นายพงษ์สิริครุ่นคิดคำบอกเล่าของหลานสาวมาตลอดทาง พริมามาหาคณุตม์จนเกิดเรื่องขึ้น แน่นอนว่าอาการผิดปรกติของผู้เป็นหลานชายย่อมเป็นที่สังเกตของหญิงสาวคนนั้นแน่
นายพงษ์สิริอดเหลือบตาไปมองร่างระหงของหลานสาวภรรยาไม่ได้ เห็นทีเรื่องที่จะให้ใกล้รุ่งช่วยแต่งงานกับคณุตม์คงไม่มีทางเป็นไปได้อีกแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะเคยหวังว่าจะค่อยๆให้เวลาเยียวยาคณุตม์ภายใต้การปกป้องจากคนในครอบครัว แต่เมื่อความลับเปิดเผยเช่นนี้แล้วเรื่องที่ตนเองเคยคาดหวังเอาไว้ก็อาจจะไม่มีวันเกิดขึ้น
นางกนกทิพย์เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของสามีจนรอยย่นที่หน้าผากดูจะเป็นริ้วหนากว่าที่เคย จนผู้เป็นภรรยาต้องกระตุกมือเป็นเชิงเตือนว่า บัดนี้ทั้งคู่ได้เดินมาถึงห้องพักผู้ป่วยแล้ว
“อย่ากังวลไปเลยค่ะคุณพงษ์ ตาคณุตม์จะต้องหายดีค่ะ เราจะช่วยแกเอง”
นางกนกทิพย์เอื้อมมือมากุมมือของสามีเอาไว้อย่างให้กำลังใจ บุรุษชราจึงได้แต่ยิ้มให้กับภรรยา ก่อนจะเป็นฝ่ายเดินนำเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย โดยมีสายตาของใกล้รุ่งที่มองตามไปอย่างหนักใจ
ใบหน้าคมสันที่ยังคงหลับสนิทเพราะฤทธิ์ยากล่อมประสาททำให้ทั้งหมดได้แต่กระทำทุกอย่างให้เกิดเสียงน้อยที่สุด นายพงษ์สิริเดินมาหาหลานชาย ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเอื่อยๆพลางเอื้อมมือไปลูบศีรษะชายหนุ่มอย่างอ่อนโยน
“ปู่ส่งตัวเจ้านุดไปรักษาที่อเมริกาตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนแล้ว ปู่รู้เรื่องนี้ช้าไป เจ้านุดยอมเล่าให้ปู่ฟังในวันที่แม่ของเขาจากไป ทุกความโกรธ ทุกความเกลียดชังที่แม่ของหลานมีต่อคณิน เจ้านุดเป็นคนรับเอาไว้ทั้งหมด ตั้งแต่เจ้านุดแค่ 10 ขวบ”
นายพงษ์สิริเล่าออกมาในขณะที่สายตายังคงจับจ้องแต่เพียงใบหน้าที่ละม้ายตนและนายคณิน โดยเฉพาะคิ้วเข้มที่พาดโค้งและดวงตาคมเข้มที่ถอดแบบกันมาราวกับพิมพ์เดียว
คะนึงนิดนั้นถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงนั่งที่โซฟาอย่างไร้เรี่ยวแรง มารดาของตนที่ตัดสินใจหย่าและก้าวออกไปจากชีวิตของเธอและพ่อ กลับสร้างบาดแผลในใจให้กับคณุตม์มากมาย วันนี้เธอเพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ ทำไมพี่ชายที่มองเธอด้วยสายตาที่รักใคร่ห่วงใย แต่ไม่แม้แต่จะเฉียดกรายเข้ามาใกล้เธอ
“เจ้านุดบำบัดกับจิตแพทย์ที่อเมริกา จนกระทั่งหาย ปู่ถึงให้เขากลับมาเมืองไทย แต่พอปู่เห็นข่าวเจ้านุดกับพริมา ปู่ถึงรู้ว่านุดยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับสังคมแบบเปิดเผยทั้งหมด...”
นายพงษ์สิริหันมาทางใกล้รุ่งที่นั่งโซฟาตัวเดียวกับหลานของตนพลางตัดสินใจเอ่ยความจริงออกไปตรงๆ
“...นี่คือเหตุผลที่ปู่กับย่าอยากให้รุ่งช่วยแต่งงานกับนุดเขา ไม่ใช่เพราะเรื่องที่ดิน หรือเรื่องธุรกิจอะไรเลยลูก ปู่แค่อยากปกป้องนุดจากคนที่จ้องจะทำร้ายหรือทำลายเขาจากเรื่องนี้ ... และปู่ก็เชื่อว่า มีแค่คนในครอบครัวเราเท่านั้นที่จะช่วยให้นุดเข้มแข็งขึ้น ปู่ไม่เห็นใครแล้วจริงๆนอกจากรุ่ง”
ใกล้รุ่งเงยหน้าขึ้นมองสบประสานสายตาคมเข้มของบุรุษชรา พลางอดทอดสายตาไปยังร่างสูงที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ไม่ได้ แม้ว่าภายนอกนั้นคณุตม์ดูเหมือนว่าจะเป็นปรกติดี แต่ภายใต้ร่างสูงใหญ่ของผู้ชายตัวโตคนนั้นยังคงมีบาดแผลทางใจที่ยังต้องการการเยียวยาและทะนุถนอมยิ่งกว่าที่เคยเป็น
“ถ้าหากว่ารุ่งเห็นว่าพี่ไม่ใช่คนอื่น เหมือนที่พี่เห็นว่ารุ่งเป็นคนในครอบครัว พี่ขอร้องให้รุ่งกลับไปคิดเรื่องแต่งงานของเราใหม่อีกครั้งได้ไหม”******เสียงทุ้มที่เคยเอ่ยกับเธอด้วยสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังและรอคอย ทำให้ใกล้รุ่งรู้สึกผิดในหัวใจ เธอกำลังจะกลายเป็นอีกหนึ่งคนที่ทำร้ายชายหนุ่มที่รอคอยการปกป้องจากคนที่เขาไว้ใจและเรียกเธอว่าคนในครอบครัวหรือเปล่า?
