“แล้วเราจะไปไหนกันต่อคะ” เมื่อผู้ชายตัวโตยังกึ่งจูงกึ่งลากเธอไม่ยอมปล่อยกวินธิดาก็จำต้องเอ่ยปากถาม
“ของใช้ส่วนตัวเธอยังไม่ได้ซื้อ”
“ของใช้ส่วนตัว?” ผักหวานทวนคำเขาพร้อมกับทำหน้างงน้อยๆ
“หรือว่าเด็กสาวสมัยนี้เขาไม่ใส่กางในกัน” พอโปษัณพูดจบเจ้าของดวงหน้าหวานก็มีอาการแก้มร้อนวูบวาบ ทำไมคุณโปษัณที่เธอรู้จักมาทั้งชีวิตไม่เคยมีท่าทีใจดีหรือมีท่าทางทีเล่นทีจริงแบบนี้มาก่อน หรือผู้ชายคนนี้จะเป็นคุณโปษัณ แสงสิริตัวปลอม?
“เดี๋ยวหวานเข้าไปเลือกเองก็ได้ค่ะ” เมื่อขายาวๆ ยังเดินนำเธอเข้าไปยังแผนกชุดชั้นในสตรีหญิงสาวก็กระตุกมือเขาเอาไว้แล้วร้องห้าม ซึ่งโปษัณก็พยักหน้าทำท่าเข้าใจทำให้กวินธิดาพุ่งตัวไปยังกระบะชุดชั้นในที่กำลังลดราคาในทันที
“เลือกมากี่ชุด” เมื่อเห็นเธอเดินกลับมาหาเขาในระยะเวลาอันรวดเร็วหนุ่มใหญ่จึงถามกลับก่อนที่จะชะงักมือที่ยื่นบัตรเครดิตให้พนักงานเอาไว้ก่อน
“สะ สะ สามชุดค่ะ”
“ไปเลือกเพิ่มเอาโหลนึง” เขาสั่งเสียงห้วนแต่เมื่อเห็นว่าผักหวานยังคงยืนเฉยโปษัณจึงหันไปสั่งกับพนักงานแทน
“รบกวนเลือกชุดเพิ่มให้เธอให้มันครบโหลด้วยนะครับ ขอบคุณมาก” เมื่อพนักงานสาวได้ฟังความต้องการของลูกค้าที่ดูท่าจะกระเป๋าหนักเธอก็รีบหมุนตัวกลับไปเลือกชุดชั้นในตามขนาดของสินค้าที่อยู่ในมือมาเพิ่มเมื่อเรียบร้อยแล้วจึงกลับมารับบัตรเครดิตที่ชายหนุ่มอีกครั้ง
“ขอบคุณที่ใช้บริการค่ะ” พนักงานสาวยิ้มหวานให้พร้อมกับยื่นถุงบรรจุชุดชั้นในใบโตซึ่งมือเล็กๆ ก็ชิงไปคว้ามันเอามาถือไว้ก่อนเพราะมันจะน่าเกลียดถ้าให้ผู้ชายมาถือของใช้ส่วนตัวขนาดนี้ให้
“หิวข้าวหรือยังล่ะ” ทั้งสองคนเดินซื้อของกันนานจนเวลาเคลื่อนผ่านไปเสียเย็นย่ำ ทั้งๆ ที่พุ่งตรงเข้าร้านเสื้อผ้าที่ต้องการล้วนๆ ไม่ได้มีเถลไถลไปเที่ยวชมอย่างอื่น
“หิวแล้วค่ะ”
“งั้นไปกินข้าวก่อนกลับไร่ก็แล้วกันนะ” ชายหนุ่มยังคงจูงมือเธอไปเรื่อยๆ เลือกร้านอาหารที่ดูจะว่างและคนน้อย แต่ไม่ว่าจะเดินด้อมๆ มองๆ ดูเท่าไรร้านรวงต่างๆ ก็มีคนรอใช้บริการค่อนข้างเยอะจนต้องรอคิวแทบทั้งนั้น
“เธอต่อคิวรอคนเดียวได้ไหมเดี๋ยวฉันจะเอาของไปเก็บที่รถก่อนแต่ถ้าถึงคิวแล้วฉันยังไม่มาก็สั่งอาหารของตัวเองได้เลย” เมื่อเดินวนจนไม่รู้จะกินอะไรดีชายหนุ่มจึงเลือกร้านอาหารญี่ปุ่นที่ดูจะคิวสั้นที่สุด
