#คุณชายเย็นชา #ยัยหนูผี
#คุณชายเย็นชา #ยัยหนูผี
**เช้าวันรุ่งขึ้น
ก๊อกๆๆ
“ยัยหนูดี ตื่นรึยังลูก ออกมาหาม๊าหน่อย ม๊ามีเรื่องจะคุยด้วย”
“อืม”ใครมาเคาะประตูแต่เช้านะ ฉันบิดขี้เกียจไปมาอยู่บนที่นอน เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็เกือบสว่าง
“หนูดี ตื่นๆม๊ามีเรื่องจะคุยด้วย”เอ๊ะเสียงม๊านี่นา
“คร้าๆๆ”ฉันพูดตอบรับออกไปแล้วสะลึมสะลือลุกขึ้นไปเปิดประตู
“พึ่งตื่นหรอลูก”ม๊าพูดขึ้นเมื่อเห็นสภาพฉัน
“ใช่ค่ะ ม๊ามีอะไรรึป่าวคะ”ฉันถามออกไปด้วยท่าทางง่วงๆพร้อมกับเกาหัวไปด้วย
“ไปอาบน้ำอาบท่าแล้วลงไปหาม๊าข้างล่างม๊ามีเรื่องจะคุยด้วย”
“ได้ค่ะ รอแปบนะคะ”ม๊าฉันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ฉันเลยตบปากรับคำออกไป แล้วรีบเดินเข้าไปอาบน้ำ เสร็จแล้วก็เดินลงมาด้านล่างก็เห็นป๊ากับม๊านั่งอยู่
“มาแล้วหรอ อย่าบอกนะว่าเมื่อคืนไปเที่ยวมา”เสียงป๊าเอ่ยขึ้นหลังจากที่เห็นฉันก้าวลงมาจากบันได
“แหมป๊าขา นิดหน่อยเองหนูดีบอกม๊าแล้วนะ”ฉันเข้าไปกอดป๊าด้วยท่าทางอ้อนๆเพราะกลัวท่านดุ แต่จริงๆท่านก็ไม่ดุฉันหรอกออกจะตามใจด้วยซ้ำเพียงแต่ท่านบอกว่าไปเที่ยวที่แบบนี้ต้องดูแลตัวเองให้ดีอย่าปล่อยตัวให้มาก
“เอาล่ะม๊าจะเข้าเรื่องที่จะพูดกับลูกเลยแระกัน”ม๊าฉันพูดด้วยท่าทางจริงจัง
“ค่ะ ม๊ามีเรื่องอะไรหรอคะ”
“คือ ว่าม๊ากับป๊าจะต้องเดินทางไปทำงานต่างประเทศสามเดือน”ม๊าพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง
“อ้าว ทำไมล่ะคะ หนูดีพึ่งกลับมาเองนะ แทนที่จะได้อยู่กับป๊ากับม๊าให้หายคิดถึงนี่จะไปอีกแล้วหรอคะ”ฉันถามออกไปด้วยความน้อยใจ ปกติฉันก็ไม่ได้อยู่กับท่านอยู่แล้ว พอจะอยู่ด้วยกันท่านกับจะมาหนีฉันไปอีกแล้ว คือครอบครัวของฉันทำธุรกิจหลายอย่างและหลายประเทศ ป๊ากับม๊าเลยต้องเดินทางไปทำงานต่างประเทศบ่อยๆไม่ค่อยอยู่กับที่
“อย่าน้อยใจเลยน่า ม๊าสัญญาว่าจะโทรหาทุกวัน แต่ม๊าเป็นห่วงเรา เพราะมันใกล้จะเปิดเทอมแล้ว บ้านเรายังอยู่ไกลมหาลัยที่หนูดีเรียนอีก ม๊าเลยอยากให้หนูดีไปอยู่กับคนรู้จัก ซึ่งเขามีคอนโดนอยู่ใกล้มหาลัย”ม๊าพูดออกมายาวเหยียด
