1
งานเลี้ยงฉลองชัยชนะของแคว้นต้าฉีถูกจัดในเจ็ดวันเจ็ดคืน จักรพรรดิเกาอีเฟยผู้ปกครองแคว้นฉีหัวเราะร่าท่ามกลางเสียงดนตรีและเหล่าสนมขนาบข้างกาย เจ้าเหนือหัวทรงแย้มสรวลอย่างเกษมสำราญในเจ็ดวันจนแทบลืมวันลืมคืนที่ทุกข์ระทม
สงครามไม่เคยทำให้ผู้ใดมีความสุข
ด้วยการปกครองของเกาอีเฟยที่จะเน้นไปทางการทหาร ฝึกนักรบให้แกร่งกล้า เกาอีเฟยสืบทอดบัลลังก์จากผู้เป็นพี่ชาย เขามาดมั่นที่จะสร้างบ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง ให้มากกว่าผู้เป็นพี่ที่เป็นทายาทสืบสกุลอันดับหนึ่ง ทว่าการปกครองในสมัยเก่าเทียนเย่กลับล้มเหลว เกาเทียนเย่หลงมัวเมากับความสำราญและความสุขของเงินทองมากกว่าประชาชน เขาผู้เป็นเพียงแค่องค์ชายรองจึงทำได้เพียงแค่อดกลั้นในความสำมะเลเทเมาอันไม่ได้เรื่อง...เหมือนสวรรค์มีตา รับฟังคำขอร้องของเกาอีเฟย เกาเทียนเย่ได้ป่วยด้วยโรคร้ายเมื่อห้าปีก่อน เกาอีเฟยจึงได้มีสิทธิ์ในพระราชบัลลังก์
ครั้นพอการปกครองเปลี่ยน อะไรๆ ก็ต้องเปลี่ยนไปตามเจ้าแผ่นดิน ทหารที่เอาแต่เกียจคร้านถูกจับฝึก ใครบังอาจไม่ทำตามมันผู้นั้นจักโดนลงโทษด้วยการเฆี่ยนตี กว่าจะเริ่มเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองต้าฉีได้ก็ปาเกือบหนึ่งปี ในห้าปีนี้ต่างแคว้นก็หวังยึดครองแคว้นในยามอ่อนแอ คราวแรกแคว้นฉีเกือบเข้าตาจนเสียดินแดนให้กับแคว้นเว่ย จนเข้าปีที่สามโชคดีที่ได้แม่ทัพผู้ชาญฉลาด สามารถขจัดศัตรูกองทัพจนพินาศ จนกระทั่งเมื่อสองปีที่ผ่านมาแคว้นฉินซึ่งได้ชื่อลือนามว่าแคว้นแห่งความตายได้หันมาทำสงครามกับแคว้นฉี การรบที่ยืดเยื้อ สูญเสียกำลังพลไปพอสมควร แคว้นฉีก็ได้รับชัยชนะ ทั้งหมดทั้งมวลมันเป็นความดีความชอบของแม่ทัพซูลี่
ใครว่าจักรพรรดิแคว้นฉินองอาจน่ากลัว ที่แท้ก็เป็นแค่ข่าวลือ
ครั้นพอคิดถึงดินแดนที่เป็นศัตรู เกาอีเฟยนึกลำพองในพลทหารของตน เสียงหัวเราะจ้าละหวั่นสร้างความเกษมสำราญให้ไม่น้อย ขนานรับกับนางรำ คลุกเคล้ากับเสียงดนตรี
“ท่านแม่ทัพซูลี่ ข้าได้ข่าวว่าเจ้าเล่นพิณได้ไพเราะ” เอื้อนเอ่ยกับผู้เป็นแม่ทัพใหญ่
ซูลี่ยกมือคารวะ “ฝ่าบาท ท่านชมข้าเกินไป ข้าน้อยซูลี่แค่เล่นพิณพอใช้ได้ ไม่ได้เก่งกาจ”
“ฮ่า ฮ่า อย่าถ่อมตัวเลย ข้าอยากได้ยินเจ้าบรรเลงสักครั้ง”
“ถ้าเช่นนั้น ข้าน้อยขอคำแนะนำ”
