รุ่งตะวันพยายามจะดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากเครื่องพันธนาการที่รัดเธอติดไว้กับเตียงคนไข้ หากร่างกายนี้ดูจะผ่ายผอมและไม่มีเรี่ยวแรงเอาเสียเลย
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะหมอ” รุ่งตะวันพยายามเค้นเสียงพูด หญิงสาวรู้สึกว่าลิ้นคล้ายๆจะแข็งจนชา นี่เธอเป็นอะไรกันแน่
ปกเกียรติมองดูอาการเกร็งของอวัยวะต่างๆของน้องสาวแล้วก็รีบเรียกพยาบาลก่อนจะรักษาอาการชักกะทันหันของเด็กสาว และก่อนที่หญิงสาวจะหมดสติไป เธอได้แต่ภาวนาว่า ขอโอกาสให้เธอได้กลับไปอยู่กับครอบครัวเธอด้วยเถิด....
.........................................................................................................................................
เช้าวันที่สองที่เธอตื่นขึ้นมา รุ่งตะวันขอร้องให้พยาบาลพาเธอไปเข้าห้องน้ำ แม้หญิงสาวจะคาดเดาได้ว่าตัวเองคงไม่ได้ฟื้นขึ้นมาในร่างของตัวเอง เพราะเธอเห็นกับตาว่าร่างของเธอถูกเข็นเข้าห้องดับจิตไปแล้ว แต่หญิงสาวก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเข้ามาอยู่ในร่างที่ราวกับโครงกระดูกนี้ ใบหน้าที่ซูบซีดราวกับถูกดูดวิญญาณออกไป ทั้งยังร่างกายที่ผอมจนแทบจะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก รุ่งตะวันอยากจะเอามือปิดหน้าร้องไห้ยังไม่กล้า ....
“ฉันเป็นโรคอะไรคะ”
รุ่งตะวันหันไปถามพยาบาลที่พยุงเธอเข้ามา แต่พยาบาลกลับยิ้มตอบอย่างอ่อนโยนทว่าไร้ซึ่งคำตอบ
หญิงสาวพยายามสั่งการให้ปากตัวเองขยับเพื่อพูดให้ชัดถ้อยชัดคำอย่างลำบาก เพื่อทวนซ้ำคำถามเดิม
“ฉันเป็นโรคอะไร?”
“ออทิสติก (Autistic Disorder”
คำตอบมาจากปากของชายหนุ่มร่างสูงที่เดินเข้ามาตามในห้องน้ำ พยาบาลสาวจึงเลี่ยงออกไป ทิ้งให้ปกเกียรติเข้ามาช้อนร่างแบบบางของหญิงสาวออกไปที่เตียงคนไข้
“น้องปรางต้องพักผ่อนมากๆนะคะ ร่างกายยังไม่ฟื้นตัวจากอุบัติเหตุต้องพักให้มาก” ชายหนุ่มเอ่ยพลางคลุมผ้าห่มให้เรียบร้อยในขณะที่รุ่งตะวันกำลังประมวลผลโรคนี้ที่ส่งผลต่อร่างกายใหม่ของเธอ ....สมองพัฒนาช้าอย่างนั้นหรือ เด็กคนนี้เป็นเด็กพิเศษ แล้วเธอจะทำอย่างไรดี
“คุณหมอ... ฉันไม่ใช่น้องปรางของคุณ”
รุ่งตะวันเริ่มต้นด้วยความจริง ... หญิงสาวพยายามพูดช้าๆและออกเสียงให้ชัดเจนให้มากที่สุด ถึงอย่างไรสักวันคนรอบข้างเด็กคนนี้ก็ต้องรู้ ความแตกต่างระหว่างคนปรกติกับเด็กพิเศษไม่ว่าใครก็ต้องสังเกตเห็น โดยเฉพาะคนเป็นหมอ....
ปกเกียรติชะงักมือเพียงนิดเดียว หากแล้วก็ทำคล้ายกับว่าไม่ได้ยินคำบอกกล่าวนั้น
“ถ้าน้องปรางหายดีแล้ว เราจะกลับบ้านด้วยกันนะคะ ช่วงนี้พี่อาจจะให้ป้านวลมาช่วยดูแลระหว่างที่พี่ไปจัดการเรื่องคุณท่าน”
“ฉันชื่อรุ่งตะวัน ฉันเป็นมัณฑนากรที่ไปออกแบบบ้านให้คุณอย่างไรคะ”
ประโยคที่ยาวขึ้นทำให้หญิงสาวรู้สึกคล้ายกับขากรรไกรจะค้าง หากเธอก็ยังพยายามพูดจนจบประโยค ปกเกียรติสบตากับผู้เป็นน้องเนิ่นนาน ดวงตาที่สบประสานแม้จะใสแจ๋วเช่นเดิม หากแววตาเท่านั้นที่เปลี่ยนไป ... แต่นั่นยังไม่เพียงพอ...ชายหนุ่มได้แต่หลอกตัวเอง
“ปรางสุดา .... ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น น้องปรางยังคงเป็นปรางสุดาของพี่เสมอ”
ปกเกียรติย้ำกับหญิงสาวและตัวเอง ชายหนุ่มกำมือแน่นก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องคนไข้ไป ทิ้งให้รุ่งตะวันได้แต่ขัดใจ .... เธอจะทำอย่างไรให้อีตาหมอนี่ยอมรับว่าเธอไม่ใช่น้องสาวคนเดิมของเขาอีกแล้ว....