“ใครคะคนรู้จัก”ฉันถามออกไปด้วยความอยากรู้ ใครคือคนที่ม๊าจะให้ฉันไปอยู่ด้วย เพราะฉันคิดไม่ออกเลยว่าคนที่ม๊ารู้จักเป็นใคร
“เอ่อ”ม๊ามีท่าทีอึกอัก
“บอกลูกไปเถอะคุณสักวันลูกก็ต้องรู้”ป๊านี่ก็อีกคนเหมือนมีเรื่องอะไรปิดบังฉันอยู่
“ป๊ากับม๊ามีเรื่องอะไรปิดบังหนูดีรึป่าวคะ”ฉันถามออกไปด้วยความสงสัย
“เอ่อ คือคนที่เราจะให้ลูกไปอยู่ด้วยหน่ะเป็นคู่หมั้นของลูกจ๊ะ”ม๊าฉันพูดออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา คู่หมั้นนี่ฉันไปมีคู่หมั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันอ้าปากค้างตกใจทันทีที่ได้ยิน
“ม๊าว่าอะไรนะคะ คู่หมั้นหรอ หนูดีไปมีคู่หมั้นตั้งแต่ตอนไหน”ฉันถามออกไปอย่างเร็ว
“ก็ตั้งแต่เด็กๆนะจ๊ะ”
“ม๊านี่มันยุคไหนกันแล้วคะ หนูดีไม่อยากจะเชื่อว่ามันมีเรื่องแบบนี้อยู่”ฉันโว้ยวายออกไปหลังที่ม๊าพูดแบบนั้นนี่มันหมดยุคคลุมถุงชนแล้วนะ
“โถ่ หนูดีลูกก็ ม๊ารับปากเขาไว้แล้วนี่ลูก ถือสะว่าทำเพื่อม๊าหน่อยนะ ม๊าไม่อยากเสียเพื่อน ถือสะว่าไปศึกษาดูใจกัน ถ้ามันไม่โอเคหนูดีไม่รักเขาหรือเขาไม่รักลูกค่อยมาว่ากันอีกที ม๊าจะไม่ขัดใจลูกเลยนะ”ม๊าใช่น้ำเสียงออดอ้อนกับฉัน แล้วฉันจะไปไหนรอด ศึกษาดูใจกันแล้วมันจำเป็นไหมที่ต้องไปอยู่ด้วยกัน
“แล้วม๊ากับป๊าไม่ห่วงหนูดีหรอคะที่ให้หนูดีไปอยู่กับผู้ชายแบบนั้น ”ท่านทั้งสองไม่หวงฉันเลยรึไงนะ
“หวงมันก็หวงอยู่หรอก แต่ทำไงได้เรารับปากทางนั้นไปแล้วด้วย และม๊าเชื่อว่าหนูดีของม๊าดูแลตัวเองได้ และม๊าเชื่อในการตัดสินใจของลูก”ผู้ชายคนนั้นไม่มีปัญญาหาเมียรึไงนะถึงยอมให้ผู้ใหญ่จับคู่ ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“แล้วเขาไม่มีแฟนหรอคะ”ฉันถามออกไปอย่างที่ใจคิด
“ไม่มีจ๊ะ”ฉันทำหน้าเศร้าทันที แล้วเรื่องคุณชายเย็นชาของฉันล่ะ ฉันยังไม่เริ่มเลยต้องหยุดแล้วหรอ โอ้ย ฝันสะลาย