ไม่นานกู่เจิง**[1]** ก็ถูกยกเข้ามาโดยหญิงรับใช้ ซูลี่มองเครื่องดนตรีที่ตัวเองถนัดด้วยรอยยิ้มแผ่วหวาน จังหวะเคลื่อนมือและนิ้วไปตามบรรเลงเพลง เอนกายไหวพลิ้วไปตามท่วงทำนอง ยามที่ว่าเพียงแค่แม่ทัพซูลี่อยู่เฉยก็ว่างามแล้ว แต่พอเล่นดนตรีก็ยิ่งงามเป็นเท่าตัว
“แม่ทัพซู เก่งจริงๆ นะเพคะ ฝ่าบาท”
ฮุ่ยหวงไทเฮา...ฮองเฮาแคว้นต้าฉีอดที่จะชื่นชมแม่ทัพซูลี่ผู้เล่นพิณเสียไม่ได้ ร่างอ่อนช้อยงดงาม แต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศศักดิ์ ริมฝีปากบางกระจับสีสดยกยิ้มด้วยความพึงใจเช่นกัน
“อืม”
เกาอี้เฟยพึงใจในตัวแม่ทัพที่กล้าแกร่ง มือใหญ่ลูบหนวดเคราตัวเองพลางจดจ้องผู้ที่เปรียบเหมือนดั่งนางฟ้านางสวรรค์ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากนึกเชยชม
ไม่นานนักเสียงพิณ 25 สาย [2] ก็หยุดบรรเลง ประสานกับเสียงปรบมือของเหล่าขุนนางในพระราชสำนัก ซูลี่ยกมือคารวะอีกคราเพื่อแสดงความขอบคุณ ท่าทีอ่อนน้อมที่แสดงออกภายนอกช่างแตกต่างจากสิ่งที่อยู่ภายในใจยิ่งนัก ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น มีแต่เพียงซูลี่เท่านั้นที่รับรู้ถึงความคิดของตัวเอง กายด้านนอกที่สวยงาม จิตใจกลับว่างเปล่า ริมฝีปากยกยิ้มร้ายเมื่อถูกกล่าวชม นึกโชคดีที่เกิดมามีรูปลักษณ์ที่ใครเห็นใครก็ต่างหลงใหล
ในราตรีที่เจ็ด ฮ่องเต้ฉลองชัยชนะ
ทว่า...ไม่มีใครรู้
มีเงาบางอย่างกำลังคืบคลานเข้ามา
ภายด้านนอกนอกเขตพระราชฐาน เหล่ากองทหารที่เพิ่งผ่านการรบมาหมาดๆ กำลังร้องรำทำเพลงไม่ได้ต่างจากผู้ที่อยู่วังสักนิด เพราะเป็นเพียงแค่ทหารไร้ตำแหน่งจึงไม่อาจเข้าไปอยู่ด้านใน แต่ถึงอย่างนั้นฮ่องเต้ก็ยังคงพระราชทานอนุญาตให้จัดงานรื่นเริงไม่ได้ต่างจากเหล่าขุนนางที่ไม่ได้รบทัพจับศึก
หนิงลี่นั่งจิบเหล้าอยู่ในมุมหนึ่งที่แทบไม่มีใครสังเกตเห็น ใช่ว่าจะไม่ชอบงานรื่นเริง หนิงลี่ก็เป็นเพียงแค่ปถุชนคนเดินดินคนหนึ่ง ไม่ได้ต่างจากทหารนายอื่น เขารักสนุกตามประสาชายหนุ่มที่กำลังก้าวย่างเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ แต่ด้วยความที่ว่าตัวเองนั้นเป็นคนอัปลักษณ์ จึงไม่มีใครที่จะชอบเข้าใกล้สักเท่าไหร่
รูปร่างของหนิงลี่เป็นคนสูงพอประมาณ ผิวสีน้ำผึ้ง ใบหน้าและลำตัวตามแขนขาเป็นรอยแดงน่าเกลียด ผิวอย่างนี้มันเป็นมาตั้งแต่จำความได้ ตอนแรกก็เป็นไม่มาก พออายุยิ่งมากขึ้นมันก็ยิ่งเห็นชัด ด้วยฐานะทางบ้านที่เป็นคนยากคนจน หนิงลี่จึงเลือกที่จะไม่รักษา ครั้นพออายุถึงเกณฑ์เมื่อสองปีก่อนก็มาสมัครเป็นทหารเพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว อย่างน้อยการเป็นทหารมันก็ยังได้เบี้ยเลี้ยงไปช่วยเหลือน้องๆ อีกสามคนกับพ่อแม่ผู้แก่เฒ่า
