ตอนที่ 8 นานะ
กลิ่นหอมอ่อนๆเหมือนกลิ่นลูกหมาที่ลิ้นยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ความอุ่นที่บังเกิดขึ้นตรงท้อง สัมผัสที่อ่อนนุ่มคละเคล้าไปกับลมหายใจ ยิ่งเมื่อสายลมอ่อนตอนเช้าพัดเอาไอน้ำจากบึงที่มีกลิ่นหอมเฉพาะของมันอันเนื่องมาจากดอกไม้ของพืชน้ำหลากชนิดที่แข่งกันผลิบานในตอนเช้า แสงแดดอ่อนกระทบสร้างไออุ่นละไม ความรู้สึกที่เหมือนกับมีอะไรหนักๆทับที่ตัว คาดเดาน้ำหนักของมันก็ราวๆ 10 กว่ากิโล
“งืม...งืมๆ” สุรเสียงเล็กๆเปล่งออกมาทางจมูก การขยับที่เหมือนกับเอาอะไรมาสะกิดรัดร่างกาย
เจ้าไผ่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงนั้นพลันก็ค่อยๆเปิดเปลือกตา แต่แสงแดดเจ้ากรรมดันแรงไปหน่อยจึงต้องหลับตาก่อนแล้วค่อยๆให้มันชินกับแสงข้างในเปลือกตา จากนั้นก็ค่อยๆเปิดออกช้าๆรับแสงแดดภายนอก ทิ้งไว้อย่างนั้นสักพักเพื่อให้มันคุ้นชินเสียก่อน และเมื่อชัดเจนแล้วก็มองไปยังเสียง งืมๆเล็กๆที่เป็นต้นเหตุ
ผมสีน้ำตาลเพลิงสั้นประบ่าพลิ้วไสวไปตามแรงลม ตาที่หลับพริ้มยิ้มละไมอย่างมีความสุข มือน้อยๆค่อยๆเลื่อนมาโอบกอดเลือนร่างที่เปลือยเปล่าของเจ้าไผ่ ชุดใส่สีเขียวอ่อนใบไม้ที่แขนเสื้อเลยออกมาจนแทบจะกลบมือน้อยๆนั้น ผิวสีขาวนวลผ่องแถมด้วยความนุ่มละไมคล้ายกับยืดหยุ่นได้
“เอ๋...เด็กผู้หญิง...ละแล้วมาอยู่ในป่าไร้ผู้คนแบบนี้ได้ไงหว่า...หระ หรือว่าจะเป็น...
“แว๊ก!!!!!!!!! ผีหลอกแล้วไง!!!” เจ้าไผ่สังเกตเด็กตัวน้อยไม่ทันไรพลันก็กระโดดทั้งที่ยังนอนอยู่เล่นเอาเด็กตัวน้อยๆต้องตกกระทบพื้น พลันเจ้าไผ่ก็ตะโกนแทบจะลั่นป่าว่าผีหลอกจากนั้นก็พนมมือไหว้แล้วท่อง นะโม นะโม ซ้ำๆกันไปมาอยู่อย่างนั้น แรงกระทบดังกล่าวได้ทำให้เด็กตัวน้อยๆลืมตาตื่นขึ้น และเหมือนว่าเธอไม่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับแรงกระทบนั้น
นัยน์ตาสีน้ำตาลเพลิง แวววาววับเป็นประกายเมื่อกระทบกับแสงตะวัน เด็กตัวน้อยยิ้มละไมแล้วลุกนั่ง ตัวเสื้อที่ใหญ่เกินขนาดตัวได้คลุมเรื่อนร่างน้อยๆไว้ทั้งหมด แขนเสื้อที่ยาวจนเลยมือทั้งสองข้าง เด็กน้อยนั้นมองมายังชายที่พนมมือตรงหน้าท่องนะโม นะโมซ้ำๆ ชายผู้ล่อนจ่อนที่อยู่ตรงหน้า
