[5]
'I-RIS RED'
”อ่า เสร็จแล้ว”
ลี่จูพูดขึ้นก่อนจะหันหน้าฟางซินให้มองตัวเองในกระจกเงา ตอนนี้ใบหน้าของเธอถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉมจนดูงดงามกว่าเดิมมากทีเดียว ส่วนชุดวันนี้ก็ใส่สีแดงสดขับกับผิวขาวเนียนชวนหลงใหล
”รับรองว่าท่านอี้หลานจะต้องตะลึงไม่น้อยเลย” ลี่จูพูดเสริมต่อก่อนจะส่งยิ้มให้ฟางซินที่ยังคงมองหน้าตัวเองแบบตกตะลึงอยู่
หลังจากแต่งตัวแต่งหน้าเสร็จฟางซินก็ถูกพามารอท่านอี้หลานที่ห้องเดิมเพราะแม่เล้าแจ้งมาว่าท่านอี้หลานซื้อตัวเธอต่อ เธอเดินมายังห้องท่ามกลางสายตาของนางโลมรุ่นพี่ที่มองเธอยังกับจะกินหัวเธอ เธอรีบเข้าไปนั่งรอในห้องทันทีเพราะรู้สึกหวั่นๆ กับสายตาแบบนี้ไม่น้อย
”รอข้านานหรือไม่?” เสียงของอี้หลานดังขึ้นที่หน้าประตู จนฟางซินที่นั่งอยู่รีบลุกขึ้นไปต้อนรับทันที
อี้หลานมองใบหน้าของฟางซินอย่างตกตะลึง วันนี้เธองดงามกว่าวันไหนๆ อาจจะเป็นเพราะมีเครื่องประทินโฉมแต่งแต้มอยู่บนใบหน้า ผิวขาวเนียนที่ตัดกับชุดสีแดงช่างชวนหลงใหลและน่าสัมผัสเหลือเกิน ทำให้เธอดูโตขึ้นมาในทันที ดูต่างจากเด็กที่เขานอนด้วยเมื่อวานสิ้นเชิง
”ข้าว่าเจ้างดงามมากวันนี้” อี้หลานพูดขึ้นด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม
”ขะ...ขะ ขอบใจเจ้าค่ะ” ฟางซินตอบด้วยท่าทีเขินอาย ใบหน้าก็แดงระเรื่อไปหมด
แต่ท่าทางแบบนั้นกลับทำให้หัวใจของนักปราชญ์หนุ่มเต้นแรงจนไม่เป็นจังหวะ น่ารักอะไรอย่างนี้ เด็กมันน่ารักแบบนี้นิเอง ปกติเขาเคยเจอแต่ผู้หญิงที่เสแสร้งแกล้งอายซะส่วนใหญ่ ต่างจากฟางซินที่แสดงท่าทีออกมาจากใจจริงๆ ไร้การแต่งเติมใดๆ จนหน้าเขาก็ขึ้นสีแดงไม่แพ้กัน
”ท่านหน้าแดง เป็นอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ?” ฟางซินเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย
”ปะ...ปะเปล่าหรอก” อี้หลานรีบตอบปฏิเสธด้วยน้ำเสียงติดๆ ขัดก่อนจะรีบเดินไปทิ้งตัวนั่งที่เตียงเพื่อหลบสายตาฟางซิน
”ท่านไม่เป็นอะไรแน่นะเจ้าคะ” ฟางซินเดินมาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ อี้หลานก่อนจะยื่นหน้าไปมองใบหน้างามของอี้หลานด้วยสีหน้าเป็นห่วง
มือหนายกมือขึ้นรูปโครงหน้างามของฟางซินอย่างช้าด้วยสายตาที่อ่อนโยน จนฟางซินแสดงสีหน้างุนงงออกมาเล็กน้อยกับการกระทำของอี้หลานที่นึกจะทำอะไรก็ทำแบบที่คนโดนกระทำไม่ทันตั้งตัวทุกที
”เจ้าชอบข้าหรือไม่?” อี้หลานถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน จนคนถูกถามเบิกตากว้างอยู่แวบหนึ่ง ใบหน้าก็ขึ้นสีแดงระเรื่อ
”ข้ามีสิทธิ์ชอบท่านได้ด้วยหรือเจ้าคะ”
ฟางซินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ใบหน้าก็ก้มลงมองพื้นอย่างเจียมตัว เธอมีสิทธิ์ชอบท่านอี้หลานได้ด้วยหรือ เด็กในหอนางโลมอย่างเธอจะมีสิทธิ์ชอบคนที่สูงศักดิ์แบบนี้ได้ด้วยหรือ
”อือ!”