ดวงตาหม่นเหม่อมองไปยังอาหารอันโอชาตรงหน้า นึกถึงหน้าครอบครัวที่กำลังอดอยากปากแห้ง อาหารมื้อนี้ก็คงจะพอให้อิ่มท้องหลายวัน ความเป็นห่วงกลัวว่าจะอดยาก หนิงลี่จึงเลือกที่จะเก็บอาหารที่ดีที่สุดใส่ย่ามเพื่อส่งไปทางบ้าน ส่วนตัวเองนั้นเป็นเพียงแค่หมั่นโถวชิ้นเดียวก็เพียงพอ
“หนิงลี่”
‘จิ่นสือ’ เพื่อนสนิทเพียงหนึ่งเดียววิ่งหาด้วยใบหน้าที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสุข
หนิ่งลี่หันมองอย่างนึกฉงน อะไรที่ทำให้เพื่อนคนนี้วิ่งมาซะหอบ
“ข้ามีอะไรให้เจ้าดู รับรองเจ้าต้องชอบ”
จิ่นสือล้วงมือเข้าไปในรอยแยกสาบเสื้อตรงแผงอก เขาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมา เพียงแค่เห็นหนิงลี่ถึงกับตาลุกวาว ตั้งท่าจะคว้าหนังสือเล่มนั้นไว้ แต่กลับถูกจื่นสือแกล้งยกชูสูง จนเขาต้องเงยหน้ามองคนขี้แกล้ง ใบหน้าเปื้อนแดงบูดบึ้ง ราวกับว่าถูกแย่งของรัก ด้วยความสูงของจิ่นสือที่สูงถึงแปดฉื่อ [3] จึงไม่อาจทำให้หนิงลี่ที่สูงเพียงเจ็ดฉื่อแย่งหยิบมาได้
“จิ่นสือ เจ้าแกล้งข้า”
“ฮะ ฮะ” จิ่นสือหัวเราะร่อน “ครั้งหน้าเจ้าต้องเลี้ยงข้านะ” ยื่นหนังสือให้อีกฝ่าย
“ขอบใจเจ้ามาก” หนิงลี่ยิ้มกว้าง ในที่สุดก็ได้มาอยู่ในมือ
นิสัยของหนิงลี่ที่เป็นคนรักการอ่าน เขาจึงชอบการอ่านหนังสือทุกชนิด โดยเฉพาะการศึกษาเกี่ยวกับแพทย์ หนิงลี่อยากเป็นหมอ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากมีเงินไปเรียนหาความรู้เพิ่มเติม จะได้เอาความรู้นั้นไปช่วยบรรเทารักษาชาวบ้านที่ตกทุกข์ได้ยาก
“ให้ตายสิ เจ้านี่นะ พอเห็นหนังสือทีไรตาลุกวาวทันที กว่าข้าจะได้หนังสือเล่มนี้มามันยากขนาดไหน เจ้าควรขอบคุณข้าและสำนึกบุญคุณ” จิ่งสือถามหาความดีความชอบ
ไม่เลย...เขาไม่ได้หามาอย่างยากลำบากเหมือนดั่งที่บอก เมื่อตอนกลางวันเขาถูกเรียกไปช่วยทางด้านหลัง ดันเจอหนังสือแพทย์ที่อยู่ตรงกองขยะโดยบังเอิญ คงเป็นของพวกบัณฑิตที่เอามาทิ้งหรือไม่ก็ลืมวางไว้เสียมากกว่า ด้วยความที่เป็นเพื่อนมาหลายปี จิ่งสือรับรู้ได้ทันทีว่าหนิงลี่ชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไร แต่กว่าจะเลี่ยงตัวเอามาได้ก็ปาไปดึกดื่น
“เอาไว้ครั้งหน้าข้าจะตอบแทน”
