ดาวนับล้านดวงลอยเกลื่อนผืนฟ้า ลมเย็นพรูกระทบหน้าตลอดเวลา หากแต่เด็กสาวที่นั่งซ้อนท้ายจักรยานยนต์กลับไม่รู้สึกหนาวเหน็บเหมือนอย่างช่วงแรกที่มาเรียนอยู่เมืองนี้ด้วยสภาพดั่งบ้านนอกเข้ากรุง
ในหัวเธอเพียรบอกตนเองว่าเป็นเพราะอากาศอุ่นลงจากช่วงนั้นนับสิบองศา แต่ในอกกลับเถียงว่าเป็นเพราะคนที่เธอนั่งจ้องแผ่นหลังเขามาตลอดทาง
ผู้ชายในเครื่องแบบนักขี่ม้าแข่งสีส้ม-เขียวคนนี้ใช่ไหม ที่เคยริอ่านขโมยจูบของเธอต่อหน้าหมู่คนอย่างอุกอาจ อลิสาทวนความจำตัวเองพลางขำขื่น เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้าเขาเพิ่งเป็นต้นเหตุให้เธอเสียขวัญจนเตลิดเปิดเปิงกลางงานเลี้ยง ทว่าในวันนี้ผู้ชายคนเดียวกันกลับกลายเป็นที่พึ่งสุดท้ายของเธอในยามยาก ผู้กอบกู้เธอคืนมาจากสถานการณ์คับขันที่สุดอีกครั้งหนึ่งในชีวิต นึกดูแล้วก็ช่างตลกร้ายสิ้นดีที่เขามารับเธอด้วยชุดเดียวกับที่สวมใส่ในคืนที่เธอระหกระเหินหนีเขามา
มันดูเหมือนกับว่าเธอกับเขาจะแยกขาดจากกันไม่ได้ แม้จิตใจเธอจะประสงค์ให้เป็นเช่นนั้น หากบุญวาสนาก็ยังพาเขาและเธอมาบรรจบกันอีกที
อลิสาใช้ความอุตสาหะทั้งหมดที่มีในตัวระงับความคิดฟุ้งฝัน กระนั้นก็ยังมิอาจหักห้ามประกายความอิ่มเอมที่หล่อคลอหน่วยตาตนได้
“มีอะไรหรือ”
เห็นทีเธอจะคิดดังไปกระมัง พ่อนักแข่งปาลิโอถึงได้เอะใจ
“เปล่าสักหน่อย” นิสิตคนไทยบอกปัด ยิ้มระบายทั่วหน้า
“จวนจะถึงแล้ว”
คำพูดของมัตเตโอพลอยให้เธอแหงนคอมองหมู่อาคารยุคกลางบนเขาสูงอันคุ้นตา ซึ่งเวลานี้ยืนตะคุ่มอยู่ในเงามืด
“ฉันไปส่งเธอถึงสเปรันดีเยเลยแล้วกัน”
“มันจะเป็นการรบกวนเธอมากไปมั้ย มัตเตโอ”
“เอาเถอะ ไหนก็ไหนๆ แล้ว” เขาละ ‘ฉันก็หนีซ้อมปาลิโอมาแล้ว’ ไว้ในใจ “มารับทั้งที จะส่งแค่กลางทางมันก็กระไรอยู่”
อลิสานั่งนิ่งด้วยพลานุภาพความตื้นตันที่ไหลซ่านไปทั้งกาย
“เคะ คารีโน่ เซย์” อลิสาพึมพำ “เธอช่างน่ารักอะไรอย่างนี้นะ”
หนุ่มคนขับผู้ไม่คุ้นชินกับคำชมฉันหนุ่มสาวพูดไม่ออก อาศัยหางตาช้อนมองไปด้านหลัง เล่นเอาสาวคนซ้อนอายม้วนต้วนถึงกับต้องหันหลบ
อาลิซ่าหนออาลิซ่า ถ้ากล้าชมแล้วทำไมไม่กล้ารับผลของการชมนั้นเล่า หัวใจมัตเตโอร่ำๆ จะถามเธอเยี่ยงนี้อยู่ครามครัน แต่เมื่อเขาได้เห็นปฏิกิริยาโต้ตอบนั้นแล้ว เขาก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ บังคับแฮนด์ใต้แสงดาวต่อไป
