มินทิราเก็บกระเป๋าไปอย่างใจลอย การเดินทางไปเชียงใหม่ครั้งนี้สำคัญกับเธอเป็นอย่างมากจนหญิงสาวกังวล...เธอจะต้องเผชิญหน้ากับนายสุทัศน์อดีตหัวหน้าเก่าของเธอ ... ผู้ที่เป็นทั้งเพื่อน พี่เลี้ยง แล้วก็เป็นหัวหน้าที่เธอยกย่อง
“มิ้นไม่คิดเลยค่ะว่าจะมีวันนี้ วันที่มิ้นจะต้องลงสนามเพื่อแย่งชิงลูกค้าจากพี่ ... หวังว่าเราคงจะไม่กลายเป็นศัตรูกันไปตลอดชีวิตนะคะพี่ทัศน์”
มินทิราเอ่ยขึ้นคนเดียวเบาๆ ... ก่อนจะคว้าเอกสารเกี่ยวกับสัญญาและข้อตกลงต่างๆขึ้นมาศึกษาอย่างละเอียดอีกครั้ง คืนนี้เธอคงยากจะข่มตานอนหลับได้ลง ....
....................................................................................................................
เสียงกริ่งที่ดังระรัวอยู่หน้าห้อง ทำให้กานต์สะดุ้งตื่นสุดตัว และสิ่งแรกที่ชายหนุ่มทำคือคว้ามือถือมากดดูนาฬิกาปลุกที่ตัวเองตั้งไว้ตั้งแต่ 6.00 // 6.10 // 6.15 // 6.20 // 6.30 แต่ตอนนี้มันยังไม่ตีห้าเลยด้วยซ้ำ ใครกันที่กล้ามาปลุกเขาแต่เช้ามืด?
“วันนี้มีประชุมเช้าเหรอวะ.... ยัยเตี้ยมหาโหดถึงถ่อมาปลุกแต่เช้า”
กานต์พึมพำงัวเงีย หากก็เดินไปเปิดประตูแต่โดยดี หากก็ต้องแปลกใจ เมื่อผู้ที่ยืนอยู่หน้าห้องกลับเป็นเลขาของบิดา..ตุ๊กตา หรือ วาสิตา
“คุณตุ๊กตา .... มาหาผมแต่เช้า...เอ่อ เช้ามืด มีอะไรเหรอฮะ”
ร่างเพรียวที่ยังอยู่ในชุดนอนหากมีเสื้อคลุมทับเรียบร้อยไม่มัวตอบคำถามกานต์ให้เสียเวลา หากหญิงสาวคว้าข้อมือชายหนุ่มแล้วลากเขาออกไปทันที
“เดี๋ยวๆๆๆ เดี๋ยวก่อนฮะคุณตุ๊กตา จะลากผมไปไหนเนี่ย”
“คุณเกื้อ เอ่อ ท่านประธานแย่แล้วค่ะ คุณช่วยไปดูท่านหน่อยค่ะ”
หญิงสาวเอ่ยเสียงร้อนรน ในขณะที่เมื่อประจำที่นั่งคนขับได้หญิงสาวก็ออกรถกระชากอย่างรุนแรงจนกานต์ต้องรีบคว้าเข็มขัดนิรภัยมาคาดไว้
“พ่อผมเป็นอะไรฮะ....”
“ท่านปวดศีรษะมาก แล้วก็เอาแต่พูดว่า....เห็นคุณกานดาค่ะ”
กานต์หันหน้ามามองคนพูดอย่างประหลาดใจ ...เพราะน้อยคนนักที่จะรู้จักผู้หญิงคนเดียวในชีวิตของพ่อเขา ...กานดา ....แม่แท้ๆของกานต์
“แม่งั้นเหรอ...พ่อจะเห็นแม่ได้ยังไงในเมื่อท่านไม่เคยกลับมาเหยียบเมืองไทยอีกเลยด้วยซ้ำ”
หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่นดวงตามีแวววิตกกังวลอย่างชัดเจน หากตุ๊กตาไม่ตอบคำถามใดๆของกานต์ทั้งสิ้น จนกระทั่งรถเลี้ยวเข้าสู่เขตตัวบ้านของชายหนุ่ม
“ท่านขอร้องดิฉันเอาไว้ไม่ให้บอกคุณ คุณเข้าบ้านไปแล้วก็จะรู้เองค่ะคุณกานต์...”
ร่างสูงของกานต์เดินเข้าบ้านไปอย่างมึนงง ... นี่เขาไม่ได้กลับบ้านมานานจนถึงขั้นไม่รู้ว่าพ่อจ้างเลขาไว้ทำงานที่บ้านด้วย ...แล้วเลขาของพ่อดันมีความลับที่พ่อห้ามบอกเขา!
“ผมบอกว่าให้คุณออกไปไงกานดา...ออกไปจากชีวิตผมกับลูกซะ ... ถ้าคุณเห็นว่าไอ้เศรษฐีนั่นดีกว่าผม คุณก็ไปเลย เชิญไปอยู่กับมัน ...ทิ้งผมกับลูกไปเลย!”