หนิงลี่เปิดผ่านหนังสือก่อนจะรีบวิ่งไปหามุมที่สงบสุข ความครื้นเครงของงานเลี้ยงไม่อาจสนุกเทียบได้กับหนังสือหนึ่งเล่ม จิ่งสือได้แต่มองอย่างนึกขำ นี่เขาหรือคิดถูกหรือคิดผิดกันแน่นะที่เอาหนังสือมาให้หนิงลี่ในตอนนี้
จิ่งสือเปลี่ยนเป็นทอดมองท้องฟ้าสีดำในยามมืดมิด อีกแค่ไม่กี่ชั่วยามก็ใกล้รุ่งสาง ท้องฟ้าในค่ำคืนนี้ช่างงดงามแพรวพราวไปด้วยดวงดาวระยับ พลันเบนสายตาไปยังทหารกองหนึ่งโดยบังเอิญ พลทหารกองนั้นมีราวๆ เกือบสิบคน แต่ละคนก็นั่งจิบเหล้าเหมือนกับพวกทหารนายอื่น
แต่แปลก...จิ่นสือคิดเช่นนั้น
พวกเขาไม่มีทีท่าจะเมาสุรา ไม่มีแม้กระทั่งการลวนลามหญิงสาวรับใช้ในวัง พวกเขานั่งอยู่กันอย่างสงบเสงี่ยม แล้วครู่หนึ่งก็พากันลุกขึ้นเดินเข้าไปยังประตูพระราชฐานที่ถูกปิด ใครบางคนเปิดมันออก
หรือจะถูกเรียกไปช่วยงาน?
ความอยากรู้ประสามนุษย์คละความสงสัย จิ่นสือจึงตั้งใจที่จะตามไปดู ในขณะที่กำลังก้าวเท้าย่างเดินก็ถูกมือหนึ่งดึงจากทางด้านหลัง เป็นเพื่อนนายทหารที่เหมือนกับตน ท่าทีเมาปลิ้นโซซัดโซเซ ในมือถือไหใบหนึ่ง กลิ่นของมันคละคลุ้งจนรู้สึกได้
“จิ่นสือ เจ้ามากินเหล้ากับข้า”
“แต่ข้า...” ตั้งใจจะปฏิเสธ หันมองไปยังประตู ไม่มีใครอยู่แล้ว
“เอื๊อก อ้วก! ~” เมื่อทนไม่ไหว ทหารผู้นั้นจึงพวยพุ่งของเหลวจากในกระเพาะ มันเกือบไปโดนจิ่นสือเข้า ว่าโชคดีที่หลบทัน ไม่เช่นนั้นคงได้เลอะไปทั้งตัวเป็นแน่
“โธ่เอ๊ย” จิ่นสือส่ายหัว เขาพยุงคนเมาให้เดินไปอีกทาง จนหลงลืมไปว่าตนเองกำลังคิดอะไรอยู่
ด้านในวังที่กำลังจัดเลี้ยง พวกขุนนางตามเริ่มเมาสุราเต็มที่ ฮ่องเต้เกาอีเฟยแทบควบคุมตัวเองไม่อยู่จนฮองเฮาต้องเป็นฝ่ายเข้าไปประคอง
ซูลี่ปรบมือให้เข้ากับจังหวะดนตรีพลันมองนางรำด้านหน้า ร่างกายอิสตรีอ่อนช้อยบอบบางจนน่าทะนุถนอม เสื้อผ้าบางปลิวไสวไปตามท่วงท่าร่ายรำ
ในราตรีที่เจ็ด...ทุกคนล้วนอยู่ในภวังค์แห่งความสุข
ทว่าความสุขนั้นกลับถูกทำลายเมื่อขุนนางนายหนึ่งเกิดสำลัก มันไม่ใช่แค่เพียงสำลักธรรมดา แต่มันเป็นการชักกระตุกเกร็ง อาภรณ์ที่สวมใส่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดที่ไหลทะลักออกจากปาก ดวงตาเบิกโพลนด้วยความทรมาน แล้วไม่นานนักร่างที่สั่นสะท้านก็หยุดหายใจท่ามกลางความแตกตื่นของผู้ที่อยู่รายรอบ เสียงเอ็ดตะโรโห่ร้องดังลั่น พวกเขาไม่คิดเลยว่าจะมีใครตายในวันมงคลเช่นนี้
และไม่ใช่แค่หนึ่ง
