คะนึงนิจยกมือไหว้นายตะวันและนางจรุงจิต บุพการีของเพื่อนอย่างนอบน้อม ในขณะที่ใกล้รุ่งเดินเข้าไปกอดพ่อและแม่อย่างคิดถึง ตลอดทางที่อัสดงขับรถไปรับน้องสาวมาจากสนามบินนั้นไม่มีใครเอ่ยอะไรสักคำ หากสีหน้าที่หนักใจของใกล้รุ่งก็พอจะทำให้อัสดงรู้ได้ว่าน้องสาวคงไม่อยากให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ และไม่ควรรีบร้อนให้พ่อกับแม่รู้เรื่องนี้ตั้งแต่ก้าวแรกที่ลูกสาวที่กลับมาเยี่ยมบ้าน
“ทำไมรีบร้อนกลับมากะทันหันแบบนี้ล่ะรุ่ง มีเรื่องอะไรหรือเปล่าลูก”
นางจรุงจิตเอ่ยถามลูกสาวในขณะที่มองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า
“เปล่านี่จ๊ะแม่ ช่วงนี้รุ่งว่างจัดเลยรีบกลับมาหาแม่กับพ่อไงจ๊ะ” ใกล้รุ่งยิ้มให้กับมารดาพลางเอ่ยตอบกลบเกลื่อนในเหตุผลที่แท้จริงนั่นทำให้เพื่อนสาวที่ตามใกล้รุ่งมาเป็นแขกยิ่งคาใจ เพราะดูจากอาการของใกล้รุ่งและคณุตม์แล้วมันต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างแน่ๆ
“แล้วกินอะไรกันมาหรือยังละลูก”
“ยังเลยจ้ะ นี่รุ่งกับนิดกะมาฝากท้องรอกินฝีมือแม่เลยนะจ๊ะ”
“พอดีเลยแม่กำลังจะทำต้มยำปลาช่อน นี่ให้ดงเขาไปชวนเจ้าชามากินด้วยกันอยู่ ถ้าอย่างนั้นเห็นทีต้องหาอะไรทำเพิ่มแล้ว รุ่งอยู่คุยกับพี่ดงไปก่อนแล้วกันนะลูก พ่อกับแม่จะไปตลาดกันสักเดี๋ยว”
นางจรุงจิตหันไปชวนสามีอย่างกระตือรือร้น อัสดงจึงยกกระเป๋าใบเขื่องของน้องสาวขึ้นไปเก็บเสียเอง
“พี่เอากระเป๋าไปเก็บในห้องเดิมของรุ่งนะ”
“ขอบคุณค่ะพี่ดง นิดนอนกับรุ่งละกันเนอะ”
ใกล้รุ่งหันไปพยักเพยิดกับเพื่อน ก่อนจะเดินพาเพื่อนไปยังเก้าอี้ไม้ตัวยาวที่ตั้งอยู่นอกชาน ในขณะที่อัสดงแยกไปเก็บกระเป๋าให้น้องสาวที่ห้องด้านใน
คะนึงนิจหันไปมองรอบๆบ้านอย่างชอบใจ บ้านไม้ยกสูงขนาด 7 ห้องที่มีชานกว้างเชื่อมระหว่างแต่ละห้องเอาไว้ ณ ใจกลางบ้าน ราวกับเป็นลานเอนกประสงค์ ทำให้บ้านดูกว้างขวางและโปร่งสบาย
โดยเฉพาะมุมเก้าอี้ไม้ตรงเฉลียงด้านนอกที่มีซุ้มไม้เลื้อยตกแต่งให้ทั้งความสวยงามและความร่มรื่นนั้นดูเหมือนจะเป็นมุมโปรดของทั้งครอบครัว เพราะมีทั้งโต๊ะและเก้าอี้ม้านั่งวางเรียงยาวสำหรับสี่คนนั่งได้สบายๆ
ใกล้รุ่งยืนสูดลมหายใจลึกๆเข้าปอดอย่างสดชื่นก่อนจะทอดสายตามองทุ่งนาเขียวขจีที่บัดนี้ถูกไล้ด้วยแสงสีส้มอ่อนจากดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับเหลี่ยมเขาไปทำให้ทิวทัศน์ตรงหน้าเป็นยิ่งกว่าภาพวาดที่ศิลปินคนใดจะรังสรรค์ขึ้นมาได้นอกจากธรรมชาติที่สรรค์สร้างเอาไว้เท่านั้น
“นี่ฉันคิดถูกหรือคิดผิดที่เลือกที่จะทอดทิ้งที่ดินตรงนี้ไปก็ไม่รู้นะนิด”
“รุ่งจะบอกนิดได้หรือยังล่ะว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
คะนึงนิจเอ่ยขึ้นในขณะที่ใกล้รุ่งยืนมองบิดาและมารดาที่กำลังขี่รถจักรยานยนต์ซ้อนกันออกไปอย่างมีความสุข หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างกลัดกลุ้ม ถ้าพ่อกับแม่รู้ความจริงเธอจะยังรักษารอยยิ้มบนใบหน้าของบุพการีได้หรือเปล่านะ?
“คุณย่าจะให้รุ่งแต่งงานกับพี่นุด แลกกับการที่ครอบครัวของรุ่งจะได้อยู่บนที่ดินผืนนี้ต่อไป”
“อะไรนะ? หมายความว่ายังไงกันรุ่ง นิดไม่เข้าใจ นี่อย่าบอกนะว่าคุณย่าจะให้เธอแต่งงานกับพี่นุดเพราะเรื่องข่าวเมื่อเช้านั่นน่ะ”
คะนึงนิจเอ่ยออกมาอย่างคาดไม่ถึงว่าเหตุการณ์ทุกอย่างจะพลิกกลับตาลปัตรเช่นนี้ เรื่องเล็กน้อยอย่างข่าวกอสซิปพวกนั้นไม่น่าจะทำให้คุณปู่กับคุณย่าต้องยื่นคำขาดให้คณุตม์และใกล้รุ่งแต่งงานกันอย่างสายฟ้าแลบขนาดนี้
“ย่าบอกว่าถ้ารุ่งไม่แต่ง ย่าจะยกที่ดินผืนนี้ให้คุณปู่กับพี่นุดไปทำโครงการคอมเพล็กซ์ อย่างน้อยพี่นุดจะได้มีผลงานกู้ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของตัวเองจากบอร์ดบริหารได้”
“เพราะเรื่องนี้ใช่ไหมที่ทำให้แกต้องถ่อสังขารมาที่บ้านด่วนขนาดนี้” เสียงห้าวที่ดังขึ้นจากตรงบันไดทำให้ทั้งสองสาวหันไปมองผู้มาใหม่เป็นตาเดียว
ร่างสูงกำยำที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้เสื้อยืดสีเทาทับด้วยเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีดำและสวมใส่กางเกงยีนส์ตัวเก่าที่สีซีดแล้วซีดอีก ทำให้คะนึงนิจเดาไม่ออกว่าผู้ชายที่ก้าวขายาวๆตรงมาหาใกล้รุ่งด้วยใบหน้าที่เครียดขึ้นจนหัวคิ้วแทบจะขมวดชนกันนั้นเป็นใคร หากดูจากขวดเบียร์และกับแกล้มอีกนานาชนิดที่อยู่ในมือของชายหนุ่มแล้ว คะนึงนิจเดาว่าอาจจะเป็นหัวหน้าคนงานลูกน้องของอัสดงก็เป็นได้
“ไอ้ชา...” ใกล้รุ่งเอ่ยพึมพำเรียกชื่อเพื่อนสนิทในวัยเด็กอย่างคาดไม่ถึง เธอกับพงศ์พิชชาแทบจะไม่ได้เจอกันเลยตลอดระยะเวลาสิบปีที่เธอไปอยู่ที่กรุงเทพฯกับคุณย่ากนกทิพย์ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังคงให้ความสนิทสนมกับครอบครัวเธอเป็นอย่างดีเหมือนดังเดิม
พงศ์พิชชาวางขวดเบียร์ที่ตั้งใจซื้อมาตามที่อัสดงชอบดื่มลงบนโต๊ะ ก่อนจะเดินมาหาร่างเพรียวระหงของเพื่อนที่แม้จะไม่เจอกันนานแล้ว แต่ความรู้สึกของชายหนุ่มก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
“ฉันตั้งใจมาคุยกับแกเรื่องนี้อยู่เหมือนกันรุ่ง ถ้าเป็นเรื่องที่ดินแกไม่ต้องห่วง ฉันยินดีจะช่วยเหลือแกเต็มที่ ไร่ฟ้าเพียงดินของฉันยินดีต้อนรับแก พี่ดง แล้วก็ครอบครัวของแกทุกคน!”