“พี่ชาย ทำอะไรเหรอ?” เสียงน้อยๆของเด็กสาวพูดอีกภาษาหนึ่งแต่คนฟังมันรู้สึกได้ว่าแปลเป็นอย่างนี้ เล่นเอาเจ้าไผ่สตั้นไปชั่วขณะ พร้อมกับหัวสมองขบคิดหาต้นเหตุและส่าเหตุที่ทำให้เข้าใจภาษาที่เด็กพูด
“นี่เราฟังเข้าใจด้วยเหรอ ....อ่ะเอ้ยหนูน้อย ยะ อย่ามาหลอกมาหลอนพี่เลยนะ พี่ไม่รู้ว่าหนูสิงสถิตอยู่ที่ต้นไม้ที่พี่โค่น ขอโทษนะค้าบ พี่ขอโทษอย่ามาหลอกหลอนพี่เลย พี่กลัวแล้วค้าบ” เจ้าไผ่ยังคงเข้าใจในแบบของเขาต่อไป
“เอ๋ พี่ชายพูดอะไร นานะไม่ใช่ภูติพฤกษานะจะได้อาศัยอยู่กับต้นไม้ แล้วนานะก็ไม่ใช่ภูติที่พี่ชายเข้าใจด้วย นานะไม่ได้มาหลอกพี่ชายน๊า” หนูน้อยขยับปากพูดเสียงใสด้วยรอยยิ้มละไมละลายใจของเหล่าชายผู้เป็นโลลิค่อนทั้งหลาย แววตาเป็นประกายนั้นน่ารักเสียจนอยากจะเข้าไปกอดแล้วหอมแก้มหลาย ๆ ฟอดเจ้าไผ่นั่ง งง กับการอธิบายของหนูน้อย ทั้งเรื่องภูติและเรื่องที่หนูน้อยที่ชื่อนานะนั้นพูดว่าตนไม่ใช่ผี พลันสองเท้าก็ขยับเข้าไปใกล้ๆหนูน้อย แล้วสองมือก็จับแก้มแล้วลองดึงๆดู จมูกเจ้าไผ่ก็เข้าไปใกล้ตัวของเด็กน้อยแล้วดมฟุดฟิด ฟุดฟิดอย่างกับมันเป็นหมาอย่างไงอย่างงั้น
“มีกลิ่นน้ำนม และผิวก็นุ่มนิ่มจับได้ อืมๆไม่น่าจะใช่ผีจริงๆนะแหละมั้ง” เจ้าไผ่พูดแล้วลองดึงแก้มอันนุ่มนิ่มอีกที
“หยูดดึงด้ายแย้วพี่ชายย หนูม่ายใช่ภูตินะ” นานะพูดในท่าทีที่โดนเจ้าไผ่ดึงแก้มอยู่ เสียงที่เปล่งออกมาจึงไม่ค่อยชัดเจน
ไผ่พยักหน้าหงึก ๆ รัว ๆ แต่มือก็ยังคงดึงแก้มต่อไป
“นานะจ๊ะ ว่าแต่หนูมาอยู่ในป่านี้ได้ยังไงเหรอ พ่อแม่ละไปไหน แล้วหนูมีบ้านอยู่มั๊ย” คำถามของเจ้าไผ่พ่วงไปทันทีทันได้จนหนูน้อยเบ้ปากบู่ย บู่ย
“นานะก็อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิดแล้วพี่ชาย ท่านพ่อกับท่านแม่นานะก็อยู่ข้างในนู้น บ้านนานะก็หลังโตมากเลยนะ แล้วอีกอย่าง ฝ่ายที่จะถามควรจะเป็นนานะมากกว่านะ บู่ยยย” นานะน้อยตอบคำถามแล้วทำสีหน้าคล้ายไม่พอใจ แต่ไอ้สีหน้าแบบนี้มันเป็นสิ่งที่ช่วงชิงหัวใจเหล่าโลลิชัดๆ
“เออ..นั้นสินะ แหะๆ ว่าแต่นานะจะถามอะไรพี่เหรอ” ไผ่ทำหน้าเหยเกแล้วยิ้มเหยๆ
“พี่ชายเข้ามาในนี้ได้ยังไง ปกติไม่มีใครเข้ามาในอาณาเขตทมิฬของท่านพ่อได้นี่ แล้วทำไมพี่ชายถึงได้...” นานะพูดไม่จบแต่ใช้แววตาใสวิ้ง ๆ จ้องมายังดวงตาของเจ้าไผ่แทน
