[3]
'I-RIS RED'
”ทำไมเจ้าต้องนั่งตัวเกร็งขนาดนั้นด้วย?” อี้หลานถามขึ้นเมื่อเห็นว่าตั้งแต่เขาเข้าไปอาบน้ำจนอาบเสร็จและเดินกลับมาล้มตัวลงนอนที่เตียงก็ยังเห็นว่าฟางซินยังนั่งตัวแข็งทื่ออยู่ที่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน
”แล้วเจ้าไม่ไปอาบน้ำหรือไง” อี้หลานถามเสริมต่อเมื่อเห็นว่าฟางซินยังคงเงียบ
”ข้าควรไปอาบน้ำใช่ไหม?” ฟางซินหันกลับมาถามอี้หลินด้วยใบหน้าฉงน
”เอ้า! ฮ่ะๆ…เจ้านี่มันซื่อหรือบื้อกันแน่นะ” อี้หลานหัวเราะออกมาด้วยสีหน้าที่ขบขันยามเห็นใบหน้าฉงนของฟางซินที่หันมามองเขา
”ไม่เห็นต้องว่าข้าเลยนิ ข้าไปอาบน้ำแล้ว”
พูดจบฟางซินก็สะบัดตัวเดินเข้าห้องน้ำด้วยสีหน้าบึ้งทันที แถมยังไม่ลืมที่จะกระแทกเท้าด้วยความไม่พอใจที่เห็นอี้หลานขบขำเธอเช่นนั้น จนอี้หลานได้แต่นอนยิ้มในความไร้เดียงสาและนิสัยเด็กๆ ของฟางซิน ไม่นานนักฟางซินก็เดินออกมาจากห้องน้ำก่อนจะกลับมานั่งลงที่เตียงเช่นเดิม โดยที่กลางเตียงมีอี้หลานนอนหลับตาพริ้มอยู่
”ข้าต้องทำเช่นไรบ้างเจ้าคะ” ฟางซินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาจนอี้หลานต้องเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย
”ทำอะไร?”
”ก็...เออ...ก็แบบปรนนิบัติท่านนะ ข้าต้องทำเช่นไรเจ้าคะ” ฟางซินพูดด้วยสีหน้าที่เขินอาย ใบหน้าก็ร้อนผ่าวจนไม่กล้าที่จะหันไปมองคนที่นอนอยู่กลางเตียงสักนิด
ฟึ่บ!
”อ๊ะ!” ฟางซินร้องอุทานออกมาอย่างตกใจเมื่อถูกมือหนาดึงให้ล้มตัวลงไปนอนกับเตียง โดยมีอี้หลานลุกขึ้นมาคร่อมทับร่างเธอไว้แบบแนบชิด ใบหน้าก็อยู่ห่างกันเพียงไม่กี่เซน
”เจ้าอยากปรนนิบัติข้าหรือ” อี้หลานถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน ดวงตาคู่คมก็จ้องมองใบหน้าอ่อนวัยอย่างไม่ละสายตา
”ก็มันหน้าที่ของข้ามิใช่หรือเจ้าคะ” ฟางซินพูดด้วยน้ำเสียงเขินอาย ก่อนจะหันหน้าหลบดวงตาคู่คมของอี้หลานที่จ้องเธอจนแทบจะละลาย
”ถ้าเจ้าอยากปรนนิบัติข้าก็อย่าหันหน้าหนีข้าแบบนี้สิ” อี้หลานใช้มือหนาดึงคางของฟางซินให้กลับมามองหน้าเขาอย่างเบามือ
อี้หลานจ้องมองใบหน้าอ่อนเยาว์อยู่เนิ่นนานเหมือนโดนมนต์สะกด มือหนาก็ลูบไปตามโครงหน้าเล็กอย่างหลงใหลจนอยากจะถอนตัว ฟางซินได้แต่นอนตัวแข็งทื่อ ใบหน้าก็แดงก่ำไปหมด
”อื้อออ!”
ฟางซินร้องครางออกมาในลำคอ ยามถูกริมฝีปากหนาของอี้หลานกดทับลงมาบนริมฝีปากจนเองอย่างไม่ทันตั้งตัว จนต้องรีบหันหนีแต่ก็ถูกมือหนาของอี้หลานจับตรึงใบหน้าไว้เสียก่อน ลิ้นสากของอี้หลานพยายามจะลุกล้ำเข้าไปในปากของฟางซิน แต่เป็นเพราะเธอไม่เคยจูบใครมาก่อนแถมยังโดนจู่โจมแบบกะทันหันทำให้ริมฝีปากยังคงประกบกันจนแน่น
”อ๊ะ!”
