มินทิราอุทานออกมาอย่างแปลกใจเมื่อคนที่เดินลากกระเป๋าเดินทางตรงมาหาเธอที่สนามบินในวันนี้เป็นกานต์แทนที่จะเป็นประธานเกื้อ หญิงสาวเอ่ยถามขึ้นเมื่อชายหนุ่มส่งตั๋วเครื่องบินให้กับเธอ
“ทำไมวันนี้คุณถึงมาแทนประธานเกื้อคะ...ท่านประธานไปไหนคะ”
“งานนี้เป็นงานของผม ผมจะจัดการเอง ‘ทุกเรื่อง’ หวังว่าคุณคงจะไม่แสดงสีหน้าผิดหวังให้ผมเห็นมากไปกว่านี้นะมินทิรา”
กานต์เอ่ยตอบเสียงเรียบหากแววตากร้าวขึ้นอย่างอดไม่ได้ เมื่อเห็นว่าหญิงสาวตรงหน้ามีท่าทีที่เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนเมื่อรู้ว่าเขาจะมาแทนผู้เป็นบิดา
มินทิราปั้นยิ้มใส่คนตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยรับคำอย่างประชดประชัน
“ค่ะ ท่านรองประธานบริษัท เชิญขึ้นเครื่องได้แล้วค่ะ”
หญิงสาวเดินนำไปพลางเช็คข้อมูลที่ได้รับจากวาสิตาอย่างละเอียดอีกครั้ง ตอนนี้มิสเตอร์เอริคยังไม่ได้เซ็นสัญญาใดๆทั้งสิ้นกับทางบริษัทเดอะเบสต์ ดังนั้น โอกาสที่เธอจะดึงเอริคกลับคืนมาขึ้นอยู่กับการไปยื่นข้อเสนอเพื่อเจรจา “สิ่งที่ดีกว่า” ให้กับเอริคเท่านั้น
“เราจะไปพักโรงแรมเดียวกับมิสเตอร์เอริคเลย ดิฉันอีเมล์ติดต่อกับทางเลขาของมิสเตอร์เอริคแล้วว่าจะขอเข้าพบเขาเย็นนี้ คุณกานต์พร้อมใช่มั้ยคะ”
มินทิราถามย้ำเมื่อเห็นว่าวันนี้กานต์ดูนิ่งเงียบไปอย่างผิดปรกติกว่าที่เคย ไม่มีใบหน้ารื่นรมย์แช่มชื่นหรือสายตาเจ้าชู้เพลย์บอยที่สอดส่องมองหาแต่สาวๆ แต่ในวันนี้ชายหนุ่มเคร่งเครียดจนหัวคิ้วแทบจะผูกติดกันอยู่ตลอดเวลา
“พร้อม...คุณเตรียมร่างสัญญาใหม่เอาไว้ให้ผมด้วย เราอาจจะต้องยอมลดราคาขาย หรือเพิ่มข้อตกลงเกี่ยวกับส่วนแบ่งให้กับมิสเตอร์เอริคมากขึ้นเพื่อแย่งดีลกลับมา”
มินทิราจ้องมองชายหนุ่มอย่างแปลกใจกับการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือของกานต์ หากในเมื่อมันเป็นความแปลกที่ดี เธอจึงไม่ได้ซักไซ้อะไร พลางใช้เวลาที่มีอย่างจำกัดไปกับการติดต่อจองร้านอาหารและเตรียมข้อมูลตามที่ชายหนุ่มต้องการ
..............................................................................