“เอ๋ อย่าจ้องหน้าพี่เหมือนกับว่าพี่เป็นโจรผู้ร้ายอย่างนั้นสิ ความจริงแล้วพี่หนีเจ้ากบ กับเจ้าหมาหลายๆหางสุดเฮงนั่นมาต่างหาก แล้วก็เจอม่านสีดำที่มันบางๆก็เลยพุ่งเข้ามานี่แหละ” ไผ่พูดอธิบายทันควัน เพราะกลัวว่าหากหนูนานะไปฟ้องพ่อกับแม่ล่ะก็ความซวยคงได้มาเยือนแน่แท้
“แล้วทำไมพี่ชายถึงมาอยู่ตรงนี้ล่ะ ไม่ออกไปข้างนอกเหรอ” หนูนานะช่างเป็นเด็กขี้สงสัยอะไรเช่นนี้
“ก็ถ้าออกไปก็กลายเป็นอาหารพวกมันน่ะสิ แถมที่นี่ก็เงียบสงบดีออก พี่ก็เลยกะว่าจะทำที่พักชั่วคราวที่นี่ ไว้เข้าใจอะไรหลายๆเรื่องค่อยวางแผนใหม่อีกทีก็เท่านั้นเอง แต่เอ นี่นานะอายุเท่าไหร่แล้วเนี่ย..” เจ้าไผ่ตอบคำถามหนูนานะแล้วดูร่างอันเล็กกระจ้อยนั้นก็สงสัยสิท่าน ว่านี่มันเด็กจริงหรือเปล่าทำไมถึงถามเยอะจังฟร๊ะ
“นานะอายุ 2 ขวบ แล้วพี่ชายล่ะ” นานะตอบพร้อมกับคำถามใหม่
“พี่อายุ 17 น่ะ” ไผ่ตอบยิ้มๆ
“17 ขวบเหรอ พี่ชายโกหก บอกอายุจริงพี่ชายมานะ ไม่งั้นนานะจะกัดพี่ชาย” นานะถามอีกครับท่าน
“เอ่อ ที่จริงก็อายุพันกว่า ๆ เอ้ยไม่ใช่ อายุ สิบเจ็ดนั่นแหละจ้า การวัดอายุของพี่กับนานะคงไม่เหมือนกัน ว่าแต่เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงล่ะ ไม่กลับไปหาพ่อแม่เหรอ” ไผเปลี่ยนคำถาม
“อืม....นานะออกมาเดินเล่นน่ะ แล้วก็ได้กลิ่นหอมของอาหาร ก็เลยตามกลิ่นมาจนเจอนี่แหละ อาหารที่พี่ชายทำอร่อยมากเลยนะ แถมตัวพี่ชายก็อุ่นด้วย” นานะพูดยิ้มๆใสๆ ไม่เหมือนกับตอนถามคำถามที่เล่นเอาเจ้าไผ่ต้องเหงื่อตก
“เอ่อ งั้นเหรอ อืม..เอาเป็นว่าตอนนี้นานะก็กลับไปหาคุณพ่อกับคุณแม่ได้แล้วนะ ส่วนพี่ชายจะขอสะสางธุระตรงนี้ก่อน สรุปก็คือทางใครทางมันก็แล้วกันนะ” ไผ่พูดในธรรมนองที่แบบว่าอยากจะไล่ให้นานะไปไกลๆนั่นแหละ ตัวเองก็ล่อนจ้อนมันยังไม่คิดจะหาผ้ามาใส่เลย แถมยังไม่พอเจ้าตัวก็เดินลงบึงน้ำแล้วจักการอาบน้ำอีกรอบ แต่อาบคราวนี้ไม่ได้ใช้แชมพู สบู่อะไร แค่ถูๆ แล้วก็ล้างตัวด้วยน้ำเปล่าๆเพียงเท่านั้น เมื่อขัดจนสะอาดแล้วก็เดินขึ้นฝั่ง จัดการก่อไฟโดยใช้ถ่านที่ใกล้จะมอดดับอยู่รอมร่อเป็นเชื้อเพลิง ใบไม้ที่เปียกน้ำค้างยามเช้าก็หาได้เป็นอุปสรรค เพียงแต่กว่าจะติดไฟก็ใช้เวลานานหน่อย