[คละคลุ้ง]
บ้าไปแล้ว เขามันบ้าไปแล้วแน่ๆ ฉันกำลังตื่นตะลึงในสิ่งที่ได้ยิน หัวสมองหมุนคว้างล่องลอยไปหมด พยายามถามตัวเองซ้ำซากว่าฟังอะไรผิดเพี้ยนไปรึป่าว แต่เมื่อได้สบตากับสายตาแข็งกร้าวที่มองอย่างคาดคั้นฉันก็รู้คำตอบได้ในทันที
มันไม่ใช่ความฝัน มันคือความจริง ...
ราวกับหน้าโดนตบฉาดใหญ่ ข้อเสนอที่เขาหยิบยื่นให้มันบ้าพอๆกับคนพูด ทางเลือกที่เขาหยิบยื่นให้ทั้งสองทางมันไม่ต่างจากทางไปลงนรก
ทางเลือกบ้าอะไร ให้ไปตายบ้าง ให้นอนกับเขาบ้างหล่ะ ใครยอมทำก็เพี้ยนไปแล้ว
หมอนี่มันฝันอยู่รึไง
"ฉันไม่เลือก!ข้อเสนอห่าเหวอะไรของนาย มีแต่คนบ้าเท่าแหล่ะที่ทำ" ฉันแหวออกไปอย่างไม่ต้องคิด ถึงแม้จะจนตรอกแต่ฉันก็มีศักดิ์ศรีพอ ไม่คิดลดคุณค่าของตัวเองไปทำเรื่องต่ำๆแบบนั้นหรอก ต่อให้ต้องคลานซมซานเหมือนหมาฉันก็ไม่คิดจะเอาตัวเข้าไปแลกหรือยอมไปตายอย่างที่เขาพูด
คนที่สมควรไปตายมันคือเขาต่างหาก เหอะ!
"แล้วอะไร ให้ไปตายงี้...นายก็ไปตายให้ดูก่อนสิ แล้วฉันจะทำ" ยิ่งพูดอารมณ์ก็ยิ่งครุกรุ่น มันร้อนระอุในอกเหมือนจะประทุออกมา ฉันจ้องหน้าเขาอย่างไม่ลดละ ก่อนจะดีดนิ้วตรงหน้าเขาเพื่อต้องการปลุกหมอนี่ให้หยุดเพ้อเจ้อสักที
"แล้วให้ฉันนอนกับนายงั้นหรอเสือ ตื่นเถอะ!!"
"หึ!ปากดีหนิ ปากดีมากๆระวังมีผัวชื่อเสือไม่รู้ตัว" เขาคำรามต่ำ แล้วฉันจำเป็นต้องสนใจฟังคำถ่อยๆพวกนี้ของเขามั้ย...ก็ไม่หนิ
"โทษที ฉันไม่นิยมเอาสัตว์มาทำพันธุ์"
หมับบ....!
"อ๊ะ" แรงกระชากที่ข้อมือทำให้ฉันเซถลา ก่อนจะทันได้ตั้งตัว วงแขนแข็งแกร่งก็พันธนาการรอบเอวซะแล้ว ร่างสูงจงใจกดมือเน้นย้ำตรงสะโพก สายตาของเขาที่มองมามันชั่วร้ายพอๆกับการกระทำอันหยาบโลน ฉันได้แต่นึกเสียดายอยู่ในใจ ผู้ชายคนนี้ไม่ควรเกิดมาพร้อมกับใบหน้าชวนฝันแบบนี้เลย
ให้ตายเถอะ...หน้าตาดีแต่นิสัยต่ำทรามเกินจะเป็นมนุษย์
"อย่ามาทำตัวต่ำๆกับฉัน" ฉันรีบเบี่ยงตัวหนี หวังรักษาระยะห่างให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้
"ต่ำตรงไหน นี่เรียกว่าสุภาพที่สุดสำหรับคนอย่างเธอแล้ว" เสือยังคงใช้สายตาหยาบคายไล่มองไปตามใบหน้าก่อนจะเลื่อนต่ำลงไปเรื่อยๆตามส่วนเว้าส่วนโค้งบนร่างกาย เขากำลังย่ำยีผ่านทางสายตาทุเรศๆคู่นั้น ฉันห่อไหล่อย่างหวาดระแวง เขาเริ่มสำรวจราวกับมองทะลุผ่านเนื้อผ้าเข้าไปได้ และมันส่งผลให้ฉันรู้สึกร้อนวูบไปทั้งตัว
"ถ้าต่ำมันต้องแบบนี้ต่างหาก"
พรึ่บบบ...!
"อ๊ะ " เพียงเสี้ยววินาทีฝ่ามือหนาก็ตรงเข้ามาดึงกระโปรงจนเลิกขึ้นสูง เรียวขาขาวโผล่พ้นต่อสายตาเขาอย่างน่าเกลียด ฉันหวีดร้องออกมาด้วยความตกใจ แต่แทนที่จะทันได้ปกป้องร่างกายจากคนตรงหน้า ร่างสูงก็ตรงดิ่งเข้ามาประคองสะโพกฉันด้วยอุ้งมือทั้งสองข้างแล้ว
"ออกไปนะ" เขาดุนดันเข้ามาจนสะโพกแนบชิดกำแพง ก่อนจะจงใจกดเบียดร่างกายแกร่งเข้ามาจนไม่มีที่ว่างซักอณูขุมขน มันรับรู้ได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่กำลังดุดันผ่านเนื้อผ้าอยู่ตรงจุดนั้น แรงบิดมวนมหาศาลในช่องท้องทำให้ร่างชาวูบอย่างทนไม่ได้..