กานต์ก้มดูนาฬิกาอย่างกังวลใจ เขาบอกให้วาสิตาแจ้งผลการติดต่อหาหมอมารักษาพ่อของเขาทันทีที่ได้เรื่อง หากไม่รู้เหมือนกันว่าเลขาของบิดาคนนี้ได้ดำเนินการไปถึงขั้นไหนแล้ว รวมไปถึงอาการของนายเกื้อนั้น จะยังพอมีหนทางที่จะรักษาให้หายได้มากน้อยแค่ไหน ... ความกังวลนี้กัดกินหัวใจเขาจนแทบจะไม่มีสมาธิ หากเมื่อนายเอริค คู่ค้าคนสำคัญจากอเมริกาเดินเข้ามาที่โต๊ะ ชายหนุ่มก็พยายามดึงความสนใจให้กลับมาอยู่ที่ร่างของบุรุษต่างชาติวัย 35 ที่ยื่นมือมาให้เขาเพื่อทักทาย
“สวัสดีครับคุณกานต์ ยินดีที่ได้พบกันที่เชียงใหม่นี่”
“ผมจะดีใจมากกว่าถ้าเราได้พบกันตั้งแต่อยู่ที่กรุงเทพฯ”
กานต์ตอกกลับแบบยิ้มๆ หากนายเอริคได้แต่หัวเราะเบาๆ พลางกล่าวต่ออย่างไม่กังวล
“ผมชอบลองเปลี่ยนบรรยากาศและสถานที่ไปเรื่อยๆ เพื่อจะได้พบเจอสิ่งใหม่ๆที่น่าสนใจกว่า”
“แต่ถ้าคุณมัวแต่แสวงหาแต่สิ่งใหม่ๆ อาจจะทำให้สิ่งเดิมๆที่ดีอยู่แล้วต้องหลุดมือไปนะคะ”
มินทิราเอ่ยแทรกขึ้นมา ก่อนจะเป็นฝ่ายยื่นมือไปทักทายร่างสูงใหญ่ของบุรุษต่างชาติตรงหน้าที่มองมาอย่างสนใจ
“ดิฉันมินทิรา ผู้ช่วยของคุณกานต์ค่ะ ถ้าคุณเอริคไม่รังเกียจ ทางเราก็อยากให้คุณลองพิจารณาสิ่งที่คุณอาจมองข้ามไปเพราะสิ่งล่อตาล่อใจที่ฉาบฉวย”
“ผมไม่มีวันจะมองข้ามสิ่งที่คุณพูดไปได้หรอก หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือผมยินดีที่จะรับฟังคุณเสมอคุณมินทิรา ยินดีที่ได้รู้จักกันครับ”
เอริคฉวยมือหญิงสาวมาจูบทักทายแทนการสัมผัสมือตามปรกติ มินทิราชะงักไปเล็กน้อยอย่างตกใจ หากยังเปลี่ยนสีหน้าปั้นยิ้มได้ทันควันเมื่ออีกฝ่ายมองมา ...แต่ชายหนุ่มอีกคนที่ยืนมองอยู่ข้างๆกลับยิ่งขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะเอ่ยเสียงเข้มขัดจังหวะขึ้นมาอย่างจงใจ
“ผมว่าเราทานกันไปคุยกันไปดีกว่า... เชิญคุณเอริคที่เก้าอี้ข้างๆผมก็ได้ครับ เราจะได้คุยกันสะดวกหน่อย”
“แต่ผมว่า ผมคุยกับทางคุณมินทิราน่าจะเข้าใจกันมากกว่า ไม่แน่ว่าผมอาจจะ “พอใจกับข้อเสนอของคุณมินทิรา” มากเป็นพิเศษจนเราสามารถปิดจ๊อบนี้ได้แบบแฮปปี้กันทุกฝ่าย”
เอริคส่งสายตาฉ่ำเยิ้มมาที่มินทิราอย่างมีเลศนัยจนหญิงสาวขนลุก หากกานต์ลุกขึ้นพรวดทันทีพลางเอ่ยเสียงเข้มอย่างไม่พอใจ
“การเซ็นสัญญาครั้งนี้ทุกอย่างอยู่ในการตัดสินใจของผม ผมว่าคุณคุยผมตรงๆ ดีกว่าต้องผ่านคนกลางอย่างผู้ช่วยของผมนะมิสเตอร์เอริค”
“ผมจะไม่เจรจาธุรกิจอะไรผ่านใครทั้งนั้นนอกจากคุณมินทิราคนเดียว ... ถ้าคุณไม่ใส่ใจความต้องการของคู่ค้าอย่างผม ผมก็คงต้องพิจารณาเรื่องสัญญาซื้อขายของเราใหม่”
เอริคเอ่ยกับกานต์อย่างไม่พอใจเช่นกัน และรู้ตัวดีว่าในฐานะลูกค้ารายใหญ่ เขามีสิทธิ์ถือไพ่เหนือกว่าผู้ชายตรงหน้าหลายเท่า ... หากกานต์ฉุดมือมินทิราให้ลุกขึ้นมายืนเคียงข้างเขา ก่อนจะเอ่ยกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงราบเรียบหากแววตาเด็ดขาด
“บริษัทผมส่งออกสินค้าแบรนด์เนม แต่ไม่ได้ส่งออกคน...และมินทิราก็เป็นคนของผม เธอเป็นคนสำคัญที่ไม่ได้มีไว้เพื่อเจรจาต่อรองใดๆที่ไร้ประโยชน์ ..และถ้าคุณยืนยันว่าจะไม่เจรจา เราก็คงต้องยุติการทำสัญญาซื้อขายกันเท่านี้คุณเอริค...”