ส่วนนานะตัวเล็กนะหรือ เธอยังไม่ไปไหนหรอก นั่งบนกองใบไม้มองดูเจ้าไผ่ทำกิจกรรมของมัน ปลาที่ตากไว้ก็นำมาย่างส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็นำมาห่อใบไม้ชนิดเดิมเช่นเคย เมนูอาหารก็คงจะเมนูเดิมเมื่อวานเพียงแต่วันนี้เจ้าไผ่มันล้วงเอาซ๊อกโกแลตแท่งในกระเป๋าออกมาแล้วก็แบ่งหนึ่งส่วนสามใส่เข้าไปในห่อใบไม้พร้อมกับเนื้อปลา อีกส่วนหนึ่งก็เคี้ยวตุ้ยๆด้วยรอยยิ้มหวานพริ้ม
นานะตัวน้อยก็จ้องดูห่อช๊อกโกแลตไม่ละสายตาจนเจ้าไผ่ต้องยื่นส่วนที่เหลือให้ เธอก็รับไว้แถมออกอาการดีใจเป็นพิเศษ จมูกน้อยๆดมช๊อกโกแลตอยู่ชั่วครู่หนึ่ง
“หอมจังเลย” นานะพูดพร้อมกับกัดหมับไปที่แท่งช๊อกโกแลต เธอหลับตาหวานพริ้มเพื่อให้ลิ้นซึมซับรสชาติแห๋งความหวาน กลิ่มหอมละไม รสชาติกลมกล่อมกระตุ้นความอยาก แถมสารอาหารก็อัดแน่นอีก ในช๊อกโกแลตนี้มันหวานจนทำให้นานะยิ้มอยู่นานสองนาน เธอค่อยๆกัดกินช๊อกโกแลตนั้นเหมือนกับว่าไม่อยากจะให้มันหมดในตอนนี้
ทางด้านไผ่ พอปลาสุกได้ที่ก็นำมาวางไว้กับใบไม้หอมที่พึ่งเด็ดมาจากเครือสด ๆ ร้อน ๆ ปลาทั้งย่างทั้งห่อใบไม้วางเรียงกัน ครั้งนี้มีปริมาณเยอะกว่าเมื่อวานถึง 2 เท่า
“นานะ จะทานด้วยกันมั๊ย” เจ้าไผ่เรียกนานะที่หลับตาพริ้มแล้วค่อยๆกินขนมหวานที่เป็นของโปรดตน เธอค่อยๆลืมตาขึ้นมาแล้ววิ่งแจ้นถือช๊อกโกแลตมา สองเท้ากระโดดเข้ามานั่งบนตักของเจ้าไผ่ที่นั่งอยู่อย่างรวดเร็ว
“นานะหิว นานะอยากกิน” เสียงใสของนานะเอื้อนเอ่อย ช๊อกโกแลตที่ยังไม่หมดถูกเก็บไว้ในเสื้อของเธอ จมูกน้อยๆสูดกลิ่นอาหาร แล้วกล่าวชม มือทั้งสองที่แขนเสื้อมันเลยไปจนจะลากพื้นอยู่รอมร่อยื่นไปเพื่อจะหยิบปลามาทาน แต่ก็ถูกเจ้าไผ่ขัดไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวสินานะ มาเดี๋ยวพี่พับแขนเสื้อให้ก่อน ขืนเราทานทั้งอย่างนี้ก็เปื้อนพอดีสิ” เจ้าไผ่ไม่พูดเปล่าบรรจงพับแขนเสื้อของนานะอย่างเรียบร้อย เสร็จสรรพเจ้าหญิงน้อยก็ลงมือทานคนแรกโดยไม่รอเจ้าไผ่ ส่วนคนทำอาหารก็ได้แต่เกาหัวแหงกๆ
“อร่อยจังเลยพี่ชาย กลิ่นก็หอมด้วย ผลไม้สีดำที่พี่ให้มันเข้ากับเนื้อปลาจนทำให้ไม่อยากหยุดทานเลยอ่า นานะอยากกินอีก” นานะตัวน้อยพูดชมแล้วอ้อนเจ้าไผ่