“ก็ได้ค่ะ แต่ถ้าเราสองคนไม่ได้รักกันม๊าต้องยกเลิกเรื่องหมั้นทันทีเลยนะคะ”ฉันยอมรับเงื่อนไขของม๊า เรื่องแบบนี้ฉันไม่ยอมให้มาบังคับกันหรอก ตอนนี้ฉันพึ่งจะเจอคนถูกใจแต่ต้องมาหมั้นกับใครก็ไม่รู้ ทำไมชีวิตฉันมันช่างอาภัพแบบนี้
“โอเคจ๊ะ”
“แล้วหนูดีต้องย้ายไปเมื่อไหร่ค่ะ”
“พรุ่งนี้เลยจ๊ะ เพราะป๊ากับม๊าต้องเดินทางพรุ่งนี้และอีกอย่างอาทิตย์หน้าหนูดีก็เปิดเทอมแล้วด้วย”พรุ่งนี้เลยหรอไวจัง
“คะ”ฉันตอบออกไปด้วยเสียงแผ่วเบา
******“นี่พวกแก ฉันให้พวกแกมาช่วยขนของนะไม่ได้ให้มาเม้ามอย”ตอนนี้ฉันกำลังขนของเพื่อที่จะย้ายไปอยู่กับว่าที่คู่หมั้น ม๊ากับป๊าใจร้ายกับฉันมากเลยอ่ะ แม้แต่หน้าคู่หมั้นก็ไม่ให้เห็น ให้แค่ที่อยู่ ชื่อ แล้วก็เบอร์ห้องแค่นั้นเอง ม๊าบอกว่าทางนั้นเขารู้แล้วว่าฉันจะไปอยู่ด้วย เริ่ดคะ ง่ายๆเนาะ ฉันจะต้องคุยกับหมอนั้นให้รู้เรื่องบอกว่าฉันไม่อยากหมั้นเพื่อที่จะคิดแผนการจีบคุณชายต่อ และตอนนี้เพื่อนตัวดีของฉันที่ฉันชวนมันมาช่วยขนของแต่พวกมันกับเม้ากันอย่างเดียว
“คุณอภิเดชคะ ฉันให้พวกคุณมาช่วยขนของนะคะ ไม่ใช่มาเม้ามอยค่ะ” ฉันพูดออกไปด้วยเสียงติดรำคาน
“อ๊าย ยัยหนูผี ฉันบอกว่าอย่าเรียกชื่อจริงฉันในที่สาธารณะ”เมื่อฉันเรียกชื่อจริงมันก็แว๊ดๆใส่ฉันทันที
“พวกแกก็เหมือนกัน”แต่ฉันไม่สนใจมันหันไปพูดกับยัยสองแสบต่อ
“แกก็ ป่ะๆๆขึ้นไปกัน”พวกมันเปลี่ยนเรื่องชวนฉันขึ้นคอนโดสูงที่อยู่ตรงหน้า ใช่ค่ะตอนนี้พวกเราได้มาอยู่หน้าคอนโดสุดหรูของว่าที่คู่หมั้นฉันเรียบร้อยแล้ว
“ไม่ต้องอ่ะ พวแกกลับไปได้แล้ว”ฉันไล่พวกมันกลับ
“ทำไมอ่ะ”
“ก็ม๊าหน่ะสิบอกว่า ว่าที่คู่หมั้นฉันไม่ชอบให้ใครวุ่นวาย ฉันเลยกลัวว่าถ้าให้พวกแกขึ้นไปมันจะเป็นเรื่อง เอาเป็นว่าฉันขึ้นไปเองถ้ามีอะไรเดี๋ยวจะไลน์บอก”ฉันร่ายออกไปยาวเหยียดเพื่อไม่ให้พวกมันได้ถามมาก
“แล้วมันไว้ใจได้หรอวะ”ยัยอินพูดขึ้นด้วยสีหน้าหวาดๆ ฉันก็กลัวอยู่เหมือน มาอยู่กับคนที่ไม่รู้จักไม่เคยแม้แต่เห็นหน้า ไม่รู้จักนิสัยใจคอกันมันจะเป็นยังไง แต่ม๊าบอกว่าเขาไว้ใจได้ไม่ต้องเป็นห่วงฉันก็เบาใจขึ้นมานิดหน่อย