กลับมีถึงสอง สาม และสี่ จนนับแทบไม่ถ้วน พวกเขาต่างจับไปที่คอตัวเองก่อนไอเป็นเลือดเหมือนกับคนแรก พวกเขาสิ้นใจไปทีละคน...ทีละคน
ฮ่องเต้เกาอีเฟยลนลาน ความเมาที่มีมากในคราวแรกเริ่มซ่างชา มันเกิดอะไรขึ้น! มีแต่คำถาม ดวงตาตื่นตระหนกทอดมองไปยังร่างที่ไร้วิญญาณ แต่พลทหารองครักษ์กลับยืนนิ่งแข็งเป็นหิน ไม่สนใจหรือตื่นตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นสักนิด
“ฝ่าบาท! มันเกิดอะไรขึ้น” ฮุ้ยฮวงยกมือทาบอก เธอไม่สามารถมองภาพคนตายกลื่นกราดตรงหน้าได้ จนต้องเบือนหน้าหนีโดยมีเหล่าหญิงรับใช้คอยประคอง
“ทะ...ทหาร! ยังไม่รีบจัดการอีก” เกาอีเฟยชี้มือกราด มันต้องมีเงื่อนงำ
ไฉนเลยเหล่าทหารจะเชื่อฟัง ไม่มีเสียงตอบรับ ความผิดปกติที่สั่นคลอน เป็นซูลี่ที่รีบชักดาบตรงคาดเอว ทว่ายังไม่ทันที่จะเงื้อมมือต่อสู้ ร่างทั้งร่างก็ต้องหยุดชะงักเมื่อมีความรู้สึกว่าต้นคอถูกดาบเล่มยาวอีกด้ามมาจ่อที่คอ เหล่าทหารคนที่เหลือพุ่งตรงไปจับตัวฮ่องเต้และฮองเฮา ความเป็นลูกผู้ชายฮึกเฮิม เกาอีเฟยที่อยู่ในช่วงไร้อาวุธเริ่มก้าวเดินถอยหลัง ทว่าร่างกายกลับอ่อนแรกเสียดื้อๆ เข่าทั้งสองข้างทรุดฮวบลงกับพื้น ไม่ใช่แค่เขา ฮองเฮาด้วยเช่นกัน
ดวงตาพร่าเลือน ร่างกายหนักอึ้ง คนเคยผ่านสงครามรับรู้ได้ทันทีโดยสัญชาตญาณ ว่าในที่นี้เขากำลังพ่ายแพ้
ทหารในชุดต้าฉีคนหนึ่งเดินมาทางเขา เกาอีเฟยถูกจับ ในฐานะที่เป็นเจ้าแผ่นดินนึกเคืองแค้นอยากต่อสู้ ถูกลากให้ลุกออกจากบัลลังก์พร้อมกับฮองเฮา ถูกจับกุมตัวจนเป็นดั่งนักโทษ ด้วยสภาพร่างกายที่ไม่พร้อมจึงทำได้เพียงแค่ส่งสายตาอาฆาตแค้น
"พวกเจ้าเป็นใคร"
มันเป็นคำถามไร้ซึ่งคำตอบ
ไม่มีใครตอบคำถามฮ่องเต้
สุรเสียงที่เปรียบเหมือนลม แค่พัดผ่านใบหู สีหน้าของเหล่าทหารนิ่งงัน พลันรอบตัวก็หยุดนิ่งเมื่อมีอาคันตุกะที่ไม่ได้รับเชิญ
สวมชุดสีขาวสะอาด ใบหน้าหล่อเหลา เส้นผมสีนิลยาวถึงแผ่นหลัง ท่าทีสง่างามราวกับเซียน ทุกย่างก้าวแผ่วเบาแต่ทรงพลัง ริมฝีปากกระตุกยิ้ม ช่างเป็นรอยยิ้มที่ดูชั่วร้ายมากกว่าเป็นคนดี
ผู้มาใหม่ผู้นี้มีนามว่า...ซ่งจินเหลียง
ฮ่องเต้แห่งแคว้นฉิน
ซูลี่มองบุรุษผู้นี้ตาไม่กะพริบ พึงใจเพียงรูปโฉมตั้งแต่แรกเห็น ทว่าตนนั้นยังคงอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีนักจึงทำได้เพียงแค่ทะนงตนอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ
ซูลี่เป็นคนฉลาด...เขาย่อมรู้ว่าควรทำเช่นไรให้เป็นที่จดจำ
“เจ้า!”