นายแพทย์สูงวัยที่เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับเอกสารการรักษาของคนไข้หนุ่ม ทำให้นายพงษ์สิริหยุดการสนทนาก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับคุณหมอที่เพิ่งเข้ามา
“คืนนี้พักดูอาการที่โรงพยาบาลอีกสักคืนนะครับ ถ้าไม่มีอะไรผิดปรกติพรุ่งนี้หมออนุญาตให้กลับบ้านได้ครับ”
“แล้วตอนนี้หลานชายของผมจะมีโอกาสกำเริบขึ้นอีกหรือว่าจะสามารถหายเป็นปรกติหรือเปล่าครับหมอ”
“แน่นอนครับ จากประวัติการรักษาของคนไข้ หลานชายของคุณเขาได้มีการบำบัดรักษาอาการดีขึ้นจนเกือบเป็นปรกติแล้วนะครับ เพียงแต่ในเคสนี้คนไข้เจอสิ่งเร้าที่คุกคามเขามากเกินไป ส่งผลให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยาได้ตามความกลัวที่ถูกฝังจำอยู่ในสมองครับ ซึ่งถ้าหากมีการบำบัดอย่างต่อเนื่องและทำให้เขารู้สึกปลอดภัย อาการของโรคนี้ก็จะสามารถรักษาได้จนหายเป็นปรกติครับ”
นายพงษ์สิริค่อยระบายลมหายใจอย่างโล่งอก หากเสียงของนายแพทย์ยังคงเอ่ยต่อเรื่อยๆในขณะที่ก้มลงกรอกเอกสารการรักษา
“แต่คงต้องระวังเรื่องปัจจัยแวดล้อมด้วยนะครับ ถ้าคนไข้ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งเร้าที่กระตุ้นอาการหวาดกลัวให้เกิดขึ้นบ่อยเข้า อาการของโรคก็อาจกำเริบขึ้นได้อีกนะครับ”
นายพงษ์สิริหน้าเคร่งขึ้นทันทีก่อนจะหันไปเอ่ยกับหมออย่างหนักแน่น
“ผมจะระวังอย่างแน่นอนครับคุณหมอ นับจากนี้ไปผมจะไม่ยอมให้มีใครมาคุกคามหลานชายของผมอีกแล้ว”
......................................
นิอรมองข้อความจากมือถือของตนอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ก่อนจะรีบเดินไปหาผู้เป็นสามีที่กำลังนั่งทำงานอยู่ที่ห้องทำงานรองประธานกรรมการบริษัท พลางเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ
“คุณคณินคะ คุณพริมส่งข้อความมาบอกว่าตาคณุตม์ช็อคเข้าโรงพยาบาลอยู่ที่พิษณุโลกค่ะ”
“คุณว่ายังไงนะนิอร ตานุดเข้าโรงพยาบาลอย่างนั้นเหรอ”
“ค่ะ แต่คุณพริมไม่ได้บอกรายละเอียดอย่างอื่นค่ะ”
“ผมจะไปหาลูก คุณจะไปกับผมไหมนิอร”
คณินเอ่ยถามภรรยาพลางยกหูโทรศัพท์สั่งเลขาหน้าห้องของตน นิอรรีบยิ้มประจบก่อนจะเดินมากอดแขนอีกฝ่ายเอาไว้
“ไปสิคะ ถึงยังไงตาคณุตม์ก็เป็นลูกของคุณนี่คะ ว่าแต่ถ้าตาคณุตม์ป่วยเข้าโรงพยาบาลแบบนี้แล้วโครงการคอมเพล็กซ์จะทำยังไงดีละค่ะ”
“เรื่องนั้นผมจะไปคุยกับคุณพ่อเอง คุณไปเตรียมตัวเถอะ ถ้าเลขาผมจองตั๋วได้เมื่อไหร่เราจะไปสนามบินทันที”
นายคณินว่าพลางกรอกสายสั่งงานเลขาของตนอย่างเร่งรีบ ในขณะที่นิอรเหลือบมองผู้เป็นสามีอย่างสมใจ...ไม่รู้ว่าเพราะโชคช่วยหรือเพราะฟ้าดินเห็นใจเธอกันแน่ งานนี้เธอจะไม่ยอมให้ลูกเลี้ยงมีโอกาสเข้ามาเผยอหน้าในบริษัท เพียงธำรงอีกเด็ดขาด!
................................