“ไม่น่าจะมีอะไรหรอกม๊าบอกว่าเขาไว้ใจได้”
“เออๆเคๆ แล้วแกเอาขึ้นไปหมดหรอวะ”ยัยอินถามฉัน
“หมดแค่นี้เอง ตอนพวกแกเม้าฉันยังขนคนเดียวได้เลย”ไม่วายที่ฉันจะจิกกัดพวกมัน ทีตอนนี้มาห่วงตอนให้ช่วยขนไม่ช่วย ฉันได้แต่คิดค้อนขอดพวกมันในใจ
“ใครหว่า ไปดีกว่า พวกเรากับกันเถอะ เราชว่ยมันมามากแล้ว รู้สึกเหนื่อยจัง”ยัยอินพูดแล้วทำท่าทำทางเหมือนเหนื่อยสะเต็มปะดา พวกเพื่อนเวร พูดเสร็จมันก็ขึ้นรถแล้วขับออกไปทันทีโดยที่ฉันไม่มีโอกาสอ้าปากด่าพวกมันอีก เหลือแค่ฉันที่ยืนเหมือนหมาหลงทางอยู่หน้าคอนโด สู้ๆ ว่าแล้วฉันก็หอบสัมภาระอันมากมายมหาศาลของฉันขึ้นคอนโด
ทำไมต้องอยู่สูงขนาดนี้ด้วยนะ ฉันขึ้นลิฟท์แล้วมุ่งตรงขึ้นไปชั้นที่ 25 คอนโดนี้มี 30 ชั้น ไม่นานเสียงลิฟท์ก็เปิดออกแล้วฉันก็เดินออกไปอย่างทุลักทุเล ห้อง 30113 อยู่ไหนนะ อ๊ะ เจอแล้ว เอาไงดีวะ มือไม่ว่าง ของก็ขี้เกียจวาง ฉันเลยตัดสินใจจะใช้อวัยวะทั้งสามสิบสองให้เป็นประโยชน์
หนึ่ง สอง สาม
ฉันกำลังยกเท้าขึ้นถีบประตู แต่ต้องชะงักเท้า อ้าปากค้าง ด้วยความตกใจเพราะอยู่ๆประตูก็เปิดออกมา
“ทำอะไร”เสียงทุ่มเรียบดังออกมาจากปากคนที่เปิดประตู ตอนนี้ปากฉันยังไม่งับลงมาเลยก็ว่าได้ โอ้ โน อยากจะร้องเป็น ภาษาปะกิตที่ฉันไปร่ำเรียนมา เมื่อฉันได้สติก็รีบเก็บขางับปากแล้วถามเขาออกไป
“เอ่อ คุณอยู่ห้องนี้หรอคะ”ฉันถามออกไป มันเป็นคำถามที่ปัญญาอ่อนเปล่าวะ ก็เขาออกมาจากห้องนี้ก็ต้องอยู่ห้องนี้สิ อ๊ายยยยย อย่าบอกนะว่าคนนี้คือว่าที่คู่หมั้นฉานนนน ฉันได้แต่คิดด้วยหัวใจที่ลิ่งโรดอยากจะกระโดดสักสิบตะหลบแล้วแหกปากร้องดังๆอ๊ายยยยย
“ยิ้มอะไร” กึก เสียงเย็นๆเรียบๆที่ออกมาจากปากคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉัน ทำให้ฉันหยุดมโนแล้ว ยิ้มอ่อนให้กับเขาด้วยท่าทางเขินอาย หัดอ่อยแปบ
“เอ่อ ฉันชื่อหนูดีเป็นว่าที่คู่หมั้นของนาย บดินทร์ คุณรู้จักรึป่าว พอดีว่าฉันจะต้องย้ายมาอยู่กับเขา”พอฉันพูดจบเหมือนเขาจะสตั้นไป แล้วขมวดคิ้วมองหน้าฉันด้วยสายตางุนงง ฉันเลยทำตามเขาบ้าง เขาทำหน้างงฉันก็ทำหน้างงเหมือนกัน ฉันแค่ลองถามดูเผื่อใช่เขาฉันจะไม่ปฎิเสธเลยล่ะ