........................................................................................................................................
ปกเกียรติต้อนรับแขกผู้ใหญ่ที่ส่วนใหญ่แล้วเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่หลายคนอย่างพยายามไม่ให้ขาดตกบกพร่อง แม้ว่าท่านนายพลปิติ จะไม่ได้มีตำแหน่งทางการเมือง หากก็มีคนให้ความเคารพนับถืออยู่มาก โดยเฉพาะกลุ่ม “เตชะพงษ์” ที่เป็นทั้งพันธมิตรและคู่ค้าคนสำคัญของท่านนายพล
“ผมเสียใจด้วยครับคุณหมอปกเกียรติ ท่านไม่น่าต้องด่วนจากไปแบบนี้เลย”
ชายสูงวัยเข้ามาพูดคุยกับปกเกียรติเมื่อเคารพศพเรียบร้อยแล้ว ปกเกียรติยกมือไหว้อย่างนอบน้อม เพราะถึงอย่างไรนาย “เดชา เตชะพงษ์” ผู้นี้ในอดีตนั้นเคยเป็นเพื่อนรักของท่านนายพล จนถึงขนาดที่ท่านนายพลยินยอมให้เช่าพื้นที่ของท่านในแม่ฮ่องสอนหลายไร่เพื่อทำรีสอร์ทด้วยสัญญาเช่าที่แสนจะถูกเพื่อแลกกับการเป็นหุ้นส่วนธุรกิจในนามของปรางสุดาโดยที่ไม่เคยเข้าไปยุ่งในงานบริหารเลยแม้จะมีหุ้นถึง 49%
“แล้วนี่จะทำยังไงกันต่อไป ปรางสุดาก็ยังป่วยไม่ใช่หรือ แล้วใครจะสานต่อเรื่องงานการของท่านกัน”
นายเดชาบ่นเปรยๆ ให้ชายหนุ่มรุ่นลูกฟัง หากปกเกียรติยังคงนิ่ง ...เขาไม่จำเป็นต้องแพร่งพรายเรื่องในครอบครัวให้คนนอกฟัง หากนายเดชากลับตีความอาการนิ่งของชายหนุ่มผิดไป พลางกระหยิ่มยิ้มย่อง...หุ้น 49%ของปรางสุดา คงไม่ยากเกินความสามารถของเขา
“พระจะสวดแล้ว เชิญคุณลุงเดชาที่โซฟาด้านหน้าดีกว่าครับ”
ปกเกียรติตัดบทพลางเดินนำชายสูงวัยไปยังที่นั่งเจ้าภาพ .... แม้แต่ในวันนี้เขาก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของครอบครัวของรุ่งตะวัน หญิงสาวที่ขับรถชนรถของท่านนายพลและปรางสุดา จนทำให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งนี้ เมื่อคิดถึงตรงนี้ชายหนุ่มก็ได้แต่ถอนหายใจ .... หากจะบอกว่าเขาไม่คิดถึงคำพูดที่ปรางสุดาเอ่ยกับเขาที่โรงพยาบาลก็คงจะเป็นการโกหกเกินไป
“ฉันไม่ใช่น้องปรางของคุณ....ฉันชื่อรุ่งตะวัน เป็นมัณฑนากรที่ไปออกแบบบ้านให้คุณอย่างไรคะ”
ปกเกียรติครุ่นคิดอย่างหวาดกลัว ..... หรือว่าอุบัติเหตุครั้งนี้จะพรากครอบครัวของเขาไปทั้งหมด...ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว!
............................................................................................................................................................