เกาอีเฟยขบเขี้ยวไปยังแขกไม่ได้รับเชิญ มันผู้นี้เป็นผู้ที่เข้ามาทำลายงานเลี้ยงสังสรรค์
ริมฝีปากฉีกยิ้มแผ่ว สองขายังคงเดินอย่างไม่ยำเกรงไปเบื้องหน้า สืบเท้าก้าวเข้าไปใกล้บัลลังก์ที่เพิ่งว่างเปล่า เหยียบย่ำบรรดาศพที่เพิ่งตายหมาดๆ ด้วยความไม่ใส่ใจ งานรื่นเริงถูกยับยั้งยามที่กายโหดสาวเท้าเดินไปนั่งบนบัลลังก์ทอง
มันเป็นบัลลังก์ของของเจ้าแห่งแคว้นต้าฉี แต่บัดนี้กลับกลายเป็นของจักรพรรดิวิปลาสโดยชอบธรรม
พระเนตรดุร้ายกวาดมองเฉลยศึก บ้างแสดงสีหน้าหวาดกลัว บ้างก้มหน้าไม่กล้ามอง ใบหน้าของชนชาวแคว้นต้าฉีมันช่างขัดหูขัดตายิ่งนัก ทหารบางนายยืนเป็นเหมือนดั่งหินแข็ง ใช่ว่าจะไม่กล้า ใช่ว่าจะเกรงกลัว แต่เพราะเขากำลังจับฮ่องเต้แห่งแคว้นฉีเป็นตัวประกัน
ถ้าพวกมันขยับเพียงนิด หัวฮ่องเต้คงได้ขาดสะบั้น
"เจ้าต้องการอะไร"
แม่ทัพใหญ่ซูลี่ที่อยู่ในสถานะเดียวกันนั้นเป็นฝ่ายเปิดปาก กายขาวถูกจับรั้งโดยทหารของศัตรู
จักรพรรดิวิปลาสแสยะยิ้มร้าย
"ข้าต้องการหนิงลี่"
TAKE
เรื่องนี้เป็นนิยายจีนเรื่องแรกที่เทคแต่ง เพราะฉะนั้น การหาข้อมูลอาจไม่ดีพอ ถ้าผิดพลาดตรงไหน ต้องขออภัยอย่างยิ่ง แนะนำเทคมาได้เลย เทคจะได้เอาไปปรับเพื่อทำให้ดีขึ้น
**[1]** ลักษณะของ "กู่เจิ้ง"
ลักษณะของกู่เจิ้งโดยกายภาพจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน
1. ส่วนบนสุด ที่เป็นเส้นเสียงจะเชื่อกันว่าเป็นแดนสวรรค์เป็นส่วนกำเนิดเสียงสวรรค์ เส้นสายพาดจากซ้ายไปขวาเปรียบเสมือนท้องฟ้าอันกว้างไกล แนวหย่องเรียงรายประดุจขุนเขาไกลโพ้น
2. ส่วนพื้นของตัวกู่เจิ้ง เชื่อกันว่าเป็นแม่น้ำมหาสมุทร โดยมีขอบเป็นโลกมนุษย์
3. ด้านล่าง คือแดนบาดาล จะมีช่อง 2 ช่องประดุจสระหงส์และวังมังกร
**[2]** ในปัจจุบันนี้ไม่มีการกำหนดจำนวนสายที่แน่นอนสำหรับกู่เจิง สายมากน้อยขึ้นอยู่กับความถนัดและลูกเล่นของแต่ละบุคคล ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ที่ ๑๙ - ๒๕ สาย ตามความเหมาะสมของผู้เล่น ซึ่งอาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ก็ได้
Cr.https://www.gotoknow.org/posts/260468
**[3]** ฉื่อ เป็นหน่วยวัดของจีนโบราณ ราวๆ 1 ฉื่อ ประมาณ 23-24 เซนติเมตร
Cr. https://www.facebook.com/samkokview/posts/657215524318880