“คุณกานต์...”
มินทิราเอ่ยท้วงเบาๆ หากชายหนุ่มหันมากระซิบเสียงเขียว
“ผมไม่จำเป็นต้องให้คุณไปทำเรื่องบ้าๆเพื่อให้บริษัทได้ผลกำไรที่ดีขึ้น ... แล้วถ้าผมต้องยอมก้มหัวให้ลูกค้าประเภทนี้เพื่อแลกกับกำไรแล้วละก็...ไม่จำเป็น ผมยอมขาดทุน!”
กานต์พูดใส่หน้าก่อนจะพาตัวมินทิราออกไปทันที ...หญิงสาวแม้ว่าจะแอบเสียดายกับตัวเลขที่จะหายไป แต่ก็ยังไม่กล้าขัดใจมือใหญ่ที่กุมมือเธอไว้แน่นขณะที่ลากเธอออกมาจากโต๊ะเจรจาธุรกิจนั้น ถึงอย่างไรเธอก็ต้องขอบคุณกานต์ที่ออกหน้าปกป้องศักดิ์ศรีของเธอ
“ขอบคุณค่ะ...แล้วก็ปล่อยมือฉันได้แล้ว”
มินทิราเอ่ยเมื่ออีกฝ่ายจูงมือเธอลากมาส่งถึงหน้าห้องพักแต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยมือเธอให้เป็นอิสระ กานต์หันมามองหญิงสาวอย่างหงุดหงิด ก่อนจะเอ่ยเสียงห้วน
“ไม่ปล่อย...จนกว่าคุณจะรับปากกับผมว่าจะไม่ไปเจอไอ้ฝรั่งบ้ากามนั่นอีก”
“แต่ไอ้บ้ากามที่คุณว่าน่ะ ลูกค้ารายใหญ่ของเรานะคะ”
“ผมไม่สนใจ... โลกนี้ไม่ได้มีแค่มันเป็นลูกค้าคนเดียว ผมไม่จำเป็นต้องยอมแลกคุณกับใครทั้งนั้น”
มินทิราเผลอใจเต้นแรงกับคำพูดเอาแต่ใจของชายหนุ่มตรงหน้า หากหญิงสาวรีบเรียกสติตัวเองทันควัน พลางพยายามแกะมือออกจากมือใหญ่นั้น
“เข้าใจที่ผมพูดมั้ย...มินทิรา”
กานต์ถามเมื่อหญิงสาวยังไม่ยอมรับปาก จนชายหนุ่มแกล้งยกมือเล็กนั้นขึ้นมาจุมพิตแรงๆอย่างหมั่นเขี้ยว
“คุณกานต์...ทำอะไร! ปล่อยนะ”
“ก็จูบลบล้างรอยไอ้บ้านั่นไง .... ถ้าคุณยังดื้อไม่เชื่อผมละก็ ผมจะไม่จูบแค่ที่มือแน่”
กานต์แกล้งกระซิบขู่ จนอีกฝ่ายหน้าเป็นสีจัดขึ้น ...
“ปล่อยได้แล้ว ฉันจะเข้าห้อง!”
มินทิราถลึงตาใส่อย่างทั้งเขินและทั้งฉุน...กานต์อมยิ้มในหน้าอย่างพึงพอใจและยอมปล่อยแต่โดยดี
ทั้งคู่ต่างแยกย้ายกันเข้าห้อง...หากต่างฝ่ายต่างมีสิ่งที่คิดจะทำภายในใจที่ต่างกัน และสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง!