“นัดปริมมา มีธุระอะไรคะ”
“สบายดีไหม” ชายหนุ่มไม่คิดจะตอบแต่กลับถามคนตรงหน้าแทนสายตากลับตั้งใจอ่านเมนูอาหารของภัตคารขึ้นชื่อแห่งหนึ่งในกรุงเทพ เขาจองที่นั่งนั้นค่อนข้างที่จะเป็นส่วนตัว
ปริมมาศต้องถอนหายใจกับท่าทีที่กวนประสาทเธอ หญิงสาวนั่งเงียบจับจ้องเขาด้วยสายตาที่ต้องการคำตอบ แต่ก็ไม่อาจทำให้เขานั้นสะทกสะท้านกลับเรียกพนักงานเสริฟเพื่อจะได้สั่งอาหาร เขาสั่งอาหารก็เยอะพอสมควร
“จะเอาอะไรเพิ่มไหม” ในขณะสั่งเมนูกับพนักงานเขาก็ไม่ลืมที่จะหันมาถามหญิงสาวตรงหน้า ก็เห็นปริมมาศสายหน้าเป็นการให้คำตอบแทน พอพนักงานทวนอาหารเสร็จก็เดินจากไปทำหน้าที่ของตัวเอง
“กินอะไรบ้างนะ ผอมลงรู้หรือเปล่า ” เขาสังเกตเห็นว่าเธอดูผอมไปจากแต่ก่อนตั้งเยอะ
“ทำไม..บ้านหลังนั้นดูแลไม่ดีหรอ”
“เขาดูแลดีค่ะ แค่ช่วงนี้ปริมไม่ค่อยหิว” ที่ไม่หิวบ้างทีเพราะเขาไม่ดูแลใจเรา... หญิงสาวคิดในใจแต่ไม่ได้พูดออกมา แล้วก็อดคิดถึงเรื่องสองวันก่อนไม่ได้..
“ที่หลังไม่หิวก็ต้องกิน”
“ค่ะ...ว่าแต่คุณหมอกนัดปริมมาทำไมคะ” หญิงสาวรับคำแล้วไม่ลืมที่จะถามชายหนุ่มกลับ
“ทำไม..พี่จะชวนน้องกินข้าวต้องมีธุระ?... ” แต่เป็นพี่น้องท้องไม่แท้ปริมมาศอยากพูดอย่างนี้ออกไปเหลือเกิน
ใช่เธอเป็นน้องไม่แท้ของชายหนุ่ม ตอนนั้นเด็กหญิงปริมมาศอายุประมาณ 9 ขวบได้ ต้องย้ายมาอาศัยอยู่กับป้าที่เป็นแม่บ้านที่กรุงเทพเพราะแม่ได้เสียไปปล่อยให้เธออยู่กับยายส่วนผู้เป็นพ่อก็มีครอบครัวใหม่อาศัยและทำงานอยู่จังหวัดชลบุรีทุกๆเดือนบิดาจะส่งเงินมาให้ใช้ แต่หลังๆส่งบ้างไม่ส่งบ้างแล้วก็หายไปเลย หนูน้อยพยายามเก็บเงินที่ได้จากการรับจ้างล้างจานในร้านก๋วยเตี๋ยวหน้าโรงเรียนในทุกๆวันหลังเลิกเรียนเหลือจากการแบ่งให้ยายแล้วเธอก็จะเก็บเงินไว้โทรหาพ่อต้องเก็บตังค์ไว้เยอะจะได้คุยกันได้นานๆ เด็กน้อยปริมมาศคิดในใจ วันนั้นก็มาถึงหนูน้อยโทรไปหาพ่อแต่กลับกลับมีผู้หญิงซึ่งเป็นแม่ใหม่ของเธอรับสายแทนพอวางสายหนูน้อยเข้มแข็งคนนี้กลับซึมไปหลายวันเพราะรู้ว่า พ่อนั้นส่งเงินให้หลายทางไม่ได้อีกแล้วไหนจะทางแม่ใหม่ไหนจะทางนี้พ่อไม่ไหว... ถ้าจะโทรขอแต่เงินไม่ต้องโทรมา แม่ใหม่บอกกับเธอแบบนี้จากนั้นมาปริมมาศก็ไม่กล้าโทรหาผู้เป็นพ่ออีกเลย ไม่ต้องส่งเงินมาให้แต่มาหาคนทางนี้บ้างก็ยังดี.......
