาก ผมรู้สึกอยากลองไปเที่ยวต่างประเทศสักครั้งในชีวิตครับ”
น้ำเสียงร่าเริงของกวินทำให้สาริศาฝืนยิ้มออกมา มีแต่พิชชาเท่านั้นที่เข้าใจความรู้สึกของเพื่อนสาว เธอจึงพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย แต่ก็ดูเหมือนจะสายไปแล้วเพราะแววตาของสาริศาหม่นร้าวเหลือเกิน ถึงเธอจะเป็นเพื่อนรักที่สุดของสาริศา แต่ก็เหมือนว่าสาริศาจะมีบางอย่างปิดบังเธออยู่ เพราะตั้งแต่ที่สาริศาไปท่องเที่ยวที่เทซาเนียเมื่อหลายปีก่อน สาริศาก็ทำเหมือนว่าไม่ต้องการพูดถึงชื่อประเทศนี้อีก
“เอ่อ...อีกสองสามวันพี่ต้องไปทำงานที่ญี่ปุ่น กวินกับแม่อยากได้อะไรไหมคะ”
“แม่ไม่เอาอะไรหรอกลูก แค่ได้เห็นหน้าลูกแม่ก็มีความสุขแล้ว”
“ผมก็ไม่เอาอะไรครับ รองเท้าที่พี่ริต้าซื้อมาให้ก็ยังสภาพดีอยู่เลย”
สาริศาหันมาทางพิชชา “เธอคงเหมือนเดิมใช่ไหมล่ะ”
พิชชาหัวเราะคิกคัก “ถ้าเจอหนังสือภาพสวยๆ ซื้อมาเลยนะ”
“หนังสือจะทับตายอยู่แล้ว ยังอยากได้หนังสืออีก”
“ก็อย่าถามซิว่าฉันอยากได้อะไร”
“ฉันถามแม่กับน้องชายต่างหาก
“ยัยริต้า!”
คุณพรพิมลอดหัวเราะไม่ได้ นอกจากพิชชาแล้วก็ไม่เห็นลูกสาวของตัวเองจะสนิทสนมกับใครเลย หลังจากทานอาหารและยาแล้วนางก็เริ่มจะง่วงนอน สาริศาประคองแม่กลับไปที่ห้องนอน แต่เมื่อเดินออกมากลับเจอหน้าพ่อเลี้ยงที่นั่งที่โต๊ะอาหารอย่างไม่ได้รับเชิญ
“มีของกินดีๆ ไม่คิดจะเรียกกันเลยนะ” คุณอานนท์แสยะยิ้มที่มุมปาก
“ของเหลือบนโต๊ะ ถ้าจะกินก็เชิญตามสบายเลย”
“นังนี่! พูดจาให้มันดีๆ หน่อย ยังไงฉันก็เป็นพ่อเลี้ยงของแกนะ!!”