“กรัซซีเย มิลเล มัตเตโอ” เด็กสาวพูดคำนี้เป็นรอบที่เท่าไหร่เขาก็ไม่แน่ใจ “ไม่สิ สำหรับเรื่องในวันนี้ขอบคุณแค่พันครั้งยังน้อยไป ต้องเพิ่มเป็นขอบคุณล้านครั้ง - กรัซซีเย มิลลีโยเน ถึงจะเหมาะ”
“ฉันเข้าใจ แต่ก็อย่างที่บอก ลืมๆ มันไปเถอะ”
“ถึงฉันจะลืมง่าย แต่ฉันก็ลืมเรื่องเปิ่นๆ ที่ตัวเองเป็นคนก่อได้ไม่ลงหรอกนะ” เธอหลุดยิ้มระทวยออกมา “ฉันอยากขอโทษเธอกับเรื่องงี่เง่าที่เคยก่อไว้ และถ้าจะมีอะไรที่ฉันสามารถทำเพื่อไถ่โทษและเพื่อตอบแทนคุณเธอในวันนี้ได้ ต่อให้มันจะยากเย็นแสนเข็ญเพียงใด ฉันก็พร้อมยอมทำทุกอย่าง”
มัตเตโอจับจ้องสีหน้าของเธอซึ่งสะท้อนอยู่ในกระจกมองหลังชั่วขณะสั้นๆ พลันเอ่ยปากบอกความในใจของเขาออกมา
“ขอให้เธออยู่ใกล้ๆ ฉัน คอยให้กำลังใจฉัน” ชายหนุ่มอิดเอื้อนแต่ละคำอย่างหนักใจ “สองอย่างนี้สำหรับเธอ มันมากเกินไปหรือไม่”
สาวไทยตั้งใจจะลอบดูแววตาของเขา แต่ด้วยลักษณะท่าทางการนั่งทำให้เธอมองเห็นเพียงเส้นผมค่อนข้างยาวสีน้ำตาลที่สยายตามแรงลม
“มันไม่มากเกินไปเลย มัตเตโอ” อลิสาสั่นหน้า “ฉันยินดีทำตามคำขอของเธอ เพราะที่จริงแล้วฉันก็คอยส่งแรงใจให้เธอเสมอ นับตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าเธอเป็นฟานตีโน่ เธอเป็นนักขี่ม้าแข่งที่กำลังไล่ล่าตามหาฝันอยู่”
มัตเตโอตรับฟังอย่างตั้งใจ แม้คำบอกนั้นจะเบาหวิวดุจสายลม
“...ความสุขของเธอก็เหมือนความสุขของฉัน การที่เธอได้เป็นผู้ชนะปาลิโอก็เป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งของฉันด้วย”
หนุ่มอิตาเลียนรู้สึกจุกอกกับความซึ้งใจที่ถั่งโถมเข้ามาจนรับไว้ไม่ไหว มีอีกหลายเรื่องที่เขายังไม่ได้เล่าให้เธอฟัง เป็นต้นว่าบทลงโทษที่เขาอาจต้องรับจากการแหกรั้วออกมาพาเธอกลับจากกัสตียอนเชลโล แต่ครั้นได้รู้สึกถึงความอ่อนโยนจริงใจที่เธอมีตอบแทน อุปสรรคหนักหนาใดๆ ก็ดูจะมลายไปทันตา
“กรัซซีเย ‘มิลลีโยเน’ อังเค อา เต – ขอบคุณเธอล้านครั้งเช่นเดียวกัน”
เขาตอบรับพลางเหม่อมองฟ้าอย่างจะขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ประทานเธอมาให้เขารู้จัก...เธอผู้เป็นแสงดาวส่องสกาวแก่ชีวิตเขา ผู้ต่อเติมเชื้อเพลิงแห่งความฝันให้โหมไหม้ต่อไปในวันที่มันเกือบจะมอดดับลงอย่างสิ้นเชิง