"เอามันออกไป" ฉันพูดรอดไรฟันอย่างอดกลั้น ข่มตาลงต้องการหนีความอัปยศที่อยู่ตรงหน้า ไม่ว่าฉันจะพยายามดันหรือจึกทึ้งร่างสูงมากแค่ไหน มันก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากพันธนาการตรงนี้ได้เลย
กลายเป็นว่า ยิ่งต่อต้าน มันก็ยิ่งเพิ่มแรงเสียดสีตรงจุดนั้นมากขึ้น
"อายทำไม เรื่องพรรค์นี้เธอคุ้นดีไม่ใช่!" เสียงหัวเราะโรคจิตของเขาทำให้ฉันยิ่งเกลียดมากขึ้น ยิ่งร่างสูงหัวเราะออกมามากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกพ่ายแพ้มากขึ้นเท่านั้น
ฉันเกลียดทุกคำพูด เกลียดทุกอย่างที่เป็นเขา ไม่เคยมีครั้งไหนที่เสือจะไม่ซาดซัดคลื่นอารมณ์ใส่ฉันอย่างบ้าคลั่ง...
และครั้งนี้มันก็รุนแรงมากว่าทุกครั้ง
"ยะ..อย่า" เสียงของฉันสั่นเครือ ร่างกายเริ่มอ่อนแรงลงเกินจะต้านทาน ตัวออกอาการสั่นเทิ้มเองอย่างหยุดไม่ได้ ได้แต่นึกภาวนาให้เขาหยุดย่ำยีศักดิ์ศรีซักที
รังเกียจ.....รังเกียจจนอยากตายให้มันจบๆไปซะ
"อย่าอะไร อย่าทำ....หรืออย่าหยุด!" เขายังสนุกสนานกับการกระทำต่ำทราม เสือกดเสียงต่ำเหมือนต้องการยั่วอารมณ์ มันเกิดพร้อมกับแรงบดเบียดระหว่างสะโพกที่ทวีเพิ่มขึ้น ฉันได้แต่กัดปากแน่นจนรับรู้ถึงกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งอยู่ทั่วปาก ถึงแม้จะเจ็บแสบมากแค่ไหน มันก็ยังดีกว่าต้องเปล่งเสียงน่าอดสูออกมา..
"อย่าปากดีให้มาก เธอไม่ได้มีสิทธิ์มาต่อปากต่อคำกับฉัน! "
"..."
"เพราะไม่งั้นฉันจะทำมันยิ่งกว่านี้ " เสือกดเบียดสะโพกอีกครั้งอย่างป่าเถื่อน มันแรงมากพอที่จะทำให้หัวฉันกระแทกเข้ากับผนังจนเกิดเสียงดังลั่น ความเจ็บลามเลียไปทั่วกาย ก่อนที่เสียงเย็นเยียบจะพูดเน้นย้ำอีกครั้ง
"จำใส่กะโหลกไว้ด้วย"
ฟุบบบ....
"กลับไปใช้สมองเน่าๆของเธอทบทวนมันให้ดี " ทุกอย่างมันไม่ได้เกิดจากแรงพิศวาส ไม่แปลกอะไรที่ร่างสูงจะปล่อยมือจากสะโพกอย่างไม่แยแส ร่างฉันร่วงครูดลงกับพื้น ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะขยับร่างกายให้เป็นปกติ เขายังคงยืนมองอย่างนั้น ส่งสายตาที่มีแต่ความเกลียดชังมาให้ และเขาก็ตั้งใจปล่อยให้ฉันอยู่ในสภาพแบบนี้ต่อไป
"ฉันยังมีเวลาสนุกกับเธออีกเยอะ" เสียงเขาแผ่วลงพร้อมกับเสียงฝ่าเท้าที่เดินจากไป ฉันได้แต่มองภาพตรงหน้าอย่างเลื่อนลอย ก่อนจะข่มตาลงไม่อยากรับรู้ความจริงอะไร ในความคิดชั่ววูบที่แล่นผ่านเข้ามา ถ้าตอนนี้เลือกทางชีวิตได้ล่ะก็...
ฉันขอเลือกความตายยังดีกว่าอยู่อย่างอัปยศแบบนี้
[ต่อ]
เหตุการณ์ผ่านมาแล้วเกือบชั่วโมง หลังจากปล่อยตัวเองจมดิ่งกับความเจ็บปวดตามร่างกาย ฉันก็หยัดตัวลุกขึ้นจากซอกอับเหม็นสาบของมุมตึก
"โอ๊ย..." ฉันร้องครางเมื่อรู้สึกถึงแรงปวดหน่วงตรงสะโพกและบั้นเอว ราวกับกระดูกใกล้แหลกสลาย ได้แต่กัดฟันข่มความอ่อนแอข้างใน ลุกขึ้นพยุงกายอย่างยากลำบาก ทำได้มากสุดก็แค่พยายามประคับประคองร่างสะบักสะบอมของตัวเองออกมา กลิ่นคาวเลือดข่มปร่ายังเจือปนทุกครั้งที่กลืนน้ำลาย
เจ็บเป็นบ้า ปวดร้าวข้างในไปยันกระดูก..บ้าเอ๊ย
ฉันข่มความเจ็บปวดที่แล่นทุกครั้งที่ขยับร่างกาย หอบลากสังขารบอบช้ำเดินตรงไปทางคณะของยัยม่านฟ้าอย่างไม่ต้องคิดมาก
แกรก แกรก..
