“วันนี้คุณกานต์มีนัดเซ็นสัญญากับลูกค้าจากจีนตอนบ่ายนะคะ แล้วเย็นนี้คุณกานต์มีนัดคุยกับลูกค้าจากอิตาลีด้วย ดิฉันจองร้านอาหารเอาไว้ให้แล้ว อ้อ...งานทั้งหมดที่ว่ามานี่คุณแซนดี้ต้องไปด้วยนะคะ... เอาไว้ลงข่าว”
มินทิราร่ายยาวใส่เจ้านายของเธอที่นั่งจ้องเธอมาสักพักใหญ่ๆแล้ว หากชายหนุ่มไม่ยอมปริปากพูดอะไรจนหญิงสาวอึดอัดจนเธอต้องเป็นฝ่ายเปลี่ยนบรรยากาศด้วยการเอางานมาคั่นจังหวะการมองของกานต์
“ผมกับแซนดี้เราจบกันด้วยดี ไม่มีปัญหาในการทำงานแน่นอน...ยกเว้นว่าคุณจะหึงผมจนหน้ามืดแล้วเผลอตบแซนดี้เป็นการเอาคืน”
“มันจะไม่เกิดขึ้นแน่นอนค่ะ...เพราะฉันไม่คิดจะหึงคุณ ไม่ได้รู้สึกอะไรกับคุณเลยสักกะนิดเดียว”
มินทิราเอ่ยตอบพลางเตรียมเอกสารสัญญาที่ร่างเอาไว้เรียบร้อยแล้วเอามาให้ชายหนุ่มตรวจทานเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะไปนัดเซ็นสัญญากับลูกค้า หากกานต์รับมาวางไว้เฉยๆพลางเอ่ยถามเรื่องที่สงสัยไม่วาย
“ไม่รู้สึกอะไรกับผมเลยสักนิดงั้นเหรอ ... ผมไม่เชื่อ...คุณทำงานใกล้ชิดผมทุกวันแบบนี้ ตัวแทบจะติดกันตลอด 24 ชั่วโมง ... จะไม่คิดอะไรกับผมได้ยังไง...เสน่ห์ผมไม่ตกขนาดนั้น”
มินทิรายิ้มเย็นชาใส่ใบหน้าคมเข้มที่ส่งสายตาปรอยๆมาให้เธอ พลางชี้นิ้วมาที่ปากตัวเอง
“ดูปากดิฉันนะคะ.... ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้นค่ะ...ถ้าจะคิดก็คิดได้อยู่อย่างเดียว”
“อะไร....” กานต์ตวัดเสียงถามตาเขียว เมื่อหญิงสาวยังคงยิ้มอย่างยียวน
“คิดว่าทำไมคุณกานต์ถึงไม่เหมือนท่านประธานเลย .... ท่านประธานออกจะหล่อ เก่ง สมาร์ท สุดคลาสสิค ในขณะที่ลูกชายแบบคุณ....เฮ้อออออออ”
“พูดแบบนี้นี่ไม่อยากกลับบ้านใช่มั้ย... เดี๋ยวก็โดนแบบคราวไปผับครั้งที่แล้วหรอก..”