ฟางซินร้องครางต่ำออกมาในลำคอ ยามถูกริมฝีปากหนาฉกฉวยจูบลงมาอย่างไม่ทันตั้งตัว จนดิ้นหลบแต่ก็ถูกมือหนารั้งใบหน้าและต้นคอไว้ รสจูบที่อ่อนโยนแต่แฝงไปด้วยความเร่าร้อน นี่ผู้ชายตรงหน้าคิดจะทำอะไรกับเธอกันแน่
อี้หลานผลักฟางซินให้ล้มลงไปนอนราบกับพื้นเตียงช้าๆ ริมฝีปากยังคงประกบอยู่กับปากบางไม่ยอมถอนออก มือหนาก็ลูบไล้ไปทั่วร่างบางที่สั่นไหวยามที่เขาสัมผัสไปตามส่วนต่างๆ จริงๆ เขาไม่ควรทำแบบนี้กับเธอ แต่ตอนนี้ความคิดกับการกระทำเขาดันแย้งกันเสียดื้อๆ เขาอยากหยุดแต่ร่างกายกลับไม่ยอมหยุด
”อ๊ะ! ท่านอี้หลาน อื้อ!”
ฟางซินร้องออกมาเมื่อริมฝีปากของอี้หลานซุกไซร้อยู่ที่ซอกคอขาว ส่วนมือหนาก็ปลดเอาเสื้อผ้าเธอออกจนเผยให้เห็นร่างกายที่ขาวเนียนไร้สิ่งปกปิดใดๆ จนใบหน้าเธอขึ้นสีแดงระเรื่อไปหมด จริงๆ เธอก็รู้อยู่แล้วว่าสักวันหนึ่งเธอก็ต้องนอนกับแขก แต่พอถึงเวลาจริงๆ กับรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
”เราจะทำเรื่องแบบนั้นกันจริงๆ หรือเจ้าคะ ข้ากลัวเจ้าค่ะ” ฟางซินถามขึ้นด้วยสีหน้ากังวล
”ไม่ต้องกลัวหรอก ข้าจะทำให้เจ้ามีความสุข” อี้หลานกระซิบแผ่วเบาที่หูของฟางซินก่อนจะลูบหัวเธออย่างปลอบประโลม
ริมฝีปากหนาของอี้หลานยังคงไล้ดูดเม้มทิ้งรอยไปตามร่างกายของฟางซินอย่างมันเขี้ยว จนเธอได้แต่สะดุ้งตัวและกัดริมฝีปากจนแน่นยามถูกสัมผัส อี้หลานดันตัวเองขึ้นเล็กน้อยก่อนจะถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกแล้วโยนมันลงพื้นอย่างไม่ไยดี ก่อนจะมองใบหน้าของฟางซินที่ขึ้นสีแดงระเรื่อซุกหน้าลงกันหมอนอย่างเขินอาย ยิ่งทำให้เขาต้องการมากขึ้น นาทีนี้ไม่ใช่แค่ร่างกายเขาแล้วละที่ต้องการ ใจเขาก็ต้องการเช่นเดียวกัน
”อ๊ะ…ข้าเจ็บ…เอาออกไปเจ้าค่ะ!”
ฟางซินร้องออกมาจนเสียงดัง ใบหน้าแหยด้วยความเจ็บยามที่อี้หลานสอดเอาแก่นกายลุกล้ำเข้าไปในกายของเด็กสาว อี้หลานได้แต่พรมจูบไปทั่วใบหน้าและซอกคอขาวเพื่อปลอบประโลมให้คนใต้ร่างผ่อนคลาย ช่วงแรงก็ยังคงขยับดันเข้ามาไม่หยุดหย่อน มือหนาก็ลูบผมสีดำของฟางซินไปด้วย
”อ่า!จะ…เจ็บ…ฮึก…ฮือ”
กลิ่นคาวเลือดลอยคละคลุ้งขึ้นมาตีจมูกของฟางซินพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มไหลออกมาเพราะทนกลั้นไว้ไม่ไหว
อี้หลานเห็นดังนั้นจึงใช้มือหนาลูบเช็ดน้ำตาให้ฟางซิน อดที่จะสงสารไม่ได้ แต่เขาก็หยุดไม่ได้แล้วเช่นกัน เห็นดังนั้นจึงกลั้นใจดันมันเข้าไปจนมิด ฟางซินเกร็งตัวขึ้นเล็กน้อยมือเรียวจิกผ้าปูเตียงจนแน่น ตาก็เบิกกว้างด้วยความเจ็บ หยดน้ำใสๆ ยังคงไหลออกมาไม่คลาดสาย พร้อมกับเสียงสะอื้นเล็กที่ดังออกมาเป็นระยะ
”อ๊ะ…ฮึก…ฮือ…อ๊ะ”
เสียงครางดังออกมาพร้อมกับเสียงสะอื้นเมื่ออี้หลานเริ่มขยับสะโพกช้าๆ และเริ่มเร่งจังหวะขึ้นตามความต้องการที่กำลังพรั่งพรูออกมา โดยไม่ได้สนใจว่าคนใต้ร่างจะเจ็บหรือเปล่า เพราะตอนนี้ความต้องการของเขามันบังตาจนไม่สนใจสิ่งไหนอีกแล้ว