“และฉันก็ขอพูดจากใจจริงว่าความสุขของเธอก็คือความสุขของฉันเช่นกัน แค่เพียงได้เห็นหน้าเธอแต่ละวัน วันนั้นฉันก็เป็นสุขเหลือใจแล้ว”
ผู้ฟังรู้สึกเต็มตื้นในหัวอกอันบอบช้ำจากรักเก่าเสียจนไม่อาจเอ่ยคำใดได้อีก ร่างแบบบางของเธอเอนแนบแผ่นหลังนักแข่งปาลิโอด้วยความหวงแหนสุดหัวใจ ในระหว่างที่จักรยานยนต์มือสองคันนั้นถูกเร่งความเร็วเพื่อไต่ระดับความสูงขึ้นภูเขา ท่ามกลางแสงสว่างจากไฟถนนและธารดาวที่พราวแพรว
อรุณแรกของเดือนกรกฎาคมเบิกฟ้าด้วยกลองลือสนั่นประดุจดังเสียงเภรีสวรรค์ ถนนสำคัญทุกสายใจกลางเมืองประดับประดาด้วยผืนธงคอนตราดานั้นๆ คล้ายจะอวดเบ่งแสนยานุภาพต่อกันและกัน บานหน้าต่างที่ถูกแง้มรับวันใหม่ในทุกๆ เช้ายังคงมีเสียงทักทายโต้ตอบประปราย หากเป็นที่น่าสังเกตยิ่งนักที่ถ้อยคำโอภาปราศรัยเหล่านั้นได้รับการสงวนไว้เฉพาะเพื่อนร่วมละแวกบ้าน กับคนต่างคอนตราดาแล้วนั้น แม้ตลอดทั้งปีจะผูกพันรักใคร่ หากในวันนี้คงมีแต่ท่าทีที่หมางเมินแก่กัน
“เป็นธรรมเนียมของชาวเซเนเซ่” คำบอกเล่าของมัตเตโอดังขึ้นข้างหูเมื่อพบว่าคนเดินถนนต่างคนต่างเก็บตัวอยู่ในเขตหมู่บ้านตนเอง “สามวันก่อนวันแข่งจะมาถึง ทุกคนในเมืองเซียน่าจะเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่พูดไม่จากับคนต่างคอนตราดา เป็นการป้องกันมิให้ความลับเฉพาะคอนตราดารั่วไหลไปถึงหูคนนอก”
มาถึงวันนี้สาวไทยไม่เหลือข้อข้องใจในเรื่องปาลิโออีกแล้ว ประสบการณ์หนึ่งเดือนในเซียน่าได้ขัดเกลาความเข้าใจเดิมๆ ว่ามันเป็นเพียงกีฬาประเพณีชนิดหนึ่งเสียใหม่...มากกว่าการแข่งขันประจำปีที่มีปีละสองหน มันคือศึกแห่งศักดิ์ศรีที่ชาวเมืองทุกหมู่เหล่าต่างอุทิศทุกลมหายใจให้กับมัน
อลิสาผู้ยังคงว่างเว้นจากการเรียนใช้เวลาทั้งวันตะลอนไปตามคอนตราดาต่างๆ เธอเก็บภาพบรรยากาศที่พบเจอด้วยกล้องมือถือ ต่อบางครั้งก็ผนึกไว้ในดวงตาและส่งต่อยังดวงใจ เมื่อส่วนลึกในจิตใจบ่งบอกว่าภาพนั้นงดงามเกินกว่าจะขัดจังหวะบันทึกไว้ในกล้องถ่ายภาพได้ เป็นต้นว่าภาพคุณทวดวัยใกล้ศตวรรษที่พยายามฝืนสังขารตนเอง ด้วยการกระย่องกระแย่งจับไม้เท้าสี่ขา เปล่งเสียงร้องเพลงเชียร์บ้านเกิดเคียงข้างเหลนวัยหัดเดินที่เพียรร้องอ้อแอ้ตาม