“เดี๋ยว..เดี๋ยวก่อน! รุ่ง ผู้ชายคนนี้เป็นใคร”
คะนึงนิจเบรกการสนทนาอย่างกะทันหัน จนใกล้รุ่งที่กำลังประมวลผลคำพูดของพงศ์พิชชาอยู่ต้องหันมาบอกเพื่อนเสียงอ่อย
“นี่พงศ์พิชชา เพื่อนของฉันเอง ไอ้ชา...นี่คะนึงนิจ เพื่อนของฉัน หลานสาวของคุณปู่พงษ์สิริ”
พงศ์พิชชาหันไปมองหญิงสาวที่ใกล้รุ่งเพิ่งจะแนะนำให้เขารู้จักด้วยสายตาที่ไม่ค่อยจะเป็นมิตร ก่อนจะแค่นเสียงออกมาอย่างหยันๆพลางกวาดสายตาไล่มองคะนึงนิจตั้งแต่หัวจรดเท้า
“อ้อ...หลานสาวของคนที่บังคับให้แกแต่งงานน่ะเหรอรุ่ง หน้าตาแบบนี้ พี่ชายก็คงไม่ต่างกันมั้ง เลยต้องเที่ยวบังคับให้คนอื่นเขาไปแต่งงานด้วยแบบนี้”
“นี่! นาย! พูดจาแบบนี้ไม่น่าอยู่รอดมาจนแก่ป่านนี้ได้เลยนะ ที่บอกว่าเป็นเพื่อนกับรุ่งนี่โกหกใช่ไหม หน้าแก่ขนาดนี้เป็นคุณครูตั้งแต่สมัยอนุบาลรึเปล่าหา!”
“พอได้แล้วทั้งสองคนเลย!” กรรมการห้ามมวยส่งเสียงเข้มดุมาตั้งแต่ยังเดินมาไม่ถึง อัสดงรีบเข้าไปยืนขวางตรงกลางระหว่างพงศ์พิชชาและคะนึงนิจทันที ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“เรื่องนี้พี่ตั้งใจจะพารุ่งไปคุยกับไอ้ชาที่ไร่ฟ้าเพียงดิน พี่ไม่อยากให้พ่อกับแม่รู้เรื่องนี้เร็วนัก ท่านอาจจะทำใจยอมรับไม่ได้ถ้าต้องไปอยู่ที่อื่นทั้งๆที่ที่ดินผืนนี้ท่านอยู่มาตั้งแต่เกิด”
“เรื่องนี้นิดว่ามันจะแก้ได้ง่ายนิดเดียว ถ้ารุ่งยอมแต่งงานกับพี่นุดซะ ยังไงคุณย่าก็จะต้องยกที่ดินให้รุ่งแน่ๆ” คะนึงนิจค้านขึ้นพลางจ้องไปยังพงศ์พิชชาตาเขียว ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ชะโงกหน้าจากด้านหลังของอัสดงมาเถียงทันควัน
“เรื่องแต่งงานมันใช่เรื่องเล่นๆหรือไง ทำไมเราต้องไปแต่งงานกับคนแปลกหน้าที่ไหนก็ไม่รู้เพราะแค่เรื่องที่ดินแค่นี้ ...รุ่งแกไม่ต้องไปสนใจอะไรทั้งนั้น ถ้าแกกับพี่ดงไม่มีที่อยู่ ฉันจะขายที่ดินติดๆกับไร่รุ่งอรุณให้ แกไม่จำเป็นต้องฝืนใจแต่งงานกับคนที่แกไม่อยากแต่ง!”