กานต์ลุกขึ้นยืนขู่ฟ่อ พลางชะโงกหน้ามากระซิบใส่หน้าหญิงสาวที่หลบไม่ทันจนปลายจมูกโด่งๆนั้นชนกับจมูกเธอ ทำให้มินทิราอดหน้าแดงขึ้นไม่ได้จนกานต์แอบอมยิ้มอย่างพอใจก่อนจะกระซิบขู่เสียงหวาน
“รับรองว่าคราวนี้ฉันเอาจริง...ไม่อ่อนข้อให้เหมือนครั้งที่แล้วแน่ๆ”
“เสียใจค่ะ ครั้งนี้ฉันไม่พลาดยอมนั่งรถไปกับคุณแล้ว...ถ้าของขาดนักก็เชิญกลับไปหาแม่แซนดี้แฟนเก่าคุณโน่น อย่ามายุ่งกับฉัน”
มินทิรารีบถอยออกมา ก่อนที่ร่างสูงๆนั่นจะหาทางเอาเปรียบเธออีก หากกานต์ไม่ปล่อยโอกาสทองชายหนุ่มเดินมาคว้าข้อมือหญิงสาวลากติดมือออกไปนอกห้องจนมินทิราร้องเสียงหลง
“อุ๊ยคุณกานต์...จะพาฉันไปไหนเนี่ย”
“อ้าว...ก็บอกมีนัดกับลูกค้า เลยจะพาไปรอที่ร้านเลยไง เราไม่ควรปล่อยให้ลูกค้ารอนานนะ”
“มิสเตอร์เฉินเครื่องแลนด์ดิ้งตอน 11 โมงค่ะ แล้วดิฉันก็ยังติดคุยงานกับมิสเตอร์เอริคที่จะรับสินค้าเราไปวางที่อเมริกาด้วย ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะคุณกานต์ ฉันงานยุ่ง”
มินทิราวีนเสียงเขียวหากกานต์ไม่เพียงไม่ปล่อยมือเท่านั้น หากยังหันมาเผชิญหน้ากับมินทิราตรงๆก่อนจะใช้มืออีกข้างที่ว่างหยิบมือถือขึ้นมากดเบอร์ด่วนของวาสิตา เลขาของบิดาที่ตอนนี้ถูกนายเกื้อส่งมาช่วยควบคุมเขาอีกต่อหนึ่ง
“คุณตุ๊กตาครับ... ผมร่างเอกสารสัญญาที่จะเซ็นกับมิสเตอร์เฉินวางไว้ที่โต๊ะแล้ว ส่วนเรื่องมิสแองเจลีนาจากอิตาลี และ มิสเตอร์เอริคจากอเมริกา ผมฝากคุณวาสิตาประสานให้ก่อนแล้วตามเอาไปให้ผมที่ร้านที่นัดไว้ตอนเย็นนะครับ ขอบคุณครับ”
กานต์วางโทรศัพท์พลางชูอย่างผู้ชนะ หากมินทิราเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ
“คุณกานต์... คุณควรมีความรับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเองมากกว่านี้นะคะ งานนี้เป็นของพวกเราโดยตรง การไปรบกวนคุณวาสิตาแบบนั้นมันยิ่งกว่าผลักภาระ และนี่เป็นสิ่งที่ดิฉันเกลียดมากที่สุด ถ้าความรับผิดชอบคุณยังไม่พร้อม คุณก็ควรจะปล่อยดิฉันไว้ตรงนี้”
“มินทิรา....” กานต์เสียงอ่อยลงอย่างรู้สึกผิด หากมินทิราแกะมือชายหนุ่มออกอย่างสุภาพ พลางเอ่ยเสียงเย็นชา
“นี่คือเหตุผลที่ฉันเลือกที่จะทำกำไรมากกว่าจะเลือกคุณ.... หน้าที่ของตัวเองคุณยังรับผิดชอบไม่ได้ คุณยังกล้าจะรับผิดชอบชีวิตของผู้หญิงอีกคนได้ยังไง .... คุณไม่มีวันเทียบกับพ่อของคุณได้หรอกค่ะคุณกานต์”
มินทิราจ้องประสานสายตาไปที่กานต์ตรงๆจนชายหนุ่มหน้าเคร่งขึ้นเมื่อถูกจี้ใจดำ ก่อนจะหันหลังผลุนผลันออกไปอย่างหงุดหงิด หญิงสาวถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ ก่อนจะกลับเข้าไปทำงานที่ค้างไว้แทนที่เจ้านายหนุ่มที่ออกไปอย่างฉุนเฉียว
.........................................................................
กานต์ขับรถออกมาที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ก่อนจะโทรเรียกแซนดี้ให้มาหาเขา
“แซนดี้...คุณยุ่งอยู่หรือเปล่า มาหาผมหน่อยได้มั้ย”
กานต์วางสายลงเมื่ออีกฝ่ายรับปาก ก่อนจะลงจากรถมานั่งระบายอารมณ์อย่างหัวเสีย ... ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงต้องคอยเปรียบเทียบเขากับพ่ออยู่ตลอดเวลาแบบนี้ด้วย
“อ๋อ...คงนึกว่าตัวเองเลือกได้ละสิ คิดว่าพ่อฉันโสดแล้วจะนั่งแท่นเมียประธานแทนลูกสะใภ้ใช่มั้ย ยัยเตี้ยหวังสูง..หึ!”