“คนบ้ารึป่าว”แต่อยู่ดีๆเขาก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆแสนเจ็บแสบ หาว่าฉันเป็นคนบ้า ฉันได้แต่อ้าปากค้างกับคำพูดที่ออกจากปากนั้น บ้าหรอ มองยังไงว่าฉันเป็นคนบ้า สวยสะขนาดนี้
“นี่คุณฉันไม่ได้บ้า แล้วก็บอกมาว่ารู้จักคนที่ชื่อ บดินทร์รึป่าว ฉันหนักอยากวางของ”ฉันพูดออกไปด้วยอารมณ์ที่เริ่มจะเสียเล็กน้อย หน้าเรียบๆไม่แสดงอารมณ์นั้นมันทำให้ฉันหงุดหงิด แต่ไม่เป็นไรให้อภัยหล่อ
“รู้จัก” สั้นๆง่ายๆ แล้วไงต่อ
“เอ่อ แล้วห้องนี้ใช่ห้องเขารึป่าว ถ้าใช่ขอเข้าไปหน่อยหนัก”ฉันรวบรัด แล้วเอาของที่ถือมาดันร่างหนาให้ออกจากการขวางทางอยู่หน้าประตู แล้วเดินเข้ามาข้างใน พอฉันเดินเข้ามาข้างในแล้วก็มองหาที่วางของ ซึ่งเป็นโซฟานั้นเอง ว่างเสร็จก็บิดขี้เกียจสะหน่อย อ๊ะ แล้วพ่อคุณชายเย็นชาของฉันไปไหนนะ ใช่แล้วคะทุกคนฟังไม่ผิดหรอก คนที่มาเปิดประตูให้ฉันก็คุณชายเย็นชาหวานใจของฉันนั้นเอง นี่เขาเรียกว่าพรมลิขิตรึป่าวนะตอนนี้ฉันดีใจจนเนื้อเต้นเลยละ ถ้าพวกเพื่อนตัวแสบฉันรู้มันต้องกรี๊ดๆใส่ฉันม่หยุดแน่
“ทำอะไร”นั้นไงแค่นึกถึงเสียงเย็นๆก็ลองมากระทบหู
“บิดขี้เกียจไง เมื่อยชะมัด”ฉันตอบออกไปแบบมึนๆ อยากเห็นหน้าตายๆนั้นแสดงอารมณ์อื่นชะมัด
“แล้วตกลงว่า นายบดินทร์นั้นอยู่ไหนอ่ะฉันอยากคุยกับเขาหน่อย”ฉันถามออกไป ถึงแม้จะแน่ใจแล้วก็เถอะว่าเป็นเขา เพราะตั้งแต่เข้ามาในห้องนี้ก็ยังไม่เห็นใคร ตอนแรกฉันยังไม่มั่นใจเพราะเขาอาจจะเป็นเพื่อนเจ้าของห้องก็ได้ แต่พอเข้ามาก็ยังไม่เห็นใคร คุณชายต้องเป็นว่าที่คู่หมั้นฉันชัว
“ฉันเอง”ในที่สุดเขาก็ตอบออกมา ฉันยิ้มกว้างขึ้นทันที แต่พอคิดได้ฉันก็รีบเก็บอาการหุบยิ้มแทบไม่ทัน
“นายหรอ ว่าที่คู่หมั้นฉันอ่ะ”ฉันพูดออกไปตามใจคิด บอกเลยตอนนี้หัวใจของฉันเต้นเหมือนมันจะเด้งออกมาข้างนอก สงสัยแผนการยกเลิกงานหมั้นของฉันคงต้องล้มเลิก คงต้องเปลี่ยนมาเป็นแผนจับว่าที่คู่หมั้นจอมเย็นชาตัวเองชะแล้ว อย่างงี้ต้องยั่วต้องอ่อย ฮ่าๆๆ