รุ่งตะวันไม่ได้พบหน้ากับคุณหมอตัวสูงอีกเลย จนกระทั่งวันที่เธอจะออกจากโรงพยาบาล ปกเกียรติเข้ามาหาเธอเพื่อมารับตัวหญิงสาวกลับบ้าน
“วันนี้หมออนุญาตให้กลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ แต่น้องปรางต้องขยันทำกายภาพบำบัดนะคะ ผลกระทบจากอุบัติเหตุทำให้ร่างกายเราอาจจะเดินเหินไม่สะดวก แต่เดี๋ยวพี่จะจ้างพยาบาลพิเศษไปดูแลน้องปรางที่บ้านด้วย”
“หมอคะ... ฉันว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันก่อนจะออกจากโรงพยาบาลนะคะ”
รุ่งตะวันเอ่ยขึ้นเมื่อปกเกียรติเข้ามาพยุงตัวเธอเพื่อพาไปส่งให้พยาบาลช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้า หญิงสาวขืนตัวเอาไว้ไม่ยอมเดิน จนปกเกียรติต้องหยุดเดินและหันมาให้สัญญาณพยาบาลให้ออกไปก่อน
“น้องปรางไม่ควรดื้อกับพี่นะคะ”
“ฉันไม่ใช่น้องปรางของคุณ เมื่อไหร่คุณจะยอมรับเรื่องนี้”
“น้องปรางเอาอะไรมาพูดคะ น้องปรางแค่บาดเจ็บจากอุบัติเหตุ อาจจะยังจำพี่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร พี่จะดูแลน้องปรางเอง”
ปกเกียรติพูดพลางสบตาเพื่อยืนยันในสิ่งที่ตัวเองพูด หากรุ่งตะวันสวนกลับทันควัน
“ฉันจำคุณได้ คุณเป็นผู้ชายคนที่ฉันเจอที่บ้านพักที่แม่ฮ่องสอนของท่านนายพล ฉันจำทุกๆเรื่องที่เกิดขึ้นได้ คุณบอกจะให้ฉันต่อเติมบ้านพักที่นั่นให้มีห้องพยาบาลเพิ่มเพื่อเอาไว้พักฟื้นผู้ป่วยด้วย ฉันยังร่างแบบไว้คร่าวๆแล้วด้วย คุณต่างหากที่จำฉันไม่ได้”
“ทำไมพี่จะจำน้องสาวของตัวเองไม่ได้”
“เพราะฉันไม่ใช่น้องสาวของคุณไง”
รุ่งตะวันเกร็งปากเถียงคำจนตัวเองรู้สึกเหนื่อย เธอคงต้องจัดการฟื้นฟูร่างกายนี้ให้แข็งแรงให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นเธอคงหนีไม่พ้นสภาพนี้ไปจนตายแน่
“น้องปรางชอบสีชมพู แพ้อาหารทะเลทุกชนิด เกลียดสุนัข แพ้เกสรดอกไม้ ชอบกินสปาเก็ตตี้ครีมซอสกับซุปเห็ด อาหารจานโปรดคือไก่อบน้ำผึ้ง”
ปกเกียรติร่ายยาว พลางจ้องตาหญิงสาวไม่กระพริบ จนรุ่งตะวันก้าวถอยหลังไม่รู้ตัว
“น้องปรางไม่ชอบแสงแดดแรงๆ เพราะผิวจะแพ้ง่ายและทำให้ไม่สบาย เสื้อผ้าที่สวมใส่ต้องมีกระโปรงฟูๆเหมือนเจ้าหญิงในนิทานที่น้องชอบให้พี่กับคุณท่านเล่าให้ฟังก่อนนอน”
“พอ...พอได้แล้ว” หญิงสาวเอามืออุดหู หากปกเกียรติยังคงไม่ยอมหยุด
“ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับปราง พี่จำได้ทั้งหมด แล้วทำไมปรางถึงคิดว่าพี่จะจำปรางไม่ได้”
“ถ้าคุณจำน้องของคุณได้ คุณก็จะรู้เองว่าฉันไม่ใช่น้องสาวของคุณ แต่คุณแค่ไม่ยอมรับมันก็เท่านั้น”
รุ่งตะวันเงยหน้าขึ้นเถียงชายหนุ่ม ดวงตาที่วาวโรจน์ขึ้นเป็นข้อยืนยันได้อย่างดีว่าหญิงสาวพูดถูก หากปกเกียรติไม่แม้แต่จะเอ่ยยอมรับออกมา
“หยุดพูดจาเหลวไหล แล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมกลับบ้าน พี่จะไปตามพยาบาลมาช่วย”
ปกเกียรติหันหลังเดินจากไปอย่างเจ็บปวด .... เขาไม่มีวันจะยอมรับความจริงได้ เพราะภาระบนบ่าของเขาหนักเกินไป .... เขาจะไม่มีวันยอมให้ทุกอย่างที่ท่านนายพลทำมาทั้งหมดต้องสูญเปล่า.. ถึงอย่างไรปรางสุดาต้องยังอยู่เพื่อสานต่อความฝันของท่านนายพลและเพื่อรักษาเยื่อใยสุดท้ายที่เขามีต่อโลกใบนี้