“ได้ค่ะหวานรอได้” เมื่อเธอตกปากรับคำเขาจึงพาเธอไปรับคิวจำเลขลำดับที่เธอได้รับจากนั้นก็ถือของพะรุงพะรังเต็มสองไม้สองมือกลับไปที่รถ ในตอนแรกก็มียื้อยุดกันนิดหน่อยเพราะเด็กสาวไม่ยอมส่งถุงที่ซื้อหลังสุดมาให้จนโปษัณยืนจ้องหน้าเธอจนตาเขียวกวินธิดาจึงจำใจส่งถุงชุดชั้นในให้เขาถือเอาไปเก็บในรถพร้อมข้าวของทั้งหมดที่คนเป็นเจ้านายพามาซื้อในวันนี้
“สั่งอะไรหรือยัง?” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามเรียกให้หญิงสาวที่กำลังนั่งมองเมนูวนไปวนมาสะดุ้งน้อยๆ
“หวานสั่งเรียบร้อยแล้วค่ะเหลือแต่ของคุณ” เธอยิ้มน้อยๆ ให้เขาซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่อาหารที่สั่งไปก่อนถูกยกมาเสิร์ฟซึ่งนอกจากน้ำเปล่าที่วางอยู่บนโต๊ะกวินธิดาสั่งแค่ชุดข้าวปลาแซลมอนย่างที่ประกอบไปด้วยข้าวสวยหนึ่งถ้วย ชินปลาสีส้มที่ย่างจนสุกหอมราดมากับซอสรสชาติกลมกล่อม เครื่องเคียงมีซุปกับสลัดผักถ้วยเล็กๆ เท่านั้น
“สั่งแค่นี้เองหรอกินเยอะๆ ก็ได้กลัวอ้วนหรือไงกัน” เขาบ่นอย่างไม่จริงจังนักก่อนจะแย่งเมนูในมือเธอมาดูบ้าง
“แค่นี้หวานก็อิ่มแล้วค่ะ” กวินธิดาตอบอย่างเกรงใจ เขาพยักหน้าตอบก่อนจะสั่งอาหารให้ตัวเองเป็นชุดข้าวปั้นหลากหลายหน้า ปลาดิบอีกเซ็ทใหญ่ แถมท้ายด้วยเบียร์อีกหนึ่งขวดจากนั้นทั้งสองคนก็ทานอาหารกันเงียบๆ โปษัณใช้ตะเกียบคีบข้าวปั้นส่งให้แถมยังชวนให้เธอกินอาหารที่เขาสั่งมา มีถามเธอบ้างถึงเรื่องงานที่กานดาสอนมาวันนี้แล้วก็เล่าขอบเขตงานอื่นๆ ที่ชายหนุ่มตั้งใจให้เธอมาช่วยให้ฟังคร่าวๆ
“งานที่ต้องออกไปข้างนอกมีเป็นช่วงๆ จะให้ไปเฉพาะตอนที่ธนัทติดงานในไร่เยอะๆ ถ้าไม่เข้าใจเนื้องานก็ไม่ว่าเพราะมันยังมีเวลาศึกษากันได้ขอแค่เตรียมเอกสารให้เรียบร้อยพร้อมใช้ก็พอ” เขาย้ำความต้องการเมื่อเห็นว่าดวงตากลมๆ ชักจะมีแววของความสงสัย
“หวานจะตั้งใจทำค่ะ” หญิงสาวยิ้มกว้างให้เขาหลังจากที่ใช้ตะเกียบส่งข้าวเข้าปากซึ่งรอยยิ้มหวานเชื่อมนั้นก็ทำเอาผู้ชายตัวโตหัวใจแทบละลาย
“เอาของเข้าไปเก็บในห้องแล้วออกมาหาฉันที่ห้องทำงานหน่อยนะ” หลังจากขับรถมาถึงบ้านแล้วโปษัณก็พูดกับกวินธิดาเมื่อตอนที่ส่งถุงเสื้อผ้าให้ หญิงสาวก็พยักหน้าตอบรับก่อนจะรีบเดินกลับไปห้องพักด้านหลังของบ้านโดยใช้เส้นทางที่เดินผ่านห้องครัว และก่อนที่จะเดินไปห้องทำงานของคนเป็นนายเธอก็ไม่ลืมที่จะรินน้ำเย็นใส่แก้วติดมือถือไปให้เขาด้วย