ฉันถามเขาออกไปแต่เขาไม่ตอบ คือไร ไม่เป็นไรฉันมโนเอาเองก็ได้ ฮ่าๆๆๆๆ
“แล้วนายจะให้ฉันนอนห้องไหนอ่ะ ห้องนายป่าว” ฉันออกตัวแรงสุดๆ แต่พ่อเทพบุตรสุดหล่อของฉันยังคงไม่ตอบเขาเอาแต่มองหน้าฉัน จะนิ่งไปไหนพ่อคุณ
“ออกไป”และแล้วก็มีเสียงตอบกลับมา แต่ไม่ใช่ตอบกลับธรรมดา ไล่ด้วย พูดน้อยพูดตรงไปไหมพ่อคุณ
“ไม่เอา ป๊ากับม๊าเราให้เรามาอยู่ด้วยกันนะ นายมาไล่ฉันแบบนี้ได้ไง ไม่เชื่อใช่ไหมโทรหาม๊านายดิ”ฉันเห็นเขาทำหน้างง และเหมือนจะข่มอารมณ์บางอย่างเอาไว้ ทำเหมือนไม่เชื่อเรื่องที่ฉันพูด ฉันเลยเสนอทางออกให้ เพียงอึกใจเขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกจริงๆ
“ม๊า ให้ใครมาอยู่กับบีม”น้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนอ่อนลง แต่ยังคงติดเย็นชาของเขากรอกเข้าไปในโทรศัพท์ คงจะเป็นม๊าเขาแน่ๆเขาว่ากันว่าผู้ชายเย็นชามักจะมีอีกด้านกับครอบครัวเสมอท่าจะจริง
“เฮ้อ แล้วเรื่องคู่หมั้น”พอเขาถามประโยชน์นั้นออกไปก็หันหน้ามามองฉันที่ยืนตัวลีบอยู่กลางห้อง ฉันได้แต่มองหน้าเขาทำตาปริบๆ
“ครับ ไม่รับปาก”และไม่นานเขาก็วางสายไปแล้วมองหน้าฉันแบบเต็มๆตา แต่ก็ยังไม่ได้พูดอะไร ฉันเลยได้แต่ยิ้มแหย่ๆให้เขา เอาไงต่ออ่ะ เพราะเขาน่าจะรู้แล้วว่าฉันไม่ได้โกหก
“ห้องเธอ”เงียบอยู่สักพัก เขาก็พูดขึ้นแล้วชี้มือไปทางประตูสีขาวที่อยู่ฝั่งขวามือ โอ้ย เย็นชาจริง ฉันจะไม่อกแตกตายก่อนที่ฉันได้เขาเป็นสามีหรอเนี้ย อิหนูดีปวดเฮด******
“อ่อ โอเค งั้นฉันเอาของไปเก็บก่อนนะ”พูดจบฉันก็รีบขนของอันมากมายมหาสารที่ฉันหอบขึ้นมาเข้าห้องไปทันที**
มาวันละนิดจิตแจ่มใส ฮ่าๆๆๆๆ
มีใครรอไรท์อยู่รึป่าวน๊าาาา
ติชมได้น๊าาาาา
เม้มเยอะๆนะคะเพื่อเป็นกำลังใจให้กับไรท์ เม้มเยอะอัพไว เม้มน้อยไรท์ไม่มีกำลังใจไม่มีแรงพิมพ์ ฮ่าๆๆๆ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม ขอบคุณทุกกำลังใจ
สอบถาม ทวงถาม พูดคุยกับไรท์ได้ที่เพจนะคะ