ความเงียบวังเวงเกิดขึ้นจนได้ยินเสียงรองเท้ากระทบพื้น ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยเสียงซุบซิบลอยมาตามลม กับสายตาหลายสิบคู่ที่จดจ้องอย่างสงสัย
ตอนนี้สภาพของฉันมันดูไม่ต่างจากคนบ้า ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยเปรอะเปื้อนของคราบฝุ่นไคลแต่ฉันก็เลือกไม่ใส่ใจ ถึงแม้จะไม่พอใจสายตาเหล่านี้เลยก็ตาม
ทุเรศตัวเองชะมัด....
"ผัก ทำไม?" ยังดีที่สวรรค์ยังเข้าข้างอยู่บ้าง ฉันลากสังขารเน่าๆจนมาเจอกับม่านฟ้าที่เดินออกจากห้องพอดี เธอดูตกใจมาก ก่อนที่ร่างบางจะรีบถลาเข้ามาหาอย่างเป็นห่วง
"กะ..เกิดอะไรขึ้น"
"ฉัน.." สายตาตื่นตระหนกของคนตรงหน้าทำให้ฉันไม่กล้าจะพูดความจริง จะให้บอกออกไปได้ไงว่าก่อนหน้านี้ฉันเพิ่งโดนผู้ชายสารเลวคนนหนึ่งย่ำยีมา มันอับอายจนไม่กล้าบอกใคร สุดท้ายก็เลือกเลี่ยงโกหกเพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย "โดนรถเฉี่ยว"
"โดนเฉี่ยวได้ไง"
"...." ฉันเงียบ
"แล้วใครเป็นคนทำ" ม่านฟ้าถามอย่างร้อนรน มือบางเอื้อมมาสัมผัสตามลำแขนและใบหน้าเหมือนต้องการสำรวจ คิ้วบางขมวดจนแทบเป็นปมก่อนที่ใบหน้าสวยใสจะแปรเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวพร้อมกับน้ำตาหยดหนึ่งล่วงเผาะ
ฉันไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้
ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่เห็นมันทำให้ตกใจ ถึงความจำเสื่อมแต่สิ่งหนึ่งที่รู้เมื่อคลุกคลีกับผู้หญิงคนนี้คือเธอเป็นคนอ่อนต่อโลกทั้งภายนอกและภายใน ท่าทางไร้เดียงสาของม่านฟ้ามันเหมือนกับดาบสองคม มันดูดีและก็ดูแย่ในเวลาเดียวกัน ม่านฟ้าเป็นคนเปราะบางเกินไป และนั่นเป็นสิ่งที่ฉันอดห่วงไม่ได้..
ราวกับทุกสิ่งมันทำให้เธอแตกสลายได้ง่ายๆ แต่ก็ไม่คาดคิดว่าเรื่องแค่นี้จะทำให้เจ้าหล่อนถึงกับหลั่งน้ำตาออกมา
สภาพมันทุเรศขนาดที่เธอต้องร้องไห้เลยรึไง... ฉันได้แต่ถามตัวเอง
"ผักเจ็บตรงไหนรึเปล่า ไปหาหมอกันเถอะ ตะ..ต้องโทรหามิน ฮึก" มือบางป้ายน้ำตาลวกๆก่อนคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดด้วยความรีบร้อน มือของเธอมันกำลังสั่นระริกราวกับคุมสติไม่อยู่ และมันพาลทำให้ฉันรู้สึกหงุดหงิดตัวเองเป็นบ้า
คิดผิดรึเปล่าที่มาที่นี่
หมับบบ..
"ไม่ต้องบอกมิน" ฉันไม่รอให้ม่านฟ้าโทรก่อนจะแย่งโทรศัพท์มากดตัดสาย
"แต่ว่า.."
"ม่านใจเย็นๆ เราไม่เป็นไร"
"...." คงเพราะเสียงที่เย็นเยียบเลยทำให้เธอเงียบไป
"เดี๋ยวเราจัดการเอง ไม่ต้องห่วง" ฉันยืนยันเจตนา ถ้าไปหามินตามที่ม่านต้องการล่ะก็ มีหวังหมอนั่นคงรู้ในทันทีว่ารอยเหล่านี้มันไม่ได้เกิดจากรถเฉี่ยว สุดท้ายก็คงไม่พ้นโดนหมอนั่นคาดคั้น แถมฉันกับมินเราก็เพิ่งมีปากเสียงกันเมื่อตอนเช้า ขืนไปตอนนี้ก็ทำให้ลำบากใจกันเปล่าๆ ฉันพยายามหาเหตุผลให้กับตัวเอง ก่อนจะเริ่มพูดสาเหตุที่ถ่อมาถึงที่นี่
"แค่มาบอกว่าคาบบ่ายฉัน.."