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เข้ามาเลย” เมื่อคนด้านในอนุญาตผักหวานก็หมุนลูกบิดประตูเข้าไปในห้องทำงานขนาดใหญ่ โปษัณนั่งเฉยๆ อยู่หลังโต๊ะไม้ตัวโตมันวาว
“ดื่มน้ำก่อนนะคะ” เขารับน้ำจากมือเล็กๆ ไปแล้วยกดื่มรวดเดียวครึ่งแก้ว
“เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าทำไมถึงหนีออกจากบ้าน” คำถามตรงไปตรงมาเล่นเอากวินธิดาหน้าเสีย อันที่จริงเธอรู้อยู่แล้วว่าโปษัณจะต้องถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะเขาน่าจะรู้เรื่องราวมาบ้างผ่านทางคุณลุงกษิ
“หวานคิดว่าคุณลุงกษิน่าจะบอกคุณโปษัณแล้ว”
“ฉันให้เธอเล่าให้ฟังไม่ใช่มาย้อนกันแบบนี้ ฉันจะได้ยินอะไรมาจากใครก็ช่างแต่ตอนนี้ฉันต้องการฟังเรื่องทั้งหมดจากปากของเธออย่างละเอียดนะกวินธิดา” หนุ่มใหญ่เสียงเข้มขึ้นเมื่อเห็นว่าเด็กสาวนั่งอึกอักไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักที
“หวานทำร้ายนายเดโชเลยหนีออกมาเพราะกลัวค่ะ” เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มเล่าจากตรงไหนผักหวานจึงกลั้นใจเค้นคำพูดออกมาได้เพียงเท่านั้น น้ำตาที่เพิ่งแห้งเหือดไปเมื่อวานกลับรื้นขึ้นมาคลอในดวงตากลมโตแสนเศร้าอีกแล้ว
“ไม่ต้องกลัวอะไรหรอกมันไม่ได้ตายแค่อยู่ไอซียู บอกฉันมาสิเด็กน้อยว่าทำไมเธอถึงต้องทำแบบนั้น”
“ไม่ต้องกลัวนะ ที่นี่ไม่มีใครท้ายเธอหรอกผักหวาน” เมื่อเห็นว่าริมฝีปากอิ่มเริ่มจะบิดเบ้เพราะคนเป็นเจ้าของทำท่าจะสะอื้นไห้โปษัณจึงต้องลดโทนเสียงลงมาคล้ายจะปลอบเพราะหากเขายังคงทำท่าเข้มอยู่แบบนี้รับรองว่าเด็กสาวคงไม่เปิดปากเล่าอะไรออกมาแน่นอน
“หวะ หวานกลัว มะ มันจะข่มขืนหวาน” พูดได้เท่านั้นมือเล็กก็ยกขึ้นปิดหน้าปิดตาเพราะเจ้าตัวสะอึกสะอื้นร้องไห้ แม้ผู้ชายตัวโตจะเตรียมใจมาแล้วว่าต้องได้ยินเรื่องราวทำนองนี้แต่มันก็อดที่จะรู้สึกวูบโหวงในช่องท้องแบบแปลกๆ ไม่ได้
“ใจเย็นๆ นะค่อยๆ เล่ามาเราจะได้ช่วยกันจัดการไอ้เดนนรกนั่นให้มันได้รับโทษ”
“ฮึก! วะ วะ วันนั้นหวานกลับบ้านไปหาแม่ที่สุพรรณหลังจากไปยื่นเรื่องขอจบที่มหาวิทยาลัยแต่ไม่มีใครอยู่ แม่คงไปบ่อน ส่วนโขมก็บอกเอาไว้แล้วว่าไปเข้าค่ายที่ต่างจังหวัดกับโรงเรียนหลายวันหวานเลยกลับไปอยู่บ้านคนเดียว” หญิงสาวรวบรวมความกล้าสูดลมหายใจเข้าไปเต็มๆ ปอดก่อนจะค่อยๆ เปิดปากย้อนเล่าถึงเกตุการณ์อันเลวร้ายในวันนั้นออกมา
