มินทิรากดโทรศัพท์อย่างเร่งด่วนเพื่อติดต่อกับมิสเตอร์เอริค และทันทีที่อีกฝ่ายรับสายหญิงสาวก็รีบเอ่ยอย่างกลัวพลาดโอกาส
“คุณเอริคคะ...ดิฉันยินดีจะเจรจาธุรกิจกับคุณนะคะ ...ค่ะ..ได้ค่ะ คืนนี้พบกันค่ะ”
มินทิราวางสายเมื่อสามารถนัดหมายอีกฝ่ายได้สำเร็จ หญิงสาวรวบรวมเอกสารทั้งหมดเตรียมพร้อมไว้ พลางตั้งใจอย่างแน่วแน่ ... เธอจะไม่พลาดปล่อยให้กำไร 50% และ เอริคหลุดลอยไปอย่างเด็ดขาด
.......................................................................
กานต์กดโทรศัพท์อย่างร้อนใจหากวาสิตายังคงไม่รับสายเช่นเดิมจนชายหนุ่มหงุดหงิด โดยที่กานต์ไม่มีวันรู้เลยว่า ณ ขณะนั้น พ่อเขาไม่ได้ไปรักษาตัวในโรงพยาบาลอย่างที่ชายหนุ่มขอร้อง หากเกื้อยังคงโหมงานหนักอยู่เช่นเดิม
“ท่านประธานคะ... คุณหมอให้ท่านพักผ่อนนะคะ”
วาสิตาเอ่ยเตือนเสียงเรียบหลังจากที่รับแฟ้มเอกสารด่วนจากมือของเกื้อมาถือไว้
“ผมพักไม่ได้หรอกตุ๊กตา...คุณก็เห็นว่างานที่บริษัทยุ่งมากแค่ไหน”
“ท่านควรเชื่อใจคุณกานต์มากกว่านี้นะคะ...ในเมื่อคุณกานต์รับปากว่าจะทำ ท่านประธานไม่ควรจะต้องทำให้คุณกานต์ต้องเป็นกังวลไปมากกว่านี้”
เกื้อวางปากกาในมือลง พลางจ้องหญิงสาวตรงหน้าด้วยดวงตาเข้มที่วาวขึ้นอย่างไม่พอใจ
“ผมว่าคุณล้ำเส้นไปนิดนึงนะคุณตุ๊กตา .... ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นเลขา ‘ส่วนตัว’ ของผม แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะสามารถมายุ่งเรื่องส่วนตัวของผมได้”
วาสิตาเม้มปากแน่นพลางจ้องประสานสายตาเข้มนั้นอย่างร้าวราน .... หากหญิงสาวได้แต่เตือนตัวเองในใจ ไม่มีวันที่ผู้ชายคนนี้จะมีหัวใจรักใครได้ ... สิบปีมานี้เธอรู้ดีแก่ใจ ...เกื้อไม่เคยผิดคำพูดที่ให้ไว้... ถ้าเธอเลือกที่จะอยู่ในฐานะที่เป็นความลับ นั่นหมายถึง เธอจะไม่มีสิทธิ์ร้องขอ...และไม่มีวันได้สิ่งใดมากกว่าที่เกื้อจะให้มา
หญิงสาวยิ้มให้ตัวเองอย่างเศร้าสร้อย ก่อนจะหันกลับไปยังโต๊ะทำงานของตัวเองพลางนำสิ่งที่เตรียมมาเอาไปวางตั้งตามจุดต่างๆ
วาสิตาเอาที่ทับกระดาษรูปปั้นตุ๊กตาหมีตัวเล็กๆมาวางไว้บนโต๊ะทำงานของเกื้อ โต๊ะรับแขก ชั้นวางแจกัน รวมไปถึงชั้นโชว์ต่างๆแทบจะทั่วทุกมุมห้องทำงาน จนเกื้ออดถามขึ้นมาไม่ได้
“นั่นคุณทำอะไร...คุณเอาตุ๊กตามาวางไว้ในห้องของผมทำไมมากมายกัน”
“ในเมื่อท่านไม่ยอมพัก.....ดิฉันก็คงทำได้เท่านี้ ...”