ฟางซินได้แต่ซุกหน้าลงกับหมอน หางตายังคงมีน้ำตาไหลออกมา ความเจ็บปวดยังคงแล่นมาทักทายเธอตลอดเวลาที่อี้หลานกระแทกสะโพกเข้ามา เธอทำได้เพียงแค่จิกผ้าปูจนแน่นเพื่อระบายความเจ็บปวดเท่านั้น เธอค้านอะไรอี้หลานไม่ได้เพราะเธอไม่มีสิทธิ์ ในฐานะนางโลมถึงเจ็บแค่ไหนก็ต้องทน
มือหนาของอี้หลานบีบเคล้นไปตามร่างกายของฟางซินอย่างระบายความกำหนัดที่มีอยู่ ริมฝีปากก็ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองด้วยการดูดเม้มไปทั่วเนินอกสวยของเด็กสาว ช่วงล่างยังคงขยับเร็ว โดยหาได้สนใจใบหน้าที่แสนเจ็บปวดของฟางซินไม่
เสียงครางกระเส่ายังคงดังออกมาต่อเนื่องอย่างไม่หยุดหย่อนตามจังหวะการกระแทกของอี้หลานที่ทั้งเน้นและเร็ว จนฟางซินได้แต่บิดตัวไปมามือเรียวก็กำผ้าปูเตียงจนยับ
เอวหนากระแทกเน้นๆ เข้ามาอีกสองสามครั้งก่อนจะปลดปล่อยความสุขออกมา ร่างสูงนอนทาบทับลงบนตัวของฟางซินอย่างเหนื่อยหอบเช่นเดียวกับเด็กสาวที่หอบออกมาไม่แพ้กัน อี้หลานเลื่อนใบหน้าขึ้นไปประกบจูบกับริมฝีปากบางของฟางซินอีกครั้งอย่างร้อนแรง ไม่ลืมที่จะกัดมันเบาๆ แต่ก็ทำให้เลือดออกได้
แต่ค่ำคืนอันแสนเจ็บปวดของฟางซินยังไม่จบ เมื่อคนบนร่างยังไม่มีท่าทีจะพอ อี้หลานยังคงเริ่มบทรักรอบใหม่ต่อไปเรื่อยๆ และไม่มีท่าทีจะจบลง เสียงครางกระเส่าปนกับเสียงสะอื้นยังคงดังออกมาต่อเนื่องนานติดต่อกันหลายชั่วยาม
”ขอโทษนะที่ทำให้เจ็บ”
ชายหนุ่มพูดขึ้นอย่างแผ่วเบา ยามกอดฟางซินที่หลับสนิทไปแล้วไว้จนแน่นหลังจากเพิ่งเสร็จบทรักไปเพราะคนในอ้อมแขนแรงอ่อนแรงและร่างกายไม่ไหวที่รับต่อแล้ว เขาเลยหยุดมันลง ทั้งๆ ที่ยังต้องการอยู่อีกมากมาย
ริมฝีปากชื้นบรรจงจูบลงอย่างอ่อนโยนที่หน้าผากขาวเนียนที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อเม็ดเล็กๆ ก่อนจะกระชับอ้อมกอดจนแน่นอีกครั้ง มือหนาก็ลูบไล้ไปตามโครงหน้าของฟางซิน จริงๆ เขาไม่ควรทำแบบนี้กับนางเลย นางยังเด็กเกินกว่าจะรับเรื่องแบบนี้ แต่ร่างกายเขากลับต้องการมันจนห้ามใจไม่อยู่ นางเป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้ใจเขาสั่นไหวได้และทำให้เขาเก็บไปคิดจนยิ้มออกมาอย่างคนเสียสติได้เหมือนกัน
”เจ้าช่างมีอิทธิพลกับใจข้ามาเลยนะฟางซิน”
อี้หลานพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงติดจะขี้เล่น ใบหน้าเปื้อนยิ้มออกมาก่อนจะเขี่ยจมูกของคนที่หลับพริ้มอย่างหมั่นเคี้ยว
ฟางซินลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ ในเช้าวันใหม่ รู้สึกเจ็บไปทั่วทั้งร่างกาย เธอรีบหันมองรอบตัวทันทีก็พบว่าไร้ร่างของอี้หลานเสียแล้ว ฟางซินประคองตัวลุกขึ้นอย่างช้า ถึงเธอจะเจ็บมากแค่ไหนแต่ก็ต้องฝืนทนเดินไปที่ห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกายที่แสนจะบอบช้ำ