กานต์เตะลูกหินไปที่บึงน้ำเรียบเรื่อยอย่างหงุดหงิด จนแซนดี้ที่เพิ่งมาถึงร้องทักอย่างขบขัน
“นี่หงุดหงิดมากจนถึงกับรอระบายให้แซนดี้ฟังไม่ไหว แล้วต้องไปลงกับหินเลยเหรอคะกานต์”
“ผมไม่เข้าใจเลยแซนดี้... ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงชอบว่าผมอยู่เรื่อย เอะอะก็ว่า คุณกานต์ไม่ได้เรื่อง ต้องทำแบบท่านประธานอย่างนู้นอย่างนี้ ... เหอะ...ผมกับพ่อคนละคนกัน จะมาต้องการให้ผมทำอะไรแบบที่พ่อทำได้ยังไงกัน”
แซนดี้เดินมานั่งที่ม้านั่งริมน้ำนั้น ในขณะที่นั่งฟังกานต์พล่ามบ่นไปเรื่อยๆอย่างต้องการระบายความหงุดหงิดที่สะสมไว้จนพอใจ ... แล้วจึงถามชายหนุ่มขึ้นสั้นๆ
“คุณรักเธอหรือเปล่าคะกานต์”
“ห๊า....คุณถามอะไรของคุณน่ะแซนดี้”
กานต์หันมาถามหญิงสาวเสียงสูง หากสีหน้าเก้อเขินชัดเจน แซนดี้จึงอธิบายต่ออย่างสบายอารมณ์
“ก็ถ้าคุณไม่ได้รักเธอ คุณก็แค่ไม่ต้องไปยุ่งวุ่นวายกับเธอ ถอยห่างออกมาซะ ห่างหูห่างตาก็จะสบายใจเอง”
“ผม... ผมเองก็ไม่รู้”
ชายหนุ่มตอบเสียงเบา หากเดินเข้ามาหาอย่างสนใจ และตัดสินใจปักหลักลงนั่งข้างๆหญิงสาวเสียเลยเพื่อฟังอีกฝ่ายพูดอย่างตั้งใจ
“คุณคิดว่าที่คุณมินทิราตามมาตอแยคุณสารพัด บังคับให้คุณทำโน่นทำนี่ เป็นเพราะอะไรคะ ...ถ้าให้ฉันเดาแบบผู้หญิงถึงผู้หญิงนะคะ .... เธอกำลังทดสอบและประเมินคุณอยู่ว่า ถ้าเกิดเธอซวยจนต้องแต่งงานกับคุณจริงๆ ชีวิตคู่ของคุณกับเธอจะไปกันตลอดรอดฝั่งมั้ย.... ”
“ประเมินผม...อย่างนั้นเหรอ” กานต์ถามอย่างไม่เข้าใจจริงๆจนแซนดี้แอบระอา... ผู้ชาย! ร้อยทั้งร้อยไม่เคยเข้าใจความคิดของผู้หญิงเลย
“ค่ะ... นิสัยใจคอ การตัดสินใจ การทำงาน ไลฟ์สไตล์ งานอดิเรก ลักษณะการพูดจาท่าทาง ความคิด ...เธอประเมินคุณทุกวินาทีที่อยู่ด้วยกัน ตั้งแต่เธอรู้เดิมพันด้วยซ้ำ....คุณไม่รู้ตัวเลยเหรอกานต์”
“แล้วคุณรู้ได้ยังไงแซนดี้...”
กานต์ถามอย่างทึ่งจัด หากนางแบบลูกครึ่งยักไหล่น้อยๆ แต่ก็ยอมเฉลยแต่โดยดี
“ตั้งแต่ที่คุณบอกเลิกฉัน แล้วคุณบอกว่าคุณกับมินทิราต้องแต่งงานกัน ฉันก็พอจะเดาได้ ถ้าคุณรู้ข้อนี้ทำไมแม่เลขาของคุณเธอจะไม่รู้”
แซนดี้มองผู้ชายที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นแฟนกันจนบัดนี้กลายสถานะมาเป็นเพื่อนกันได้อย่างสนิทใจ พลางเอ่ยแนะนำอย่างจริงใจแบบเพื่อนต่อเพื่อน
“มันเป็นตรรกะง่ายๆค่ะกานต์ การเดิมพันมันมีอยู่แค่สองอย่าง ไม่แพ้ก็ชนะ ...คนที่วางเดิมพันกัน ส่วนหนึ่งก็ต้องมั่นใจอยู่แล้ว....”
“มั่นใจว่าจะชนะ?”