"เข้าใจแล้ว ผักกลับบ้านเถอะ เดี๋ยวม่านจดเลคเชอร์ไปให้ " เสียงม่านขัดขึ้น ดูเหมือนเธอจะเข้าใจอะไรง่ายกว่าเดิม
"ขอบใจมากนะ" ฉันพยักหน้าขอบคุณพาตัวเองออกมาจากตึกคณะ ถึงจะอยู่ในสภาพแบบนี้แต่ฉันก็เป็นคนตั้งใจเรียนมากพอ ไม่เคยเอาเรื่องส่วนตัวมาทำให้เสียการเรียนสักครั้ง แต่ว่าคราวนี้มันคงจำเป็นจริงๆ สภาพฉันในตอนนี้มันไม่เอื้ออำนวยสักนิด แม้แต่แรงเดินยังแทบไม่มีด้วยซ้ำ
เดินได้สักพักก็มีรถเท็กซี่ขับผ่านมา ฉันบอกจุดหมายปลายทางที่จะไปก่อนจะหย่นก้นนั่งถอนหายใจอย่างรู้สึกเหนื่อยอ่อน
'แล้วไอ้ภาพเฮงซวยพวกนี้มันไม่ใช่ของจริงรึไงวะ' ในห้วงความเงียบคำพูดของเสือก็แล่นผ่านเข้ามาในหัว สิ่งที่เขาพูดมันกำลังตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า
และใช่!..จริงอย่างที่เขาพูด
สิ่งที่เห็นมันเป็นรูปฉันในอิริยาบถต่างๆกับผู้ชายคนหนึ่ง ถึงแม้ใบหน้าของฉันกับผู้ชายคนนั้นจะไม่ค่อยชัดเจนก็ตาม เหมือนกับมันถูกถ่ายมาจากมุมมืดสักแห่ง แต่ในบางมุมของรูปก็อดปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือตัวฉันอย่างแน่นอน
ในตอนนั้นที่เสือยื่นรูปมา มันทำให้ฉันนึกขึ้นได้ว่าเคยเจอกับผู้ชายในรูปมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ตอนนั้นเพราะมัวแต่รีบร้อนเลยไม่ได้ฉุกคิดอะไร เขาคือคนเดียวกับผู้ชายที่ฉันเดินชนเมื่อครั้งก่อน คนที่พูดจาแปลกๆกับฉันคนนั้น
เขาคือคนที่ชื่อรหัส แฟนของยัยนายา ตัวต้นเหตุที่ทำให้ต้องพบเจอเรื่องแย่ๆตั้งแต่ความจำเสื่อม
แต่ทำไมกันนะ..
ต่อให้มีหลักฐานให้เห็นกับตา ถึงมันจะปรากฏใบหน้าฉันเด่นหรามากมายแค่ไหน แต่ฉันก็กลับจดจำอะไรไม่ได้สักอย่าง ไม่เหลือความทรงจำ ไม่มีความรู้สึกใดๆกับสิ่งที่เห็น แม้แต่ตอนที่เจอคนชื่อรหัสฉันก็ยังไม่มีความรู้สึกอะไรเลยทั้งนั้น
อยากปฏิเสธว่ามันไม่ใช่ภาพฉัน ...
แต่ไม่ว่ายังไง เมื่อทุกอย่างมันจำนนด้วยหลักฐานมัดตัวแน่นหนา ฉันก็กลับพูดไม่ออกซะงั้น เหมือนกับมีก้อนบางอย่างจุกดันที่ลำคอ สุดท้ายก็ทำได้แค่ก้มหน้าโง่ยอมรับมันไป และการที่ฉันไม่ยอมปฎิเสธอะไรมันก็กำลังกลับเข้ามาทำร้ายฉันซ้ำๆอย่างไมรู้จักจบสิ้น
นายา!
เสือ!
แล้วจะมีใครอีก....
หลังจากนี้จะมีใครจ้องเล่นงานฉันอีกรึเปล่า นั่นคือสิ่งที่อดสงสัยไม่ได้
ใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงบ้าน ฉันเดินตรงมาที่ห้องรับแขกก่อนจะเอนกายลงนอนอย่างรู้สึกอ่อนล้า ตอนแรกก็ตั้งใจจะทำแผลแต่ตอนนี้ความเหนื่อยอ่อนมันกำลังจู่โจมและฉันก็อยากพักเต็มที สุดท้ายก็เผลอหลับไปกว่าจะรู้สึกตัวอีกทีเวลาก็ล่วงเลยมากว่าหลายชั่วโมง
ฉันเหลือบมองนาฬิกาตรงฝาผนังที่บอกเวลาสี่โมงกว่าแล้ว แสงแดดลอดผ่านเข้ามาในบ้านเริ่มมืดแสงลงทุกที ฉันหยัดกายลุกจากโซฟาตั้งใจจะไปอาบน้ำ และในตอนที่กำลังเดินผ่านห้องม่านฟ้าฉันก็เหลือบเห็นอะไรบางอย่าง
เธอลืมปิดประตูห้อง...
ฉันถอนหายใจกับความสะเพร่าของเจ้าหล่อน ก่อนจะหวังดีเอื้อมมือไปปิดประตูให้ แต่สิ่งที่อยู่ภายในห้องมืดก็กลับดึงดูดความสนใจให้ฉันหยุดชะงักมือลง
แสงไฟจากหน้าจอโน๊ตบุ๊คที่ไม่ยอมดับทำให้ฉันขมวดคิ้วด้วยความสงสัย รูปภาพวอลเปเปอร์ที่แสดงบนหน้าจอคือรูปของฉันกับม่านฟ้า เรากำลังยืนยิ้มกอดคอกันอยู่ที่ไหนสักแห่ง ซึ่งฉันก็จำมันไม่ได้
ฉันเผยอยิ้มอย่างไม่รู้ตัว นึกเอ็นดูผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาจับใจ ....
12/05/20XX
ฉันไล่สายตามองจนมาหยุดตรงไฟล์ข้อมูลบางอย่างที่มันแจ้งวัน/เดือน/ปีและวันที่เมื่อประมาณ2เดือนที่แล้ว ซึ่งมันก็ตรงกับช่วงเวลาที่ฉันประสบอุบัติเหตุจนความจำเสื่อมพอดี...และมันทำให้ฉันเกิดความสงสัย
ความอยากรู้อยากเห็นจากด้านลึกผลักดันความรู้สึกบางอย่างออกมา ฉันไม่ใช่พวกชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องของใคร แต่คราวนี้มันกับต่างออกไป ฉันสนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่มีสาเหตุ มันดึงดูดซะจนฉันเผลอเอื้อมมือกดเม้าท์อย่างไม่รีรอ
คลิก...!!