พงศ์พิชชาประกาศความตั้งใจของตนออกมาอย่างชัดเจน พลางหันไปมองใกล้รุ่งและอัสดงที่กำลังมองมาที่ตัวเขาอย่างลำบากใจ
“ผมพูดจริงๆนะพี่ดง ถ้าพี่ไม่มีเงินตอนนี้พี่ค่อยผ่อนให้ผมก็ได้ เรื่องเรือกสวนไร่นาที่พี่กับน้าตะวันลงแรงทำกันไปก็คงต้องทำใจล่ะพี่ แต่อย่างน้อยเรื่องบ้านเรื่องที่อยู่ผมจัดการให้พี่กับรุ่งได้”
“ขอบใจมากไอ้ชา รุ่งล่ะเห็นด้วยกับที่ไอ้ชามันพูดมาหรือเปล่า”
อัสดงหันไปถามน้องสาว ในขณะที่คะนึงนิจก็แอบลุ้นในใจ งานนี้เธอรู้ความจริงช้าไป ไม่อย่างนั้นเธอจะไม่มีวันยอมให้ใกล้รุ่งกลับมาที่พิษณุโลกเด็ดขาด เป็นตายร้ายดียังไงเธอก็จะจับใกล้รุ่งแต่งงานกับพี่ชายเธอให้ได้
“รุ่งกลัวพ่อกับแม่รับไม่ได้ เรื่องย้ายออกหาบ้านใหม่คงไม่เท่าไหร่ แต่ทั้งสวนทั้งนาที่พ่อทำมาทั้งชีวิต...แต่ย่ากลับจะเอาที่ดินนี้ไปให้คุณปู่พงษ์สิริไปสร้างโครงการคอมเพล็กซ์...”
ใกล้รุ่งเอ่ยกับพี่ชายเสียงเศร้า อัสดงจึงเดินมาโอบไหล่น้องสาวเอาไว้พลางเอ่ยปลอบใจทั้งๆที่ตัวเองก็เสียใจไม่แพ้กัน
“พวกเราคงทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้หรอกรุ่ง ที่ดินผืนนี้เป็นของคุณย่า ท่านจะทำอะไรหรือจะยกให้ใครก็คงแล้วแต่การตัดสินใจของท่าน พวกเราคงได้แต่ทำใจและยอมรับมันก็เท่านั้นแหละ เหมือนกับที่พี่ยอมรับในการตัดสินใจของรุ่งไง..”
อัสดงเอ่ยพลางยิ้มให้กำลังใจน้องสาวที่หน้าเสียลงไปอย่างรู้สึกผิดที่การตัดสินใจของตัวเองทำให้คนอื่นเดือดร้อนไปหมด ผู้เป็นพี่ชายจึงตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆอย่างปลอบโยน ก่อนจะตัดสินใจแบกรับหน้าที่อันหนักหนาสาหัสเอาไว้เอง
“... เรื่องนี้พี่จะพูดกับพ่อกับแม่เอง รุ่งพักผ่อนให้สบายใจเถอะ อย่างน้อยพวกเราก็ได้มีโอกาสอยู่ด้วยกันบนแผ่นดินเกิดของพวกเรานี่ ก่อนที่มันจะกลายเป็นของคนอื่นล่ะนะจริงไหม?”
........................................