เด็กสาวเดินพาร่างกายของตัวเองมาทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง อี้หลานน่าจะกลับไปตอนที่เธอยังหลับอยู่ เพราะนี้ก็สายมากแล้ว เขาต้องรีบไปสอนหนังสือในวัง เลยไม่ปลุกเธอ มือเรียวลูบไปตามเตียงนอนที่ยังคงยับย่นจากกิจกรรมเมื่อคืนที่เธอกับอี้หลานทำด้วยกัน เธอไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง อะไรที่นำพาเธอและอี้หลานมาถึงจุดนี้ได้ เขาอาจจะทำไปเพราะความหลง แต่เธอกลับไม่เลย ความรู้สึกที่เธอมีตอนนี้มันกลับมากกว่าการบริการแขก แต่เธอรู้สึกได้ว่าเธอชักชอบอี้หลานขึ้นมาเสียแล้ว ถึงมันจะเป็นข้อห้ามก็เถอะว่านางโลมห้ามรักกับแขก แต่เธอก็ปฏิเสธใจตัวเองไม่ได้ และเธอก็ไม่ได้ขอให้อี้หลานมารักเธอตอบด้วย ขอแค่เธอรักฝ่ายเดียวก็พอ ขอแค่อี้หลานอยู่แบบนี้ให้เธอรักก็พอ
”เป็นยังไงบ้างฟางซิน?” ลี่จูเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าห่วงใย ก่อนจะตรงไปหาฟางซินที่นั่งอยู่บนเตียง
”อ่า!รุ่นพี่มาได้อย่างไรเจ้าคะ” ฟางซินเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย
”ท่านอี้หลานฝากให้ข้ามาดูแลเจ้านะ พอดีเขาต้องรีบไปสอนหนังสือในวังหลวง เขาฝากขอโทษเจ้าด้วย กลัวว่าเจ้าจะโกรธที่ทิ้งเจ้าไว้แบบนี้” ลี่จูพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มือสวยก็ลูบไปตามรอยบอบช้ำที่แขนของฟางซินด้วยสีหน้าเป็นห่วง
”ไม่เลยข้ารู้อยู่แล้วแหละ แล้วอีกอย่างข้ามีสิทธิ์โกรธท่านอี้หลานได้อย่างไร ในเมื่อเขาเป็นแขกที่มาใช้บริการข้าเท่านั้น” ฟางซินพูดขึ้นอย่างรู้ตัว เธอไม่มีสิทธิ์โกรธอี้หลานหรอก เพราะเขาคือแขกที่ซื้อบริการเธอ พอเช้าก็แยกทางมันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
”มานี่เถอะข้าจะพาไปทายา ดูสิเนื้อตัวบอบช้ำไปหมดเลย คงโดนแรงอยู่ไม่น้อย ท่านอี้หลานนี่จริงๆ เชียว” ลี่จูพูดขึ้นก่อนจะประคองร่างของฟางซินออกมาจากห้องแล้วเดินตรงกลับไปยังห้องของเธอ
ลี่จูพาฟางซินเข้ามานั่งในห้องของเธอก่อนจะหายาสมุนไพรมาทาตามรอยบอบช้ำที่มีเต็มไปหมดให้อย่างเบามือ โดยฟางซินได้แต่เพียงนั่งเฉยๆ ให้ลี่จูทายาเท่านั้นไม่ได้ขัดขืนอะไร ถึงจะเกรงใจอยู่บ้างที่ให้รุ่นพี่มาทำแบบนี้ให้ แต่เธอไร้เรี่ยวแรงที่จะทำเองแล้ว เจ็บและปวดไปทั้งตัวจนแรงจะขยับแขนยังแทบไม่มี
”ข้าว่าตัวเจ้าลุ่มๆ นะ ไปเอายาแก้ไข้มากินเสียด้วยล่ะ เดี๋ยวจะเป็นไข้เสีย” ลี่จูพูดขึ้นพร้อมกับยื่นมือไปจับหน้าผากของฟางซินที่ร้อนๆ ลุ่มๆ อยู่ไม่น้อย
ฟางซินได้แต่พยักหน้ารับอย่างอ่อนแรง ก่อนจะลุกขึ้นเพื่อกลับไปยังห้องนอนตัวเอง แต่ยังไม่ทันที่จะได้เดินพ้นออกจากเตียง ร่างบางก็หน้ามืดแล้วล้มฟุบลงกองกับพื้นทันที จนลี่จูต้องรีบวิ่งเข้าไปดูอย่างตกใจ
”ฟางซินเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง!” ฟางซินได้ยินเพียงเสียงของลี่จูที่ก้องหูไปหมด แต่ตากลับลืมไม่ขึ้น พร้อมกับสติที่เลือนหายไปช้าๆ
.