พึ่บบบบ...
ยังไม่ทันได้เห็น หน้าจอโน๊ตบุ๊คก็ถูกพับลงด้วยมือใครบางคน
"อย่ามายุ่งของฉัน" เสียงตะคอกดังจะทำให้ฉันสะดุ้งจนสุดตัว
[ต่อ]
"อย่ามายุ่งของฉัน"เสียงตะคอกดังทำให้สะดุ้งสุดตัว ฉันรีบถอยห่างจากหน้าจอโน๊ตบุ๊คที่อยู่ตรงหน้า ไม่คิดว่าจะมีคนเข้ามา เข้าใจดีว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่ว่าใครก็ต้องต่างรู้สึกหวงข้าวของของตัวเองกันทั้งนั้น เพียงแต่ไม่คิดว่าเรื่องเล็กน้อยแค่นี้จะทำให้เธอไม่พอใจจนถึงขั้นตะวาด
"ฉันแค่จะมาปิด.." ฉันพยายามแก้ตัว
"อย่ามายุ่งของของคนอื่นแบบนี้ เราไม่ชอบ!" มือบางกระชากปลั๊กไฟก่อนจะหอบโน๊ตบุ๊คขึ้นมาแนบอกพร้อมกับเสียงตะวาดที่ไม่ลดละ มันทำให้ฉันสลดวูบ เป็นครั้งแรกที่เห็นม่านฟ้าระเบิดอารมณ์ ที่ผ่านเธอมักดูไม่สู้คน แทบไม่เคยเห็นม่านฟ้าหงุดหงิดอะไรเลยด้วยซ้ำ
"ขะ..ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ"
"..."
เธอเอาแต่เงียบมันเลยทำให้ฉันเงียบตาม ความเงียบเข้ามาแทนที่ชวนให้อึดอัดใจไม่น้อย แต่ไม่นานนักคนตรงหน้าก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาราวกับระบายอารมณ์
"ม่านไม่โกรธแล้ว ผักออกไปก่อนเถอะ เดี๋ยวเราเอางานที่อาจารย์สั่งไปให้ทีหลัง " ร่างบางพูดขึ้นขณะหันหลังให้ฉัน มือเธอกำลังวุ่นวนกับการเก็บข้าวของส่วนตัว เหมือนกับเธอต้องการตัดบทสนทนาระหว่างเราให้จบๆไปซะ และฉันก็ไม่อยากเซ้าซี้อะไรมาก
"อือ"
"เดี๋ยว!" เสียงพูดขัดทำให้ฉันละมือที่กำลังเอื้อมไปเปิดประตู ก่อนจะหันกลับไปมองม่านฟ้าด้วยแววตาสงสัย "เมื่อกี้....ผักได้เห็นอะไรรึเปล่า"
"...." ฉันส่ายหน้าปฎิเสธ
"มันไม่มีอะไรหรอก ก็แค่ภาพถ่ายเรื่อยเปื่อยหน่ะ" ม่านฟ้าพูดราบเรียบ เมื่อกี้ฉันไม่ทันได้เห็นอะไรเธอก็เข้ามาขัดซะก่อน และดูเหมือนคำตอบของฉันมันจะทำให้เธอสบายใจขึ้น ม่านฟ้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ราวกับโล่งอก
ฉันแอบเฝ้ามองทุกการกระทำของหล่อน
วูบหนึ่งใบหน้าเธอดูผ่อนคลายลง ท่าทางดูกระวนกระวายเกินเหตุนั้นอีก มันทำให้ฉันฉุกคิด
ถึงแม้เธอจะตอบแบบนั้น แต่ฉันก็อดสงสัยไม่ได้...
ท่าทางโล่งอกของเธอทำให้ฉันคิดมากกว่านั้น ดูม่านฟ้าจะอารมณ์ดีหลังจากที่ฉันไม่เห็นอะไรที่เธอแอบซ่อนเอาไว้ ไม่อยากคิดระแวงเพื่อนตัวเองหรอกนะ แต่การกระทำที่แสดงออกมามันทำให้ฉันอดระแวงไม่ได้จริงๆ
"งั้นรีบไปอาบน้ำเถอะ ม่านให้ผักกลับมาตั้งนานแล้วทำไมถึงไม่ทำแผลสักทีหล่ะ" บทสนทนาก่อนหน้านี้จบลงเมื่อม่านฟ้าเปลี่ยนเรื่องพูด ร่างบางเดินมาดันหลังฉันให้ออกจากห้องระหว่างทีปากยังบ่นไปเรื่อย
"อย่าทำให้ม่านเป็นห่วงสิ อาบน้ำเสร็จเดี๋ยวม่านไปทายาให้" เสียงถอนหายใจหนักหน่วงเกิดขึ้นเมื่อเธอพูดจบ ราวกับเจ้าหล่อนจะหงุดหงิดที่ฉันเป็นแบบนี้
ฉันทำอะไรไม่ได้นอกจากพาตัวเองออกมาจากห้องม่านฟ้า เดินกลับไปทางห้องนอนของตัวเองเพื่อไปอาบน้ำ และสุดท้ายความระแวงสงสัยก็ถูกลืมหายไปราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ถึงแม้ตอนนี้เวลาจะล่วงเลยมาเกือบเที่ยงคืนกว่าแล้ว แต่ฉันก็ไม่ทีท่าทีจะข่มตาหลับได้สักนิด ทำได้แค่พลิกกายนอนดิ้นไปมาอยู่บนเตียงกว้าง
นอนไม่หลับ...