ฟางซินร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อถูกอี้หลานขบกัดที่ปากตัวเองถึงจะไม่แรงมากแต่ก็ทำให้เธอตกใจจนเผลอร้องออกมาและยอมเผยปากออกจนได้ ลิ้นสากของอี้หลานไม่รอช้ารีบลุกล้ำเข้าไปก่อนจะตวัดเกี่ยวพันกับหลินของฟางซินเล่นอย่างเร่าร้อน ถึงจะเป็นจูบแรกของฟางซินแต่เธอก็เรียนรู้ได้ไวและจูบตอบอี้หลานกลับถึงจะดูเทอะทะอยู่บ้างก็เถอะ
รสจูบที่แสนอ่อนโยนและเร่าร้อน ทำให้ฟางซินอ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรงใดๆ ทั้งสิ้น ใบหน้าก็ร้อนผ่าวจนขึ้นสีแดงแทบถึงหู อี้หลานจูบอยู่เนิ่นนานอย่างขาดสติ จนฟางซินต้องตีที่หลังเบาๆ เพื่อเรียกให้อี้หลานได้สติเพราะเขากำลังจะทำให้เธอขาดอากาศหายใจตาย
”แฮ่กๆ!” ทันทีที่ปากเป็นอิสระฟางซินรีบโกยอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ทันทีอย่างไม่รอช้า ถ้าอี้หลานปล่อยเธอช้ากว่านี้อีกนิด เธอคงขาดอากาศหายใจตายแน่ๆ
”จูบแรกของข้าเกือบฆ่าข้าตาย” ฟางซินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ มือเรียวก็เช็ดคราบน้ำลายที่ติดอยู่ที่ปากจนชุ่มแฉะ
”หึ! แค่จูบแค่นี้ไม่ทำให้คนตายหรอกน่า” อี้หลานดีดตัวขึ้นนั่งก่อนจะยิ้มออกมาอย่างขบขันยามเห็นสีหน้าของฟางซิน
”แล้วข้าต้องทำยังไงต่อเจ้าคะ" ฟางซินหันมาพูดกับอี้หลาน
ฟึ่บ!
ควับ!
”ก็ทำอย่างนี้ไง” อี้หลานทิ้งตัวลงนอนข้างๆ กับฟางซินก่อนจะคว้าเอาเอวของฟางซินเข้ามากอดจนแน่น ฟางซินสะดุ้งเล็กน้อยยามถูกอี้หลานดึงเข้าไปกอด ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
”จะให้ข้าทำอะไรเจ้าคะ”
”ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นละ นอนเฉยๆ ให้ข้ากอดก็พอ” อี้หลานตอบก่อนจะดึงหัวทุยของฟางซินเข้ามาแนบแผ่นอก
”แค่นั้นหรือ”
”ใช่แค่นั้น”
อี้หลานตอบกลับแขนแกร่งก็กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ก่อนจะหลับตาลงด้วยความง่วงที่หน่วงให้ตาลืมไม่ขึ้น ฟางซินได้แต่ซุกใบหน้าลงกับแผ่นอกแกร่งถึงจะยังงงกับการกระทำของอี้หลานก็เถอะ เขาซื้อตัวเธอมาเพื่อเอามานอนกอดเฉยๆ นะหรือ แต่เธอก็ไม่ถามต่อเพราะเห็นว่าเจ้าของร่างหลับตาไปเสียแล้ว
เช้าวันต่อมา ...
”ไว้ข้าจะมาคืนนี้” อี้หลานลูบหัวฟางซินไปมาอย่างเอ็นดู ก่อนจะส่งยิ้มหวานให้เพื่อเป็นการลา แล้วหันตัวเดินออกจากหอนางโลมไป
ฟางซินมองอี้หลานที่กำลังเดินไปขึ้นรถม้าจนร่างสูงหายจากสายตาไป ก่อนจะหันตัวเดินกลับเข้ามาในหอนางโลม เมื่อคืนเธอนอนกับอี้หลานถึงเช้าโดยที่ไม่ได้ทำอะไรกันเลยสักนิด แต่จะว่าไปก็จูบกันก่อนนอนนินาแต่ก็แค่จูบ เธอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ แต่มารู้สึกตัวตอนที่อี้หลานกำลังจะลุกออกไปอาบน้ำในตอนเช้า
”ยิ้มหน้าบานเชียวนะ” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้นจนฟางซินที่กำลังเดินคิดถึงเรื่องของอี้หลานต้องหลุดจากภวังค์จนเงยหน้าขึ้นไปมองยังต้นตอเสียง
”รุ่นพี่” ฟางซินร้องออกมาเบาๆ เมื่อพบว่าคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าเธอคือรุ่นพี่นางโลมสี่คน
”ได้ข่าวว่าท่านอี้หลานซื้อตัวแกด้วยเงินมหาศาลเลยนิ” เสียงตะคอกดังมาจากนางโลมรุ่นพี่ในชุดสีแดงก่อนจะเดินตรงเข้ามากระชากแขนของฟางซินอย่างแรงก่อนบีบมันจนขึ้นสีแดง ดวงตาก็จ้องเขม็งอย่างโกรธเกรี้ยว
”แกมันมีดีอะไรนะ สาระรูปหน้าตาก็งั้นๆ พวกฉันยังสวยกว่าแกตั้งเยอะ ยังไม่เคยได้แม้แต่เฉียดเข้าใกล้ท่านอี้หลานเลยด้วยซ้ำ แกใช้มารยาประเภทไหนห๊ะถึงได้นอนกับท่าน”
”โอ๊ย!รุ่นพี่ข้าเจ็บ” ฟางซินร้องออกมาเมื่อรู้สึกเจ็บแขนที่กำลังโดนนางโลมรุ่นพี่บีบ
ฟึ่บ!