วาสิตาเอื้อมมืออันสั่นเทาไปวางตุ๊กตาแมวน้อยตาแป๋วที่ข้างจอคอมพิวเตอร์ของเกื้อ พลางเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“โรคของท่านหากไม่รักษา อาการจะยิ่งมีแต่รุนแรงมากขึ้น ....หากวันไหนท่านลืมดิฉัน หากมองเห็นตุ๊กตาเล็กๆพวกนี้ ท่านจะได้ไม่ลืมว่าครั้งหนึ่ง ดิฉันเคยอยู่เคียงข้างท่าน และพร้อมที่จะดูแลท่านเสมอไม่ว่าท่านจะจำดิฉันได้หรือไม่ก็ตาม”
“คุณตุ๊กตา...ผม...”
เกื้อไม่รู้ว่าจะตอบหญิงสาวตรงหน้าอย่างไร หากผู้ที่ทำหน้าที่เลขาทั้งในเวลางานและนอกเวลางานกลับส่ายหน้าเบาๆ พลางยิ้มให้ด้วยหัวใจทั้งหมด
“ดิฉันไม่เคยต้องการอะไรจากท่านค่ะ ... ดิฉันแค่อยากให้ท่านหายดี ส่วนท่านจะจำดิฉันได้หรือไม่ ขอแค่ท่านเรียก ‘ตุ๊กตา’ ดิฉันก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อท่านประธานได้เสมอ”
วาสิตามองสบประสานสายตากับบุรุษตรงหน้าอย่างจริงใจ ...เพราะรู้ตัวเองดีว่าไม่เคยมีความสำคัญมากพอที่จะให้เกื้อต้องจดจำ...เธอก็ได้แต่หวังว่า เขาจะยังเรียกหาเธอบ้าง แม้ว่ามันอาจจะไม่ได้หมายถึงตัวเธอก็ตาม.....
................................................................................................................................
มินทิรา ตัดสินใจออกมาดินเนอร์กับมิสเตอร์เอริคตามที่อีกฝ่ายยื่นข้อเสนอมา แม้รู้ดีว่าการออกมาในครั้งนี้อาจจะต้องยอมเปลืองเนื้อเปลืองตัวบ้าง หากก็ยังดีกว่าต้องยอมเสียโอกาสไปทั้งๆที่ยังไม่ได้เริ่มต้น!
“คุณเอริคลองอ่านข้อตกลงและผลประโยชน์อื่นๆที่คุณจะได้รับถ้าหากว่าคุณเป็นคู่ค้ากับเรา ดิฉันมั่นใจว่าเคเคกรุ๊ปดีพอที่จะเป็นพันธมิตรของคุณ”
มินทิราส่งเอกสารที่เตรียมไว้ให้กับร่างสูงใหญ่ตรงหน้า หากเอริคกลับไม่ยอมรับทั้งยังถามกลับอย่างประหลาดใจ
“ทำไมคุณถึงกล้าหักหน้าเจ้านายคุณ แล้วออกมาเจอกับผม”
“สั้นๆเลยนะคะ ขัดผลประโยชน์กันค่ะ...เขายอมขาดทุน แต่ดิฉันไม่!”