“ผลไม้สีดำที่นานะพูดถึงเขาเรียกว่าช๊อกโกแลต อืมที่จริงมันไม่ใช่ผลไม้หรอก แต่มันคือขนม แม้จะมีเปลือก(ซอง)แต่มันก็ถูกทำขึ้นโดยฝีมือมนุษย์นะ” ไผ่พูดอธิบายให้กับนานะ
“มนุษย์เหรอ พวกมนุษย์สามารถทำขนมที่อร่อยแบบนี้ได้ด้วยเหรอพี่ชาย นานะชอบมนุษย์แล้วสิ นานะอยากเจอมนุษย์ อยากกินขนมแบบอื่นๆของมนุษย์บ้าง” นานะตัวน้อยพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นพลันมือน้อยๆก็เข้าปากเพื่อดูดเอาคราบชอกโกแลตเข้าปาก
“นานะพูดเหมือนว่าตัวเองไม่ใช่มนุษย์เลยนะ” ไผ่พูดด้วยความสงสัยทั้ง ๆ ที่มันเป็นคำพูดเด็กที่อยู่ในป่าลึก
“นานะไม่ใช่มนุษย์ พ่อบอกว่านานะนั้นเหนือกว่ามนุษย์ และยังบอกว่าพวกมนุษย์ส่วนใหญ่น่ากลัว” นานะพูดตามประสาเด็กที่ถูกอบรมสั่งสอนจากผู้ใหญ่
“เห ไม่ใช่มนุษย์ แล้วมนุษย์ส่วนใหญ่ก็น่ากลัว อืมชักเห็นเค้าลางความซวยแล้วแฮะ แต่ว่านะนานะ มนุษย์ส่วนใหญ่นั้นน่ากลัวก็จริง แต่ก็มีคนที่ดีๆเหมือนกันนะ” ไผ่ปัดเรื่องที่ว่านานะไม่ใช่มนุษย์ออกไป เพราะมันไม่เชื่อหรอก จะให้เชื่อได้ยังไงล่ะ ผิวก็นุ่มนิ่ม อุณหภูมิร่างกายก็คือมนุษย์ แล้วบอกว่าตัวเองไม่ใช่มนุษย์ ซึ่งเหตุผลที่เจ้าไผ่มันเดาก็อาจจะเป็นเพราะพ่อของเขาอาจหนีสงครามหรือไม่ก็มีเหตุผลอะไรบางอย่างที่ต้องสอนลูกสาวแบบนี้แหละ
“ใช่แล้วพี่ชาย มนุษย์แม้ส่วนใหญ่จะน่ากลัว แต่ก็มีคนดีอยู่นะ เหมือนกับพี่ชายนี่ไง” นานะได้ทีชมเจ้าไผ่ ส่วนตัวคนที่ถูกชมนั้นนิ่งงันแล้วลูบผมนานะเบาๆ
“นานะ พี่ไม่ได้เป็นคนดีอย่างที่เข้าใจหรอกนะนะ พี่น่ะน่ากลัวกว่ามนุษย์เยอะ เรายังไม่รู้จักพี่ดีพออย่าพึ่งด่วนสรุปสิ” ไผ่พูดด้วยคำพูดที่อ่อนโยนแต่แววตากลับนิ่งลึกมองไม่เห็นแววแห่งความสดใส ส่วนนานะเอไม่ได้เห็นแววตานั้นเพราะมัวแต่นำใบไม้มาเลียเพื่อที่จะซึมซับเอารสชาติของมันไม่ให้เหลือเศษ อะไรจะปานนั้น
“เอ่อ สรุปว่าพี่ยังไม่ได้กินสักคำเลย ตัวเล็กทำไมเอถึงกินจุขนาดนี้....โอ้...” เจ้าไผ่มองดูผลงานที่นานะทำแล้วก็บ่นอุบ สรุปว่าเขาต้องประกอบอาหารอีกรอบใช่ไหมเนี่ย
“นานะขออีกนะ เอาเยอะๆเลยนะพี่ชาย” เสียงแจ้วๆของนานะหันมาพูดกับไผ่ แล้วเธอก็ลุกออกจากตักมือน้อยก็ควักเอาช๊อกโกแลตในเสื้อมากินอย่างช้าๆ ส่วนตัวเจ้าไผ่ก็เกาหัว เพราะความ งง นะสิครับท่าน