ตุบ!
”โอ๊ย!”
ฟางซินถูกผลักจนล้มลงไปกองกับพื้นอย่างแรง จนหัวเข่ากระแทกกับพื้นจนเกิดรอยช้ำขึ้นมา โดยฝีมือของรุ่นพี่นางโลมในชุดสีแดง น้ำใสๆ เอ่อล้นมาเต็มดวงตาของเด็กสาว แต่เธอกลับต้องกลั้นมันไว้ ถ้าเธอร้องไห้รุ่นพี่พวกนี้ก็จะยิ่งชอบใจและยิ่งรังแกเธอ
”อย่ามาสำออยหน่อยเลย นังฟางซิน มารยาของแกใช้ที่นี้ไม่ได้หรอก” นางโลมรุ่นพี่อีกคนในชุดสีเขียวเดินเข้ามาพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความริษยาจนเด่นชัด
”ข้าเจ็บจริงๆ พวกรุ่นพี่ลองโดนข้าผลักล้มแบบนี้บ้างไหมล่ะ ท่านจะได้รู้ว่ามันเจ็บแค่ไหน” ฟางซินกัดฟันพูด ถึงจะกลัวอยู่แต่มันก็ต้องเก็บไว้ในใจไว้ค่อยไปร้องไห้คนเดียวก็ได้ แต่นาทีนี้ต้องงัดเอาความกล้าออกมาใช้ต่อหน้ารุ่นพี่เหล่านี้เท่านั้นละ
”แกมันปากดีนัก ดูสิถ้าโดนตบจนเลือดกบปากยังจะปากดีแบบนี้ไหม”
นางโลมรุ่นพี่ในชุดสีแดงง้างมือเตรียมจะตบฟางซิน จนเจ้าตัวได้แต่รับตาปี๋เพื่อรอรับแรงปะทะจากฝ่ามือเล็กแต่ดูแล้วแรงตบไม่น่าจะเล็กเท่าไหร่ แต่เหตุการณ์ก็ต้องหยุดลงเมื่อมีเสียงของบุคคลหนึ่งดังขึ้นมาขัดเสียก่อน
”หยุดเดียวนี้นะ พวกเจ้าจะทำอะไร”
”อ๊ะ!รุ่นพี่ลี่จู”
นางโลมรุ่นพี่คู่กรณีของฟางซินต่างก้มหัวลงพร้อมกับถอยกรูไปยืนรวมตัวอยู่อีกแถบทันที ฟางซินค่อยๆ ลืมตาขึ้นข้างหนึ่ง เมื่อพบว่าคู่กรณีถอยหลังไปแล้วจึงลืมตาขึ้นมาทั้งสองข้างก่อนหันไปมองบุคคลที่มาใหม่ ก็พบว่าเป็นรุ่นพี่ลี่จู นางโลมระดับคณิกาชั้นสูงของหอแห่งนี้ เรียกได้ว่าเป็นดาวเด่นอันดับหนึ่งที่ทำรายได้ให้กับหออย่างมหาศาลและครองตำแหน่งนี้มาหลายปีโดยไม่มีใครขึ้นมาแทนที่ได้สักคน ทำให้เป็นที่เคารพและยำเกรงของนางโลมคนอื่นๆ ในหอเป็นอย่างมาก
”เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่าฟางซิน” ลี่จูพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนจะดึงมือฟางซินให้ลุกขึ้นมาจากพื้น
”ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ขอบใจรุ่นพี่มากเจ้าค่ะ” ฟางซินจัดเสื้อผ้าของตัวเองให้เข้าที่ ก่อนจะหันไปก้มหัวขอบคุณลี่จูที่เข้ามาห้ามศึกและช่วยเธอไว้ทัน
.