แซนดี้ยิ้มพลางขบขันกับความใสซื่อของผู้ชายตรงหน้า พลางส่ายหน้าให้รู้ว่าชายหนุ่มตอบผิด ก่อนจะเฉลยคำตอบ
“มั่นใจว่า ถ้าหากแพ้...เราจะทำตามเงื่อนไขเดิมพันได้ต่างหากละคะกานต์ ... เธอไม่ได้รังเกียจคุณนะคะกานต์ แต่คุณจะสามารถเอาชนะใจเธอจนผ่านคุณสมบัติสามีของเธอได้หรือเปล่านั่นมันก็อีกเรื่อง .... ผู้หญิงอย่างคุณมินทิราไม่มีวันเลือกแต่งงานกับใครเพราะเหตุผลแค่ความชอบอย่างเดียวหรอกค่ะ”
ความรู้ใหม่นี้ทำให้ชายหนุ่มเต็มตื้นขึ้นในหัวใจอย่างไม่รู้ตัว .... แม้ว่าเจ้าหล่อนจะประกาศปาวๆว่าไม่รู้สึกอะไรกับเขา ไม่เคยคิดอะไรกับเขา แต่หญิงสาวกลับกำลังพิจารณาเขาถึงคุณสมบัติการเป็นสามีของเจ้าหล่อนอย่างนั้นหรือ...ผู้หญิงคนนี้ลึกล้ำเกินไปแล้ว!
“ถ้าคุณรักเธอ และอยากแต่งงานกับเธอจริงๆ คุณต้องปรับตัวเข้าหาเธอนะคะกานต์ ผู้หญิงเรามีเซ้นส์ในการเลือกคนรักและคู่ครองที่ต่างกัน และผู้หญิงที่ใช้หัวใจและสมองไปพร้อมๆกันอย่างคุณมินทิรา... คุณจะใช้หัวใจอย่างเดียวในการผูกใจเธอไม่ได้หรอกนะคะกานต์ ถ้าคุณไม่พิสูจน์ให้เธอเห็นว่านอกจากความรักที่คุณจะมอบให้เธอแล้ว คุณเข้มแข็งพอที่จะเดินเคียงข้างเธอได้หรือเปล่า”
“ผมไม่คิดว่าเขาจะคิดแต่งงานกับผมจริงๆ ก็เค้าเอาแต่พูดเรื่องงานๆๆๆ กำไรๆๆๆ จนผมเองยังคิดว่าเธอพยายามทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้แต่งงานกับผมด้วยซ้ำ”
กานต์สารภาพออกมาจากความรู้สึกที่แท้จริงในใจ เขามองมินทิราไม่ออกเลยจริงๆว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
“เธอมีบางอย่างคล้ายๆพ่อของผม....มีกำแพงที่ป้องกันหัวใจตัวเองที่ซ่อนเอาไว้จนลึกเกินไป...จนผมไม่รู้ว่าจริงๆแล้วพวกเขามีหัวใจอยู่จริงหรือเปล่า หรือผมแค่เข้าไปไม่ถึงหัวใจของเขาเอง”
“กานต์....”
แซนดี้เอื้อมมือมากุมมือชายหนุ่มเอาไว้อย่างให้กำลังใจ พลางเอ่ยย้ำสร้างความมั่นใจให้ชายหนุ่ม
“คนเราไม่มีใครไม่มีหัวใจหรอกนะคะกานต์ แต่เราเลือกที่จะใช้หัวใจเราเพื่ออะไรมากกว่า เพื่อครอบครัว เพื่อคนรัก เพื่อเพื่อน หรือเพื่อตัวเอง..... คุณกำลังใช้หัวใจตัวเองเพื่อตัวเอง นั่นทำให้คุณไม่เข้าใจเหตุผลและหัวใจของคนอื่นค่ะกานต์”
แซนดี้เอ่ยอย่างจริงจัง และยิ้มอย่างเศร้าสร้อยให้กับตัวเอง ก่อนจะพูดกับชายหนุ่มตรงหน้า
“ถ้าคุณลองใช้หัวใจตัวเองเพื่อคนอื่นดู แล้วคุณจะรู้และเข้าใจเหตุผลของเค้าเองค่ะ.... อย่างน้อยคุณก็จะรู้และเข้าใจว่า ทำไมฉันถึงกลายมาเป็นเพื่อนคุณได้อย่างทุกวันนี้”
..............................................................................