“รู้สึกว่าจะเริ่มเชื่อขึ้นมาบ้างแล้วแฮะว่านานะไม่ใช่มนุษย์ “ เจ้าไผ่พูดแล้วไปแล่เอาเนื้อปลาที่ตากมาจำนวนมาก เสมือนกับจะประชดนานะไปในตัว
“ก็นานะบอกแล้วว่านานะไม่ใช่มนุษย์” เสียงเล็กๆแจ้วมาจากปากของนานะที่กำลังคี้ยวขนมอยู่
ร่างอันล่อนจ้อนของเจ้าไผ่ก็ประกอบอาหารต่อไปโดยไม่มีความละอายใดๆ และเหมือนมันจะไม่สนใจอะไรด้วย สงสัยคงเป็นคนบ้าคนหนึ่ง เสร็จจากการทานอาหารรอบสองที่ทำมาเยอะเป็นพิเศษ แต่มันก็หมดเพราะนานะอีกเช่นเคย เด็กอะไรจะกินเยอะปานนั้น
ไผ่จัดการเก็บงานแล้วใส่เสื้อผ้า จากนั้นก็เก็บเกล็ดปลาไปกองรวมๆกันและเรียงกันตามขนาดอย่างเป็นระเบียบ ส่วนหนังของปลาก็นำมาใส่เกร็ด และเนื้อบางส่วน
กระเป๋าเป้สะพายไว้ด้านหน้า ด้านหลังแบกหนังปลาที่ใส่เกร็ดและเนื้อปลาบางส่วน เป้าหมายคือที่พัก ไผ่หันไปหานานะที่นั่งโบกมือให้
“พี่ไปก่อนนะ เราก็กลับไปหาพ่อแม่ได้แล้ว” ไผ่หันมาพูดแล้วแบกหนังปลาเดินไปตามเครื่องหมายลูกศรที่ขีดไว้
“ค่า แล้วเจอกันใหม่น๊าพี่ชาย...” นานะโบกมือลา
เมื่อไผ่หายเข้าไปในป่านานะก็ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย
“นานะไปหาคุณพ่อราอิลดีกว่า แล้วเดี๋ยวจาขออนุญาตไปเล่นกับพี่ชาย อืมนานะจำกลิ่นพี่ชายได้น๊า หากอยู่ในอาณาเขตนี้นานะหาเจออยู่แล้ว ไปหาพ่อดีกว่า เดี๋ยวนานะจะเล่าให้พ่อกับแม่ฟังเยอะๆเลย” นานะพูดด้วยคามไร้เดียงสาของเธอ ส่วนเจ้าไผ่ก็รู้สึกหนาวสันหลังแปลกๆ
เมื่อไปถึงที่พักก็จัดแจงวางหนังปลาลงกับพื้น สิ่งต่อไปที่ต้องทำก็คือเคลียร์พื้นที่ก่อน ครึ่งวันผ่านไปพื้นที่เป็นใบไม้ก็ถูกเคลียร์จนถึงระยะ 100 เมตรตามที่ตั้งเป้าไว้ มีดสั้นที่พาดกับเอวถูกหยิบขึ้นมา คาถาเดิมถูกร่ายอีกครั้ง
“ภารกิจต่อไปก็คือ การทำโพรงต้นไม้เพื่อที่จะใช้เป็นบ้านโพรงต้นไม้ครั้น เอาล่ะต้องเริ่มตรงนี้ก่อน อืมๆ เนื้อไม้ก็แข็งพอใช้ได้ สงสัยคงต้องใช้เวลาหน่อย แต่ก็ช่างเหอะ ค่อยๆทำไปเดี๋ยวก็เสร็จ” เจ้าไผ่พูดแล้วบรรจงเจาะกลางต้นไม้เพื่อทำเป็นโพรง
ขนาดต้นไม้ก็ใช่ว่าจะต้นเล็ก มันต้นใหญ่มาก หากเจาะเป็นโพรงได้นี่คาดว่าน่าจะนอนได้ 3-4 คนเลยทีเดียว
..................................................................................