“สภาพบ้านทั้งสกปรกทั้งรกจนดูไม่ได้หวานก็เลยเก็บกวาดทำความสะอาดทำตั้งแต่บ่ายถึงเย็นหวานเหนื่อยก็เลยเผลอหลับบนโซฟาไปตอนไหนก็จำไม่ได้มารู้สึกตัวอีกทีเพราะหวะ หวานเจ็บ” เสียงเล็กสั่นเครือเล็กน้อยเมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ ปฏิกิริยาของเธอทำให้ผู้ชายตัวโตที่กำลังตั้งใจฟังชักจะร้อนรนอย่างบอกไม่ถูก
“หวานตื่นมาเห็นไฟในบ้านเปิดอยู่ที่เจ็บเพราะมะ มันกำลังกัดหน้าอกหวานแล้วก็พยายามจะถอดกางเกงที่ใส่ออกด้วยพอดิ้นหนีมันก็ทุบท้องจนจุก หวานกลั้นใจยกเท้าถีบมันจนหงายหลังแล้วจะวิ่งหนีแต่มันก็ลุกตามมาตบหวานจนเลือดกบปาก ฮือ...” มือน้อยยกขึ้นปาดน้ำตาที่ร่วงเป็นสายปานทำนบพังส่วนคนฟังก็ได้แต่กำหมัดและกัดกรามจนเป็นสันนูน เส้นเลือดบริเวณขมับโป่งพองจนน่ากลัวว่ามันจะปะทุแตกตามแรงอารมณ์ที่กำลังเดือดพล่าน
“มันลากหวานกลับมาที่ห้องรับแขกอีกหวานก็พยายามจะวิ่งหนีอีกคนไปคว้าแจกันที่วางอยู่มาฟาดลงไป พอมันร่วงลงไปกับพื้นหวานก็วิ่งไปคว้าแจกันอีกอันที่มันเป็นคู่กันมาฟาดซ้ำเพราะกลัวมันจะลุกขึ้นมาทำหวานอีก แต่พอเห็นเลือดไหลนองที่พื้นก็กลัวว่ามันจะตายหวานเลยวิ่งขึ้นห้องไปคว้ากระเป๋าเป้แล้วหนีออกมา”
หลังจากนั่งสะอื้นไปพักใหญ่กวินธิดาก็สูดน้ำมูกแล้วกัดฟันเล่าต่อจนจบเพราะกลัวว่าตัวเองจะเป็นคนทำร้ายนายเดโชจนได้รับอันตรายถึงชีวิตเด็กสาวจึงหนีความผิดมาโดยที่ไม่ได้ไต่ตรองดูก่อนว่าที่ทำลงไปทั้งหมดนั้นเป็นการป้องกันตนเองจากชายใจชั่วที่จะข่มขืนเธอ
“นี่ครั้งแรกหรือเปล่าที่นายเดโชทำ” คำถามเขาเล่นทำเอาคนแก้มยุ้ยหน้าไร้สีเลือด เธอส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาร้องไห้อีก
“แล้วทำไมไม่บอกคุณกมลนิตย์” ยิ่งได้ยินชื่อมารดาจากปากเขากวินธิดาก็ร่ำไห้ปานใจจะขาดร่างๆ เล็กๆ นั้นสั่นงันงกจนน่าตกใจโปษัณเห็นท่าไม่ดีจึงลุกมาประคองผักหวานย้ายไปนั่งที่โซฟาแทนแล้วใช้มือหนากอบกุมมือบางเอาไว้เป็นการช่วยปลอบขวัญ
“ไหนพูดซิว่าเกิดเรื่องขนาดนี้แล้วทำไมไม่บอกแม่เรา”
“หวะ หวานเคยบอกแล้วแต่แม่ไม่เชื่อหวานเลยบอกแต่ว่าหวานคิดไปเองมันเอ็นดูหวานเหมือนลูกเหมือนหลาน”
“บ้าชิบ!” โปษัณสบถเพราะหงุดหงิดในสิ่งที่เพิ่งได้ยินมาหมาดๆ นึกสงสัยว่ามารดาของเด็กสาวฉลาดน้อยหรือไรที่ดูไม่ออกว่าสามีใหม่ของตัวนั้นเอ็นดูลูกสาวหรืออยากจะให้ลูกสาวดูเอ็นมัน