เด็กหญิงตัวเล็กๆที่ใส่เสื้อตัวใหญ่กว่าตัวเวลาจะทำอะไรก็ต้องยกแขนเสื้อให้ปิดไหล่เล็กๆด้วยเพราะคอมันกว้างเกินไปสำหรับเด็กอย่างเธอ กำลังยืนพิงแอบอยู่ข้างประตูบ้านมองดูคนเพื่อนๆและเด็กๆข้างบ้านฉลองเทศกาลกับญาติพี่น้องตัวเอง แล้วเก็บมารู้สึกน้อยใจไม่ได้ที่ไม่มีอย่างเขา..และแล้วถึงวันที่ฟ้าผ่ากลางใจเด็กหญิงอีกครั้งเมื่อผู้เป็นยายได้เสียชีวิตลง ก่อนท่านจะเสียได้ฝากฝังให้ป้าที่กรุงเทพมารับไปอยู่ด้วย
ในความโชคร้ายก็มีความโชคดีที่คุณผู้หญิงธาราซึ่งเป็นนายหญิงของบ้านรับอุปการะเลี้ยงดูปริมมาศและนางก็ชอบเด็กผู้หญิงแต่กลับมีลูกชายแค่คนเดียว และการมาอยู่ของปริมมาศกลับดูเหมือนว่าลูกชายของบ้านหลังนี้ที่อายุไม่ห่างกับเธอเท่าไหร่นักไม่พอใจเพราะกลัวจะมีใครมาแย่งความรักของผู้เป็นแม่ไป และในทุกครั้งก็ไม่พลาดที่เขาจะรังแกเธอทุกครั้งไปตั้งแต่เล็กจนโต สร้างความเหนื่อยใจให้กับคุณธาราไว้มากพอสมควร
“ตอนคุณหมอกนัดมาบอกมีธุระ”
“ก็ถ้าบอกคิดถึงอยากเจอ จะมาไหมละ” หญิงสาวถึงกับอึ้งไปกับคำพูดของชายหนุ่ม ไม่ได้ตกใจกับคำว่าคิดถึงอะไรนั้นแต่ตกใจในการทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวยอมรับอย่างหน้าตาเฉยว่าโกหก
“………….”
“งั้นเห็นไหม ก็ไม่มา” อดที่จะพูดอย่างประชดไม่ได้ที่เห็นปริมาศทำเงียบไม่ตอบ แล้วยกยิ้มมุมปากให้เธอเป็นยิ้มที่ออกจะไปทางสมเพชมาทางตัวเองมากกว่า………
“แต่เราไม่ควรที่จะเจอกันไง” โดยเฉพาะสองต่อสองแบบนี้เธอแค่ไม่อยากให้ใครบ้างคนไม่พอใจ แต่ไม่ได้กลัวเขาจะหึงอะไรหรอกนะไม่เลยมันอาจจะไม่มีด้วยซ้ำ มันเป็นเพราะเหตุผลอื่นมากกว่า อีกอย่างแน่ใจมากแค่ไหนว่าชายหนุ่มตรงหน้าคิดกับเธอแค่น้องสาวจริงๆ ถ้าคิดแบบน้องสาวอย่างที่ปากว่าจะไม่คิดเลี่ยงการพบเจอสองต่อสองเลย..ต่อให้ใครบ้างคนไม่พอใจก็เธอะ
“เอาผู้หญิงมาเย้ยถึงที่ มันคงจะสนใจเธอหรอกนะปริม ” หมอกพูดออกมาอย่างรู้ความคิดของอีกฝ่ายดี
“คุณหมอก!!” พอฟังชายหนุ่มพูดจี้ใจดำแบบนี้ ถึงกลับมองค้อนกลับไปที่เขาอย่างเอาเรื่อง ถึงมันจะเป็นเรื่องจริงแต่เธอก็เจ็บเป็นรู้สึกเป็นไม่จำเป็นต้องมีใครมาบอกว่าเขาไม่รักเรื่องแบบนี้เธอก็รับรู้ได้เอง ขนาดไปรับลูกยังต้องไปคนเดียวไม่มีชวนเธอสักคำ
“ก็มันจริง…..” ชายหนุ่มพูดขึ้นเรียบๆพร้อมกับเปลี่ยนกิริยาบทมาเป็นนั่งไข่วห้างพิงพนักเก้าอี้ขนาดใหญ่แล้วจ้องเธอกลับไปอย่างกวนๆ แต่ข้างในใจมันรู้สึกไม่รู้ทำไมถึงเจ็บหน้าอกแปลบๆขึ้นมาที่เห็นเธอไปแคร์คนนั้นอยู่ๆใบหน้าหวานๆของใครบ้างคนก็ลอยเข้ามาในหัว
นั้นก็อีกคน...........
**************************************************