สาริศากัดฟันกรอดๆ ถ้าไม่เกรงใจแม่ละก็...เธอไม่ยอมให้ใครพูดจาแบบนี้แน่ๆ แต่เธอก็ไม่อยากให้แม่สะดุ้งตื่นเพราะเสียงเอกับพ่อเลี้ยงทะเลาะกัน สาริศาจึงหันไปหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นคล้องไหล่แล้วหันไปพยักหน้ากับพิชชาที่เตรียมตัวจะกลับตั้งแต่เห็นหน้าคุณอานนท์เข้ามาในบ้านแล้ว
“เฮ้ๆ จะไปก็ไม่ว่าหรอกนะ แต่เอาเงินไว้ให้ใช้บ้างซิ” คุณอานนท์ตะโกนไล่หลัง “ฉันดูแลแม่แกอยู่นะ”
สาริศาหันขวับไปมองด้วยแววตาวาวโรจน์เล่นเอาอีกฝ่ายไม่กล้าเอ่ยปากพูดอะไร หญิงสาวเดินออกมาด้วยความหงุดหงิดผิดกับตอนเข้าบ้านลิบลับ
อานนท์มองลูกเลี้ยงสาวเดินจากไปพ้นรั้วบ้านแล้วก็ถอนหายใจโล่งอก เดี๋ยวนี้สาริศาดูแข็งกร้าวกว่าแต่ก่อนมาก ไม่ใช่เด็กหญิงที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตายอมทนให้เขาดุด่าทุบตียังไงก็ได้อีกแล้ว อารมณ์หงุดหงิดจากที่เสียเงินจากบ่อนการพนันทำให้เขาอยากจะโวยวายให้บ้านพัง แต่ไอ้บ้านเท่ารูหนูก็ไม่รู้จะหันไปทำอะไรที่ไหนได้ หันไปเจอเจ้ากวินก็เอาแต่ทำหน้านิ่งเหมือนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา
“เฮ้ย! คนบ้านนี้มันเป็นอะไรกันไปหมดวะ”
อานนท์บ่นแล้วเดินเข้าไปห้องภรรยา แต่เมื่อเห็นนางหลับอยู่เขาก็กระตุกยิ้มที่มุมปากออกมา “ขอกันดีๆ ไม่ให้ก็ต้องค้นกันเสียหน่อย ดูซิว่าซ่อนเงินไว้ที่ไหนบ้าง”
ชายวัยกลางคนที่กลิ่นตัวคละคลุ้งไปด้วยแอลกอฮอร์เริ่มค้นตามตู้เสื้อผ้า ลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้ง โต๊ะข้างเตียงนอน และอีกหลายๆ ที่ที่คิดว่าภรรยาจะซุกซ่อนเงินไว้ แต่เขาก็ไม่พบอะไรเลย นานหลายนาทีต่อมาจนเขานั่งหอบหายใจแรงเพราะความเหนื่อยอ่อน
“โอ๊ยอะไรกันเนี้ย! บ้านนี้มันไม่มีอะไรเลยหรือไงวะ”
อานนท์สบถหยาบคายอีกหลายคำแล้วลุกขึ้นเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อหยิบเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนอาบน้ำ พลันสายตาของเขาก็บังเอิญไปเห็นกล่องเล็กๆ ถูกซุกอยู่ระหว่างผ้าคลุมไหล่ของภรรยาของเขา มือหนาหยิบกล่องกำมะหยี่ออกมาเปิดดูแล้วดวงตาของเขาก็วาวโรจน์ด้วยความยินดีกับสิ่งที่เห็น
“คิดเรอะว่าจะซ่อนฉันได้!!”
การจราจรในกรุงเทพฯ แน่นขนัดจนคล้ายเป็นความเคยชินของคนที่ใช้ชีวิตในเมืองหลวงแห่งนี้ รวมทั้งสาริศาและพิชชาด้วย
“ฉันไม่เข้าใจแม่ของเธอเลยจริงๆนะริต้า” พิชชาถอนหายใจ
“ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน” สาริศาถอนหายใจหนักๆ แล้วขับรถออกมาจากบ้านของแม่ “แม่ก็คงมีเหตุผลของแม่นั้นแหละ”
“เห็นแบบนี้ฉันขออยู่เป็นโสดไปจนตายดีกว่า” พิชชาขยับแว่นสายตาชิดใบหน้าแล้วเหลือบมองเพื่อนสาว “เธอก็เหมือนกัน พักผ่อนบ้างล่ะ อย่าเอาแต่ทำงานเดี๋ยวไม่สบายเอา”
“ฉันรู้ตัวเองดี...ไม่มีใครจะดูแลฉันได้ดีเท่าตัวฉันเองหรอกจ๊ะ”
สาริศาฝืนยิ้มออกมา เธอมองถนนที่เต็มไปด้วยรถรามากมาย แต่หัวใจเธอยังคิดถึงถนนเส้นเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมแปลกตาของชาวทะเลทราย
บางสิ่งบางอย่างก็เป็นไม่สามารถจะหาเหตุผลมาอธิบายได้เสมอไป
....................