[1]
'I-RIS RED'
ค่ำคืนอันแสนเหน็บหนาวคืบคลานมาถึง ท่ามกลางตลาดที่กลางวันครึกครื้นไปด้วยร้านค้า แต่ตอนนี้กลับมีแสงไฟจากหอนางโลมที่เปิดอยู่เต็มสองข้างทางเท่านั้นที่ยังคงแสดส่องอยู่ มีทั้งหอระดับสูงและระดับล่างเพื่อรองรับลูกค้าจากหลากหลายอาชีพและหลายฐานะ ท้องถนนเต็มไปด้วยบุรุษน้อยใหญ่ที่ชอบท่องราตรีและชอบเสพความสำราญใจจากสตรีงามโดยไร้ข้อผูกมัด
“ข้าแพ้เจ้าอีกแล้ว” ชายหนุ่มในชุดผ้าไหมเงาวาวดูดีเอ่ยขึ้น ก่อนจะโบกพัดในมือไปมาอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย
“แหมๆ ท่านอี้หลานนักปราชญ์ผู้รอบรู้ ดันมาแพ้เกมหมากล้อมแก่สตรี รู้ถึงไหนอายถึงนั้น” หญิงงามพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใส เรียวปากสวยยกยิ้มขึ้นมาอย่างขบขัน
“ไม่ต้องมายิ้มเย้ยหยันข้าเลยนะลี่จู” อี้หลานพูดขึ้นพร้อมกับชักสีหน้าเคืองขุ่นใส่ลี่จู
“มิได้ๆ ข้ามิได้เย้ยหยันท่านสักนิดท่านนี่ชอบคิดไปเองเสียจริง ข้าไปนำสุรามาให้ท่านดื่มให้หายหงุดหงิดดีกว่า”
ลี่จูลุกเดินออกไปยังด้านในเพื่อไปนำสุราขาวมาให้นักปราชญ์หนุ่มที่กำลังนั่งหน้ามุ้ยเพราะแพ้เกมหมากล้อมให้แก่สตรี อี้หลานกวาดสายตามองไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดมอง ก่อนจะหันลงไปมองชั้นล่างที่เต็มไปด้วยบุรุษและสตรีมากมายที่กำลังนั่งคุยกันจนเสียงดัง แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อสายตาดันไปเจอเข้ากับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่อายุไม่น่าจะเกิน 18 ปีเพราะตัวยังเล็กอยู่เลย
เด็กผู้หญิงคนนั้นมีใบหน้าที่น่ารักสมวัย ไม่ถึงกับสวยจนตราตรึงใจ แต่ภาพโดยรวมก็น่ามองอยู่ไม่น้อย อี้หลานจ้องมองอย่างสงสัย เด็กคนนี้เด็กเกินกว่าจะมาเป็นนางโลม แต่แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี้ได้ ดวงตาคู่คมยังจ้องเด็กที่กำลังรินสุราให้แขกดื่มอย่างไม่ละสายตา คิ้วหนาก็ขมวดเข้ากันอย่างครุ่นคิดอะไรอยู่
“เด็กคนนั้นชื่อฟางซิน”
ลี่จูเดินเข้ามานั่งลงที่เดิมก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สายตาก็มองตามอี้หลานลงไปยังชั้นล่าง
“เอ๊ะ! เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้ามองใครอยู่” อี้หลานถามขึ้นอย่างสงสัย
“ก็ท่านจ้องซะขนาดนั้น ไม่มีใครดูไม่ออกหรอก ขนาดเจ้าตัวเขายังรู้สึกเลย” ลี่จูพูดพลางส่งสายตามองไปทางฟางซินที่กำลังเงยขึ้นมามองเธอกับอี้หลานอยู่
อี้หลานหันไปมองตามลี่จูก็ต้องรีบหันหน้ากลับทันทีเมื่อเห็นว่าฟางซินเงยหน้ามองเขาอยู่ นี่เขาจ้องนางจนนางรู้ตัวเลยหรอแต่ระยะห่างจากชั้นสองกับชั้นหนึ่งมันก็ห่างกันพอสมควร แถมคนยังเยอะขนาดนี้ นางรู้ได้อย่างไรว่าเขาจ้องมองนางอยู่หรือว่านางอาจจะมีญาณทิพย์เลยรับรู้ได้
“มีอะไรหรอฟางซิน?” เพื่อนสาวที่นั่งข้างๆฟางซินเอ่ยถามเมื่อเห็นเพื่อนของเธอเอาแต่เงยหน้าขึ้นไปมองยังชั้นสอง