ฉันจิปากหงุดหงิดทุกครั้งที่พลิกร่างกาย ความเจ็บปวดยังแล่นเข้ามาทุกครั้งที่ขยับ นึกสาปแช่งคนที่ทำนับครั้งไม่ถ้วน เมื่อตอนหัวค่ำม่านฟ้าเข้ามาทายาเสร็จก็ขอตัวแยกไป ฉันคิดเรื่อยเปื่อยข่มตาหลับไม่ได้สักที ก่อนตัดสินใจหยัดกายขึ้นหยิบโทรศัพท์ตรงหัวเตียงมากดเล่นฆ่าเวลา ใช้เวลาพอสมควรไล่อ่านข้อความและข้อมูลในโทรศัพท์ที่มีเหลืออยู่น้อยนิดอย่างไม่รู้จะทำอะไร
ติ๊งง...เสียงแจ้งเตือนไลน์ดังขัดขึ้น
[ วันเสาร์นี้ว่างมั้ย ] ฉันกวาดตามองชื่อคนส่งก่อนจะพิมพ์กลับไป ในใจมีคำถามอยากถามเยอะแยะแต่สุดท้ายก็ทำได้แค่ตอบกลับสั้นๆ
[ว่างมั้ง พี่สิงห์มีอะไรรึเปล่า]
[งั้นวันเสาร์ออกมาเจอพี่หน่อย ห้างXXX สักสิบโมง]
ฉันอ่านมันซ้ำอยู่สองสามรอบ บทสนทนามันจบลงแค่นั้น ฉันไม่คิดจะตอบอะไรและพี่สิงห์ก็ไม่ได้พิมพ์อะไรส่งกลับมาอีก ฉันกดลบข้อมูลสนทนาทั้งหมดทิ้งไปก่อนจะเหวี่ยงโทรศัพท์ลงเตียงอย่างไม่คิดใส่ใจ เอนกายซุกตัวกับผ้าห่มผืนหนาเมื่อรู้สึกว่าบรรยากาศรอบกายเริ่มเย็นเยือกลงเรื่อยๆ
สุดท้ายทุกอย่างก็ดำดิ่งสู่ห้วงความฝัน และมันยังเป็นแบบเดิมทุกครั้ง ราวกับร่างกายและสมองไม่ยอมทำงานสอดคล้องกัน คอยตอกย้ำแบบเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลอกหลอนวนซ้ำอยู่แบบนั้นอย่างไม่รู้จักจบสิ้น ....
'ฝันร้าย' ที่มีผู้ชายคนนั้น
3-4วันต่อมา
ห้างXXX เวลา09.30 น.
ฉันมาตามนัดก่อนเวลาเกือบชั่วโมง เวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้า ฉันเบนสายตาเหม่อไปนอกร้าน ที่ตรงนั้นมีผู้คนสัญจรเดินผ่านมากหน้าหลายตา ขวักไขว่แออัดจนน่าเวียนหัว ฉันห่อไหล่สะท้านลงเมื่อความเย็นของแอร์ตกกระทบผิวกายเป็นระยะ ก่อนจะเบนสายตากลับมาในร้านเพื่อมองหาบุคคลที่นัดมาในวันนี้
กริ๊งงงงงง..
เสียงบานประตูดึงดูดสายตาให้จ้องมอง ร่างสูงยาวในชุดไปรเวทสีดำสนิทสวมฮู้ดปิดศีรษะไว้กำลังเดินเข้ามา ฉันเหยียดลำแขนยาวขึ้นเรียกเขาก็มองเห็นอย่างง่ายดาย
"พี่สิงห์มีอะไรรึเปล่า" ไม่พูดพร่ำทำเพลง เมื่อร่างสูงทรุดตัวนั่งในฝั่งตรงข้ามฉันก็เริ่มพูดเข้าประเด็นแทบทันที
ก่อนหน้านี้ฉันเป็นคนส่งข้อความนัดหมายร้านเองและมันก็ถูกเลือกมาอย่างรอบคอบแล้ว เงียบสงบ ปลอดคน ไม่ต้องคอยห่วงว่าจะมีใครมาเห็นเข้าเพราะฉันก็ขี้เกียจตามอธิบายให้ใครหน้าไหนฟังเหมือนกัน
"ถ้าไม่มีอะไรแล้วพี่จะนัดเรามาไม่ได้?" เขาถามเสียงสูง หางคิ้วพาดเฉียงของเขามันกำลังเลิกขึ้นราวกับถามว่า 'ทำไม'
"ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น "ฉันพ่นลมหายใจอย่างขี้เกียจอธิบายอะไรยืดยาว งั้นเอาที่เขาสบายใจเลยแล้วกัน ช่วงนี้ฉันกำลังอารมณ์ไม่ค่อยดีด้วย "พี่มีไรก็พูดเถอะ"
ตุบบบ...!
"..."