“แล้วคุณแน่ใจได้ยังไงว่าการที่คุณมาหาผมคืนนี้แล้วคุณจะไม่ ‘ขาดทุน’...คุณมินทิรา”
เอริคถามกลับด้วยสายตากรุ้มกริ่ม หากมินทิราตอบกลับอย่างไม่ลังเล
“ถ้าไม่มั่นใจ ดิฉันไม่กล้าเสี่ยงหรอกค่ะ และดิฉันก็มั่นใจด้วยว่า ต่อให้ดิฉันไม่มาคืนนี้ คุณก็จะไม่ปฏิเสธข้อเสนอของดิฉัน ....เพราะดิฉันอาจจะยอมง้อคุณ แต่เคเคกรุ๊ปไม่! และที่สำคัญ เดอะเบสต์ก็ไม่ได้ให้คุณมากกว่าที่เราจะให้ได้ จริงมั้ยคะคุณเอริค”
“หมายความว่า ถ้าผมไม่ตกลง คุณก็จะยอมปล่อยผมไป เหมือนที่คุณกานต์ทำอย่างนั้นเหรอ”
“ในเมื่อฉันทำดีที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้แล้ว คุณย่อมมีสิทธิ์เลือกค่ะ ... และดิฉันก็คงยืนยันตามคุณกานต์ เราเน้นที่สินค้าของเรา.. ไม่ใช่อย่างอื่น”
มินทิรายิ้มเย็น พลางส่งเอกสารให้ชายหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง คราวนี้เอริครับไปแต่โดยดีพลางส่งยิ้มจริงใจให้อีกฝ่ายเป็นครั้งแรก
“ผมชักอิจฉาคุณกานต์ที่มีผู้หญิงแบบคุณคอยเคียงข้างเขานะคุณมินทิรา ... และถ้าหากคุณไม่รังเกียจ ช่วยรับประทานอาหารค่ำเป็นเพื่อนผมหน่อย... แล้วผมสัญญา ... มื้อฉลองวันเซ็นสัญญาผมจะให้คุณเลี้ยงที่กรุงเทพฯ!”
เอริคแทบไม่ต้องเปิดเอกสารดูด้วยซ้ำ เพราะข้อมูลเหล่านี้ถูกเปรียบเทียบไม่รู้กี่ครั้งกี่หนก่อนที่เขาจะมาเมืองไทย ชายหนุ่มยื่นมือให้อีกฝ่ายเป็นการปิดฉากการเจรจาสัญญาทั้งหมด มินทิราฉีกยิ้มกว้างก่อนจะจับสองมือเขย่าเช็คแฮนด์อย่างยินดี จนเอริคหัวเราะออกมาเบาๆกับท่าทีเบิกบานนั้นของมินทิรา
หากบรรยากาศที่ชื่นมื่นนั้นต้องยุติลงอย่างรวดเร็วเมื่อเสียงห้าวเข้มของกานต์ดังฝ่าอากาศเข้ามา
“มินทิรา!!!”
หญิงสาวหันไปตามเสียงเรียก แล้วก็ต้องตกใจเพราะกานต์ตรงดิ่งมาที่เธอพลางกระชากข้อมือของหญิงสาวให้พ้นจากการเกาะกุมของเจ้าหนุ่มตาสีฟ้าที่จ้องมองมาอย่างตกตะลึง
“กลับห้องกับผมเดี๋ยวนี้เลยนะคุณ...ทำไมคุณถึงไม่ยอมเชื่อผมบ้างเลย”
“หยุดอาละวาดโวยวายได้แล้วคุณกานต์ ... ฉันขอโทษด้วยนะคะคุณเอริค เรื่องสัญญาที่ฉันติดหนี้คุณไว้ที่กรุงเทพฯ เราค่อยนัดกันอีกครั้งนะคะ”
มินทิราไม่สนใจอาการฟึดฟัดของชายหนุ่มที่กระชากแขนเธอแทบหลุด หากหันไปเอ่ยกับเอริคอย่างขอโทษขอโพย
“ผมรอคุณได้เสมอมินทิรา .... ไว้ผมจะไปทวงสัญญาคุณเองที่กรุงเทพฯ”
เอริคเอ่ยพลางโบกมือให้อย่างเข้าใจ หากกานต์ที่ทนฟังบทสนทนาที่รู้กันสองคนแล้วยิ่งหงุดหงิด ก่อนจะลากตัวคนต้นเรื่องให้ไปเคลียร์กันแบบส่วนตัว...ก่อนที่ชายหนุ่มจะเข้าไปออกหมัดเคลียร์กับไอ้ฝรั่งนั่นเองเสียก่อน!