“อ๋อ! ปะ…ปะ เปล่าหรอก” ฟางซินละสายตาจากชั้นสองทันทีก่อนหันไปตอบเพื่อนแล้วเทสุราให้แขกตรงหน้าต่อ
ฟางซินยังคงแอบมองไปยังอี้หลานอยู่บ่อยครั้ง เพราะเธอรู้สึกได้ว่าเขามองเธอ แถมเมื่อกี้พอเขาหันมาเห็นเธอกำลังมองเขาอยู่เขาก็รีบหันกลับอย่างลนลาน ถ้าเขาจะแอบมองเธอจริงๆบางทีเขาควรไปหัดแอบมองให้มันเนียนๆกว่านี้ แบบที่เขามองเธอเมื่อกี้มันเรียกว่าจ้อง จ้องเสียจนเธอรู้ตัวเลยละ
“เด็กคนนั้นเป็นนางโลมหรอ?” อี้หลานถามขึ้นอย่างสงสัยเพราะเด็กคนนั้นดูจากอายุแล้วมันน่าจะเด็กเกินไป
“อ๋อ! เปล่าหรอก ฟางซินเป็นเพียงเด็กรินสุราให้แขกเท่านั้น”
อี้หลานถอนหายใจออกมาเบาๆ ทำไมเขาถึงได้รู้สึกโล่งใจเมื่อได้ฟังคำของลี่จูจบ อาจเป็นเพราะเขาไม่อยากให้เด็กคนนั้นเป็นนางโลมก็ได้แต่พอได้รู้ว่านางไม่ใช่ ทำให้รู้สึกสมหวังและโล่งใจ ใบหน้าหล่อหันไปมองที่ฟางซินอีกครั้งอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ ใบหน้าเล็กของฟางซินยังคงประดับด้วยรอยยิ้มที่สดใสยามพูดคุยกับแขก มันชวนให้น่ามองเสียจริงๆ
“ท่านสนใจนางหรอ?” ลี่จูพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าอี้หลานยังคงจ้องมองฟางซินไม่เลิก
“ไม่หรอก เด็กแบบนั้นไม่ได้ทำให้ข้าสนใจหรอก” อี้หลานพูดขึ้นก่อนจะละสายตาจากฟางซินแล้วหันมาเอ่ยถามลี่จูด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“แล้วเด็กคนนั้นมาอยู่ที่นี้ได้ยังไงละ”
ลี่จูขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างสับสน ไหนบอกไม่สนใจแล้วทำไมยังถามเรื่องเด็กคนนั้นละ แบบนี้หรือเปล่านะพวกปากไม่ตรงกับใจหรืออาจจะเป็นพวกไม่รู้ใจตัวเอง มองก็รู้ว่าสนอกสนใจในตัวฟางซิน ลี่จูได้แต่ยิ้มออกมาอย่างเหนื่อยใจ ก่อนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ฟางซินถูกขายมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว พ่อแม่ของนางยากจนมากจนต้องขายนางกิน นางน่าสงสารยิ่งนัก แต่เพราะนางยังเด็กเกินไปตอนนี้จึงเป็นเพียงเด็กรินสุราเท่านั้น แต่อีกไม่กี่ปีนางก็คงหนีไม่พ้นนางโลม”
“มีคนยากจนถึงขนาดขายลูกกินเพียงนี้เลยหรือ ข้าไม่เห็นยักรู้” อี้หลานเอ่ยขึ้น
“หึ! โลกภายนอกเมืองหลวงนั้น ยังมีมุมที่โหดร้ายอยู่มากมายท่านนักปราชญ์” ลี่จูพูดขึ้นก่อนจะหันมองออกไปด้านนอก
“ข้าอยากจะไปห้องน้ำเสียหน่อย ขอตัวสักครู่”
อี้หลานพูดขึ้นก่อนจะลุกขึ้นแล้วหันตัวเดินลงไปยังชั้นล่าง โดยมีลี่จูมองตามลงมาจากชั้นสอง ก่อนจะตรงไปยังห้องน้ำด้านหลังหอ
ชายหนุ่มเดินเข้ามาทำธุระส่วนตัวของตนในห้องน้ำอย่างไม่รีบร้อน ทุกคนในห้องน้ำต่างยิ้มให้อี้หลานอย่างเป็นมิตรเพราะใครๆก็รู้จักอี้หลานทั้งนั้น ตอนนี้เขาเป็นนักปราชญ์สอนลูกหลานของขุนนางในรั้ววัง มีชื่อเสียงมากมายว่าเป็นผู้รอบรู้และเป็นที่เคารพของคนทั่วไปอย่างมาก