เกื้อร้องตะโกนลั่นก่อนจะงอตัวพลางกุมศีรษะไว้อย่างเจ็บปวด ...กานต์รีบถลาเข้าไปดูอาการบิดาพลางร้องถามอย่างเป็นห่วง
“พ่อ...พ่อเป็นอะไรฮะ พ่อ...นี่ผมเองกานต์”
“กานต์...แกเองเหรอกานต์...แกอยู่กับพ่อนะ...ปล่อยแม่เขาไปนะลูกอยู่กับพ่อ”
กานต์ประคองบิดาไปนั่งพักที่เตียง พลางหันไปมองวาสิตาที่เดินตามมาห่างๆพร้อมกับยาและน้ำ ชายหนุ่มรับยามาจากเลขาของพ่อก่อนจะป้อนให้บิดาที่เพิ่งสงบลง
“พ่อทานสักนิดนะฮะ จะได้หายปวดหัว”
นายเกื้อยอมกินยาและนอนพักไปแต่โดยดี ...ซึ่งเมื่อกานต์หยิบซองยาจากโรงพยาบาลมาอ่านดูแล้วก็ต้องประหลาดใจ
“ยาระงับประสาท...นี่หมายความว่ายังไงครับคุณตุ๊กตา พ่อผมเป็นอะไรกันแน่”
“คุณพ่อของคุณท่านเคยเห็นภาพหลอนของคุณกานดาบ่อยๆ เลยไปตรวจที่โรงพยาบาลมา คุณหมอบอกว่า..คุณพ่อคุณเสี่ยงที่โรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์”
วาสิตาเอ่ยเสียงเรียบ หากกานต์นั้นช็อคแทบสิ้นสติ...พ่อที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเขาเป็นโรคอัลไซเมอร์!
“เป็นไปไม่ได้ พ่อผมเพิ่งจะ 45 ท่านจะเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้ยังไง”
“เท่าที่ไปตรวจมาท่านเสี่ยงที่จะเป็นโรคสมองเสื่อมค่ะ คุณหมอบอกว่าอาการแบบนี้อาจเป็นอัลไซเมอร์ ท่านเริ่มมีอาการตั้งแต่คุณไปเรียนต่อที่เมืองนอกแล้วค่ะ ...”
วาสิตาเอ่ยเสียงสั่นพลางบีบมือตัวเองแน่น...ไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกของเธอที่ต้องทนเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ และต้องทนดูผู้ชายคนหนึ่งที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อลูกชายคนเดียวของตน
“ตอนแรกท่านก็ลืมนัดบ้าง จำลูกค้าสลับกันบ้าง แต่ระยะหลังมานี่ท่านเริ่มมีอาการสับสนทางด้านความคิดการตัดสินใจ ย้ำคิดย้ำทำ และบางครั้งก็เห็นภาพหลอน จนดิฉันต้องขอร้องให้ท่านไปรักษาตัว”
กานต์ฟังหญิงสาวคนสนิทของพ่อพูดไปก็ได้แต่สะท้อนใจ ... ที่ผ่านมาเขามัวทำอะไรอยู่ ทำไมเขาถึงไม่ได้เอะใจหรือระแคะระคายอะไรเกี่ยวกับอาการป่วยของพ่อบ้างเลย
“ท่านไม่ยอมรักษาอย่างจริงจัง...ท่านเป็นห่วงบริษัท เป็นห่วงคุณนะคะคุณกานต์”
วาสิตาเอ่ยย้ำอย่างกังวลกับชายหนุ่ม หากกานต์ก้มลงกราบแทบอกบิดา พลางกระซิบเอ่ยคำมั่นอย่างหนักแน่นต่อหน้าบิดาที่กำลังสะลึมสะลือจากฤทธิ์ยา
“ผมจะเข้มแข็งแล้วครับพ่อ ...พ่อเลิกเป็นห่วงผมได้แล้ว...”
กานต์กล่าวย้ำหนักแน่นในขณะที่นัยน์ตาแดงก่ำอย่างเจ็บปวดใจ
“พ่อไปรักษาตัวเถอะนะครับ ผมจะทำทุกอย่างแทนพ่อเอง พรุ่งนี้ผมจะให้คุณตุ๊กตาไปติดต่อคุณหมอที่เก่งที่สุด...ถ้าในเมืองไทยไม่มี ผมจะพาพ่อไปรักษาที่เมืองนอกเอง ...ส่วนเรื่องงานที่บริษัท...พ่อต้องเชื่อมั่นในตัวผมนะครับ”
กานต์กระชับมือเกื้อไว้แน่นในขณะที่กล่าวราวกับกำลังจับมือทำสัญญากับผู้เป็นบิดา สองมือที่สอดประสานกันของพ่อลูกนั้นต่างกระชับกันแน่น ชายหนุ่มออกแรงบีบที่มือราวกับให้คำมั่นสัญญาของลูกผู้ชาย...ถึงเวลาที่เขาจะต้องโตขึ้นเสียที!
........................................................................................................
########################################################################
กราบสวัสดีนักอ่านรอบทิศ .....ไรท์เตอร์น้ำมิ้มมาแล้วค่า
เข้ามาดูคอมเม้นท์...กรี๊ดดดดด ขอบคุณค่ะ เดาไม่ยากๆ ใกล้เฉลยแล้ว ... อีกแป้บนึงค่ะ ^^
ใจเย็นๆกันนะคะรีดเดอร์ ... นี่แค่เพิ่งเริ่ม มันจะดราม่าแล้วค่ะ ตุ๊กตาผ้า ยันต์ เข็ม ตะปู ค้อน เตรียมพร้อมกันได้หรือยังคะ ถ้าพร้อมแล้วสาปแช่งไรท์ได้เลย ... เค้าจะลงอีกทีวันพฤหัสบดี 55555
แต่ถ้าลงแล้วจะรวดๆ อ่านยาวๆ เลยจะได้หายคาใจ ^^
ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านอีกครั้งค่ะ...มาร่วมลุ้นไปด้วยกันนะคะ
รักคนอ่าน #น้ำมิ้ม