ด้านนานะ
เมื่อเธอกลับไปถึงบ้าน หลังเล็กๆหลังหนึ่งก็มุ่งหน้าไปยังห้องหนังสือที่คุณพ่อกับคุณแม่เธอทำงานอยู่ แล้วก็มีห้องนอน ห้องอะไรต่อมิอะไรในตัว แถมห้องนี้ยังมีหนังสือเก่าๆเต็มไปหมด แถมเป็นหนังสือที่แผ่ไอ้สีต่างๆออกมาอย่างชัดเจน นานะมาถึงก็หอมแก้มพ่อกับแม่คนละฟอด จากนั้นก็เล่าเรื่องที่เจอในวันนี้ให้ฟังทั้งหมด ส่วนคุณพ่อคุณแม่เธอก็ยิ้มแล้วลูบหัวพร้อมกับชมลูกสาวตนเอง นานะเล่าจนหนำใจเธอแล้วก็ขออนุญาตไปเล่นกับชายที่เธอพูดถึง
“ได้สิ ว่าง ๆ ก็พาเขามาเที่ยวบ้านเราบ้างนะ” ผู้เป็นพ่อพูดด้วยรอยยิ้ม
“ค่า งั้นนานะไปหาพี่ชายก่อนนะ” นานะพูดจบก็หอมแก้มพ่อกับแม่อีกคนละฟอด แล้วก็วิ่งแจ้นไป เพื่อที่จะตามหาชายที่ชื่อไผ่
ครั้นเมื่อนานะจากไปแล้ว หญิงสาวหน้าตาเหมือนคนอายุ 16 ใบหน้าเรียวสวยยิ่งกว่านางแบบ ผิวพรรณที่ผ่องใสของเธอทำให้ตัวเธอดูสง่างามข้นไปอีกหลายขั้น เธอมองนานะด้วยแววตาเป็นห่วง
“จะดีเหรอคะคุณที่ปล่อยให้ลูกไปหาคนแปลกหน้าแบบนี้” เธอเอ่ยด้วยเสียงที่แทบจะฝังโสตของผู้ฟัง เป็นน้ำเสียงหวานใสจนใครที่ได้ฟังไม่อยากจะลืม
“ข้าก็เป็นห่วงลูกเหมือนกันแหละ แต่เมื่อมีบุคคลที่ผ่านเข้ามาในม่านทมิฬวิการัตน์ของข้าได้ก็แสดงว่าคนๆนั้นย่อมไม่ธรรมดา เพียงแต่ว่าจะมีใครเล่าที่จะทำให้นานะยิ้มอย่างมีความสุขแล้วก็กระตือรือร้นอยากจะไปเล่นด้วยขนาดนั้นได้บ้าง พวกเราทั้งสองแม้จะห่วงมากแค่ไหนแต่ก็ไม่สามารถออกไปจากตรงนี้ได้ เพราะถ้าก้าวท้าวออกจากห้องนี้เพียงก้าวเดียวเกรงว่าพวกอริคงรับรู้ถึงตำแหน่งที่อยู่เป็นแน่ อีกอย่างถ้าหากนานะเลือกคนที่เธอเรียกว่าพี่ชายเป็นผู้ถือครอง ข้าก็จะไม่ขัดข้องแม้จะห่วงแสนห่วงเพียงไหนก็เถอะ” ชายรูปร่างหน้าตาวัย 20 เอ่ยกับภรรยาของตน สายตาเขาก็เป็นห่วงลูกสาวไม่แพ้กัน
.................................................................................................