ร่างสูงเดินออกมาจากห้องน้ำ แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นเงาของใครบางคนที่คุ้นตายืนอยู่ห่างจากห้องน้ำไม่มากนัก ร่างสูงก้าวเท้าเดินเข้าไปหาทันทีอย่างไม่รอช้าเมื่อเห็นว่าฟางซินกำลังยืนจดๆจ้องๆกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่ด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยเข้าใจ
“คำนี้มันอ่านว่า ข้าอยากรู้จักเจ้าเป็นการส่วนตัว”
อี้หลานยื่นหน้าเข้าไปอ่านกระดาษในมือฟางซินก่อนเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ จนฟางซินที่กำลังจดจ่อกับกระดาษอยู่ถึงกับสะดุ้งตัวถอยหลังหนีทันที
“ขะ...ขะ ขอบใจเจ้าค่ะ” ฟางซินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงติดๆขัดๆสีหน้ายังคงตกใจอยู่เล็กน้อย
“เจ้าอ่านมันไม่ออกหรอ ข้าเห็นเจ้ายืนจ้องมันอยู่นานแล้ว” อี้หลานเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย
“ข้าเป็นเพียงเด็กรินเหล้า อนาคตก็เพียงแค่นางโลมชั้นล่าง เลยไม่จำเป็นต้องเรียนรู้หนังสือ แม่เล้าจึงไม่ได้ส่งข้าเรียนเจ้าค่ะ” ฟางซินตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ใบหน้าแสดงถึงความเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัด
“แล้วเจ้าอยากเขียนหรืออ่านเป็นไหมละ ข้าจะสอนให้”
อี้หลานเสนอที่จะเป็นคนสอนให้ฟางซินทันที เพราะอดที่จะสงสารไม่ได้ เด็กวัยนี้ควรได้เรียนเขียนอ่าน อนาคตเขาอาจจะไม่ได้เป็นเพียงแค่นางโลมชั้นล่างก็ได้ใครจะรู้ เพราะฉะนั้นมีวิชาความรู้ติดตัวไว้มันจะดีกว่า
“เออ...แต่ว่า”
“ไม่ต้องแต่หรอก แค่บอกมาว่าเจ้าอยากเรียนหรือไม่อยากแค่นั้น” อี้หลานพูดขัดขึ้นอย่างหงุดหงิดทันทีเมื่อเห็นว่าเด็กสาวยังคงลังเลเหมือนกลัวอะไรบางอย่าง
“ยะ...ยะ อยากเจ้าค่ะ” ฟางซินตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ใบหน้ายังก้มมองพื้นโดยหาได้มองใบหน้าอี้หลาน
“ก็แค่นั้น งั้นข้าจะสอนเจ้าเอง” อี้หลานพูดขึ้นก่อนโบกพัดในมือไปมาอย่างพอใจ
“เออ เดียวเจ้าค่ะ แต่ว่าข้าจะเอาเวลาตอนไหนเรียน ในเมื่อข้าทำงานตลอดเวลา”
ฟางซินเงยหน้าสบตากับอี้หลาน ถึงจะกล้าๆกลัวๆก็เถอะ เธออยากเรียนแต่มันติดตรงที่ว่าเธอจะเอาเวลาตอนไหนไปเรียนในเมื่อทำงานแทบจะทุกเวลาแบบนี้ จะก้าวขาวออกจากหอยังแทบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ จะออกไปไหนได้ก็ต่อเมื่อไปเป็นสาวใช้ช่วยรุ่นพี่ถือของเท่านั้น
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก ข้ามีวิธีแล้วกัน” อี้หลานพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าฟางซินทำหน้าเป็นกังวล
“ไว้พรุ่งนี้เจอกัน แม่นางน้อย” อี้หลานพูดเสริมต่อก่อนจะยื่นมือหนาไปขยี้หัวฟางซินอย่างหมั่นเขี้ยวแล้วหันหลังเดินกลับออกไป
ฟางซินได้แต่ยืนมองแผ่นหลังกว้างของอี้หลานที่เดินออกไปจนพ้นสายตา ก่อนจะใช้มือเรียวจับผมตัวเองที่ยุ่งเหยิงให้เข้าที ใบหน้าก็ขึ้นสีแดงก่ำ เมื่อนึกถึงรอยยิ้มเมื่อกี้ที่อี้หลานยิ้มให้เธอ ช่างเป็นรอยยิ้มที่ทรงเสน่ห์ยิ่งนัก
.
.