ซองเอกสารสีน้ำตาลอ่อนถูกโยนมาตรงหน้าฉัน อะไรมันก็ดูรวดเร็วไปหมด ไม่มีการถามสารทุกข์สุกดิบ ไม่ต้องพูดอะไรให้ยืดยื้อมากมาย ฉันขมวดคิ้วกับของที่อยู่ตรงหน้า นึกขยาดกับไอ้ซองเอกสารบ้าๆแบบนี้เต็มที เมื่อไหร่ที่มีซองแบบนี้โผล่มา มันไม่เคยมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นซักครั้ง
ฉันพ่นลมหายใจที่เริ่มติดขัด ร่างกายเย็นลงตามอุณหภูมิห้อง ฉันเงยหน้าขึ้นมองพี่สิงห์อย่างชั่งใจ แต่เขาก็ทำแค่พยักหน้าให้ฉันเปิดซองเอกสารตรงหน้าซะ
"พี่สิงห์ นี่มัน.." ฉันคว้ามันเปิดดู และสิ่งปรากฏที่อยู่ในซองเอกสารก็ทำให้ฉันเบิกตากว้างด้วยความตกใจเกิดคาดหมาย ลมหายใจเริ่มติดขัดลง "พี่เอามาให้ผักทำไม ผักไม่เอาหรอก"
ฉันปิดมันลงก่อนจะโยนมันกลับไปตรงหน้าพี่สิงห์อีกรอบ ความรู้สึกหลากหลายกับคำถามมามายกำลังพุ่งตรงเข้ามาไม่หยุด
เขาเอามาให้ฉันทำไม
ฉันมองหน้าที่สิงห์อย่างต้องการเหตุผลดีๆสักข้อ จนแล้วจนรอดก็ไม่มีคำตอบใดหลุดจากปากคนตรงหน้า สิ่งที่เขากำลังทำมันทำให้ฉันอดระแวงขึ้นมาไม่ได้ ยิ่งเขาทำตัวแบบนี้ มันก็ยิ่งทำให้ฉันสงสัยในความสัมพันธ์ของเราสองคนมากขึ้น
"รับไปเถอะ" มือหนาผลักมันมาอีกหน คราวนี้เขาเอื้อมมือมาคว้ามือฉันที่วางบนโต๊ะขึ้นมากุมก่อนจะแนบมือฉันเข้ากับซองเอกสารที่อยู่ตรงหน้า มือเขามันเย็นเยียบมาก เย็นพอๆกับความรู้สึกของฉันในตอนนี้เลย
"ไม่ ผักไม่เอา" เสียงฉันยังคงหนักแน่น ความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างกำลังพุ่งชนเข้ามา ใบหน้าเชิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ถึงแม้จะงุนงงกับของที่อยู่ตรงหน้าก็ตาม
"พี่รู้ว่าเราลำบากแค่ไหน"
"..." สิ่งที่เขาพูดมันทำให้ฉันสะอึก
"เงินไม่พอใช้ไม่ใช่หรอ" จริงอย่างที่เขาพูดไม่ผิดเพี้ยน
ใช่..ฉันกำลังลำบาก
หลังจากที่โดนรถชนจนความจำเสื่อมฉันก็ต้องใช้เงินเก็บที่มีอยู่น้อยนิดมาเป็นค่ารักษาพยาบาลตัวเอง ถึงแม้มินก็ช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายในบางส่วนไปบ้างก็ตาม แต่ส่วนที่เหลือมันก็มากโขสำหรับเด็กมหาลัยที่ไร้ซึ่งพ่อและแม่แบบฉัน
เงินที่ผู้เป็นพ่อส่งเสียให้ทุกเดือนมันก็แทบไม่พอยาไส้ด้วยซ้ำ ไหนจะค่าจิปาถะ ค่าใช้จ่ายส่วนตัว ถึงแม้บ้านที่อยู่จะช่วยกันหารค่าน้ำค่าไฟกันก็ตาม แต่ฉันก็ไม่ได้มีเงินเหลือมากพอมาใช้จ่ายกับเรื่องฟุ่มเฟือยหรือเรื่องไร้สาระ
เงินทุกบาทมันมีค่าและเพราะต้องทนอยู่กับความยากลำบากแบบนี้มาเนิ่นนาน แต่ฉันก็ไม่เคยปริปากบ่นหรือย่อท้อกับมันแม้สักครั้ง
"มันไม่ใช่ของพี่หรอก มีคนเขาฝากมาให้อีกที" เพราะฉันมัวแต่เงียบ ร่างสูงที่นั่งฝั่งตรงข้ามจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนตอบ
"ใครคะ?" มันคงไม่แปลก เป็นใครก็คงอดแปลกใจแบบฉันไม่ได้ จะมีใครหน้าไหนบ้าพอที่จะเอาเงินเกือบ2แสนมาโยนให้ง่ายๆแบบนี้
ไม่โง่ก็บ้า มันไม่มีเหตุผลเลยสักนิด...
"ทำไมถึงกลายเป็นคนขี้สงสัยแบบนี้ อย่าถามมากเลย รับๆไปก็จบ" พี่สิงห์ไม่เปิดโอกาสให้มึนงงนานมือหนาก็เอื้อมมาคว้ามือฉันก่อนจะยัดซองเงินลงในมือ
"..."
"รับไปก่อน จะใช้ไม่ใช้นั่นก็แล้วแต่เราเถอะ พี่แค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น" พูดจบร่างสูงก็หยัดกายขึ้นยืนก่อนสาวเท้ายาวเดินออกไปอย่างไม่คิดจะอธิบายอะไรเพิ่มเติม เหลือเพียงแต่ฉันที่นั่งทำหน้ามึน จ้องมองซองเงินในมือสลับกับมองไปบานประตูซ้ำไปมาอยู่หลายรอบ
แม้แต่กับพระเจ้าฉันก็กำลังเฝ้าถามเขาซ้ำๆว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่ว่ายังไง...สุดท้ายมันก็ไม่มีคำตอบใดๆจากใครสักคน ฉันเก็บความสงสัยทั้งมวล คว้าซองเจ้าปัญหาขึ้นมาตั้งใจจะเอามันไปคืนพี่สิงห์ ฉันรีบวิ่งออกมาข้างนอกร้านเพื่อมองหาร่างสูง แต่ดูเหมือนจะมันไม่ทันการณ์ ตอนนี้เขาหายไปแล้ว...