“หวานปวดหัว” เมื่อร่างกายแบกรับความกดดันและความสะเทือนใจเอาไว้ไม่ไหวกวินธิดาจึงร้องบอกเหมือนต้องการขอความช่วยเหลือ ตอนนี้เปลือกตาคู่บางบวมช้ำอย่างหนักจากการร้องไห้มันดูเหมือนจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่อยู่รอมร่อ
“งั้นก็หยุดร้องไห้มันไม่มีอะไรแล้วนะอยู่ที่นี่ปลอดภัยเธออยากจะอยู่ไปนานแค่ไหนก็ได้งานก็มีให้ทำ ข้าวก็มีให้กินอย่าไปมัวคิดมาก อีกไม่กี่วันคุณลุงกษิจะมาเยี่ยมอยากจะเจอแม่ไหมล่ะ” เขาลองถามหยั่งเชิงดูก่อนว่าเธอนั้นจะมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อมีคนเอ่ยถึงมาดา
“แม่คงไม่อยากเจอหวานแล้ว หวานทำร้ายสามีของแม่”
“แต่สามีแม่มันจะทำร้ายเธอนะผักหวาน บอกมาแค่ว่าอยากเจอแม่หรือยัง” เขาเสียงเข้มขึ้นนิดหน่อยเมื่อเด็กสาวชักจะทำท่าเหมือนพูดไม่รู้เรื่อง
“หวานคิดถึงแม่ อยากบอกแม่ว่าหวานโดนทำร้าย หวานเจ็บแต่หวานก็กลัวแม่จะโกรธ” น้ำตาหยดแล้วหยดเล่ายังคงรินไหล คนตัวโตชักจะทนภาพตรงหน้าไม่ได้เสียแล้ว เขาทั้งโกรธทั้งเกลียดนายเดโชเหมือนอยากจะไปฆ่าให้ตายที่มันอาจมาทำร้ายสาวน้อยที่ไร้เดียงสาที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อย่างกวินธิดายิ่งเห็นหญิงสาวสะอื้นไห้จนตัวโยนเขายิ่งสาสารเธอจับใจ
“งั้นเดี๋ยวจะให้คุณลุงพาแม่เธอมาหาที่นี่ก็แล้วกันนะ พอเถอะไม่ต้องร้องแล้วปวดหัวไม่ใช่หรอ” มือใหญ่เอื้อมไปกรีดหยาดน้ำตาออกจากดวงหน้าหวาน แม้ใจจริงเขาอยากจะคว้าร่างเธอเข้ามากกมากอดและจูบปลอบขวัญแต่โปษัณก็ไม่อาจจะทำได้ เขาคงไม่อาจจะถึงเนื้อถึงตัวล่วงเกินให้เธอขวัญเสียเหมือนที่ไอ้ระยำนั่นทำเอาไว้
“ไปนอนพักผ่อนเถอะเดี๋ยวฉันจะไปส่งที่ห้อง” ชายหนุ่มตัดสินใจหยัดกายขึ้นยืนก่อนจะยื่นมือให้กวินธิดาเกาะกุมไว้ใช้เป็นหลักยึด โปษัณออกแรงดึงแค่แผ่วเบาร่างกลมกลึงก็ปลิวหวือมาอัดอยู่กับอกแน่นๆ
“กินยาแก้ปวดก่อนแล้วก็ไปนอนนะพักผ่อนซะมันไม่มีอะไรแล้ว” เขาพูดในขณะที่จับจูงมือบางเดินมายังห้องครัว เพื่อให้แน่ใจว่าหญิงสาวจะไม่ทรมานจากอาการปวดหัวเพราะร้องไห้อย่างหนัก เขาจึงจัดการหายาหาน้ำให้กินก่อนจะเดินออกไปส่งหญิงสาวที่ห้องพักโดยอาศัยเดินออกทางประตูครัว
แม่ยกป๋าปูนกับหนูผักหวาน ตามไปโหลดได้เลยจ้าา
ขอบคุณนักอ่านที่น่ารักสำหรับการติดตามและการสนับสนุน
ฝากผลงาน E-Book เรื่องที่วางจำหน่ายแล้วไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