ฉันเสยผมนึกหงุดหงิดตัวเองเป็นร้อยๆครั้ง อยากรู้อยากถามแต่ตัวเองก็กลับนั่งเงียบทำหน้าโง่ครั้งแล้วครั้งเล่า จนสุดท้ายสิ่งที่สงสัยก็ยังไม่ได้รับคำตอบซักที ฉันระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยหอบ พาร่างตัวเองเดินไปเรื่อยอย่างไม่มีจุดหมาย ก่อนที่มันจะหยุดชะงักลงตรงทางเชื่อมระหว่างตึกที่เป็นกระจกใสมองเห็นโลกภายนอกได้อย่างชัดเจน
จากมุมนี้มองเห็นผู้คนที่เดินขวักไขว่อยู่เบื้องล่างที่ตัวหดเล็กลงราวกับฝูงมด ฉันฟุบศีรษะพิงกระจกด้วยใจอ่อนล้า พร้อมกับคำถามวิ่งวนทุกครั้งที่หายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ทำไมพี่สิงห์ต้องเอาเงินจำนวนมากมาให้ เขาเอามันมาจากไหน
แล้วทำไม..?
หมับบบ...
ขณะที่ปลดปล่อยความคิดจู่ๆก็มีแรงกระชากมหาศาลที่ท่อนแขน ฉันหันขวับด้วยความตกใจ แต่เมื่อได้ประจันหน้ากับผู้ที่ทำ ร่างกายก็กลับแข็งทื่อไปทั้งตัว เสียงเปล่งออกมาเบาหวิวน่าใจหาย
"สะ..เสือ" เขามาอยู่ที่นี่ได้ไง...
ฉันเบิกตากว้าง ก้าวขาสองข้างถอยห่าง แต่แล้วมันก็ถูกฉุดดึงให้เข้าไปใกล้แบบเดิม มือหนายังบีบท่อนแขนฉันแน่น ใจนึกอยากหวีดร้องตบตีให้มากกว่านี้ แต่ก็อายสายตาคนรอบข้าง ตรงนี้เป็นจุดชมวิวผู้คนจำนวนมากกำลังยืนรื่นรมย์ถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน ผิดกับฉันที่อารมณ์ดำดิ่งลงก้นเหว
"ปล่อย" ฉันกระแทกเสียงใส่
"..."
เขาเงียบ มือหนากระชากร่างฉันจนแผ่นหลังปะทะเข้ากับแผงอกแกร่ง เขาเอื้อมมือมาดึงรั้งจนร่างเราแนบชิดกัน ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าตัวฉันกำลังถูกร่างสูงสวมกอดจากทางด้านหลัง และถ้าใครเห็นก็คงมองว่าเป็นคู่รักทั่วไปที่ยืนพลอดรักกัน
ซึ่งมันไม่ใช่แบบนั้น เราไม่ใช่คู่รัก ไม่เคยรักด้วย...
เราไม่ได้พิศวาสกันขึ้นมาหรอก หมอนี่มันก็แค่กอดกลบเกลื่อนเพราะไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาใครเวลาที่ฉันทำร้ายเขา หรือแม้แต่ตอนเขานึกอยากทำร้ายฉัน ถ้าอยู่ในท่านี้ก็จะไม่มีใครสงสัย ทำไมเรื่องแค่นี้ฉันจะไม่รู้
"ปะ..ปล่อยฉันบอกให้ปล่อยไง หูแตกหรอห่ะ!" ฉันทำเสียงแข็ง เงื้อมมือข่วนแขนเขาอย่างหาทางสู้ ร่างกายมันไปเองและฉันก็ไม่รู้สึกผิดกับสิ่งทำด้วย
หลายวันมานี้ฉันเลี่ยง พยายามกันตัวเองออกจากที่เสี่ยงทุกที หวังเพียงสิ่งเดียวคือทำยังไงก็ได้ที่จะไม่ต้องเจอหน้าเขา ให้ผู้ชายสารเลวคนนี้มันหายไปจากวงโคจรชีวิต และเหมือนโชคชะตาจะไม่เคยเข้าข้างสักครั้ง...
'เกลียด' แต่ก็ต้องเจอ 'หนี' แต่ก็ถูกฉุดกลับมาที่เดิมทุกครั้ง
ถ้าฉันไม่มาตามนัดของพี่สิงห์ หรือถ้าฉันไม่เดินมาตรงนี้ หรือถ้าฉันจะรีบกลับบ้านให้เร็วกว่านี้อีกนิด มันก็คงไม่ต้องมาเจออะไรอย่างที่เป็นตอนนี้
"ขายไปเท่าไหร่" เสียงเย็นเยียบทางด้านหลังเริ่มพูดขึ้น
"นายพูดว่า.."ฉันทวนซ้ำในสิ่งที่เขาพูดหลังจากที่ปล่อยให้ฉันจิกทึ้งร่างกายอยู่นานจนเริ่มหมดแรง สิ่งที่ได้ยินทำให้ฉันหันกลับไปมองด้วยความแปลกใจ
"อย่ามาแกล้งโง่ ขายให้พี่สิงห์ไปเท่าไหร่!"
"..."
"ขายอิท่าไหนหมอนั่นมันถึงถ่อเอาเงินมาให้ถึงที่" ไม่พูดเปล่ามือหนาที่เกี่ยวรอบเอวก็ขยุ้มชายเสื้อก่อนจะกระตุกรั้งตัวฉันกระแทกเข้ากับร่างเขาด้วยความแรง
"เก่งมากก็ช่วยสอนวิธีทำให้คนกลายเป็นปลิงให้หน่อยดิ ไม่เหี้ยจริงแม่งทำไม่ได้!"
[อัพครบ 100%]