คอนตราดาฮูกน้อยดูเหมือนจะคึกคักกว่าใครเพื่อน แต่คอนตราดายูนิคอร์นก็มีผู้เข้าร่วมขบวนพาเหรดมากกว่า หนุ่มคนถือธงคอนตราดาหอคอยดูงานดีจับใจ ส่วนคอนตราดาคลื่นและคอนตราดาอินทรีกำลังยุ่งกับการจัดโต๊ะเลี้ยงฉลอง
เด็กสาวไล่สังเกตความเคลื่อนไหวภายในคอนตราดาแต่ละห้องรอบจัตุรัสกลางเมืองด้วยความเจริญตาเจริญใจ และในที่สุดเธอก็วนมาถึงเขตคอนตราดาป่าอันมีอาณาเขตติดกับจัตุรัสคัมโปฝั่งทิศตะวันตก
ชายผูกผ้าพันคอสีเขียว-ส้มหลายคนกำลังยืนจับกลุ่มซุบซิบอยู่ที่หัวมุมถนนใต้รูปเคารพพระแม่มารีย์ เหมือนจะพูดอะไรสักอย่างเกี่ยวกับฟานตีโน่ของพวกเขาด้วยวาจาวิพากษ์วิจารณ์อย่างเปิดเผยรุนแรง
“แกได้ไปดูฟานตีโน่ซ้อมเมื่อเช้ามั้ย”
“ดู กำลังจะบ่นให้ฟังอยู่เลยว่าฟานตีโน่เราดูไม่ได้เรื่องเลยว่ะ”
“เห็นว่าจบภายในห้าอันดับแรกตลอดไม่ใช่หรือวะ”
“แกลืมไอ้คนเมื่อปีกลายแล้วหรือไง ตอนซ้อมก็ฟอร์มดีนักหนา ลงแข่งจริงก็กลายเป็นหมูสนาม” ชายคนนั้นตอบพลางเคาะขี้บุหรี่ “แต่ฉันว่านั่นยังไม่เลวร้ายเท่าเรื่องที่มันหนีซ้อมรอบเย็นวาน นั่นน่ะทุเรศสิ้นดี”
เกิดเสียงฮือฮาขึ้นกลางวงสนทนานั้น คนที่รู้อยู่แล้วทำหน้าไม่อยากกล่าวถึง ส่วนคนที่ยังไม่รู้พากันคะยั้นคะยอให้สหายเล่าออกมา
“สงสัยจะปอดแหก กลัวเสียหน้าจนไม่กล้าลงแข่งแหงๆ” ผู้ชายจอมตลกโปกฮาที่ร่วมโต๊ะกับเธอเมื่อคืนนั้นขายขำ “พวกแกไปบอกเทศมนตรีซิว่าไม่ต้องไปฮั้วกับคอนตราดาอื่นแล้วนะ อายเขา เอาไอ้ตัวแทนของเราให้อยู่ก่อน นึกจะหนีก็หนี ดูทรงอย่างนี้คงต้องเอาเงินจ้างมันให้มาแข่งต่อแล้วกระมัง”
เสียงหัวเราะครื้นเครงที่ดังขึ้นแฝงไว้ซึ่งความสมเพชเต็มกมลคนเหล่านั้น พานให้นิสิตชาวต่างชาติที่ลอบฟังอยู่หัวเราะไม่ออก ทั้งรู้สึกแย่แทนเพื่อนหนุ่มที่ตกเป็นขี้ปากของคนหน้าไหว้หลังหลอก ทั้งรู้สึกผิดที่ตนเองเป็นตัวการให้เขาต้องถูกรุมประณามโดยกลุ่มคนที่เขาต้องการซื้อใจตลอดมา
อลิสากัดริมฝีปากตนเองเพื่อระงับความรู้สึกอัดอั้นในอก และหันหลังหนีไปจากที่นั่นโดยไม่รู้ตัวว่าตนเองก็ตกเป็นเป้าสังเกตการณ์ด้วยเหมือนกัน
นั่นเป็นวันที่เผาผลาญพลังงานฟานตีโน่หน้าใหม่เยี่ยงเขาที่สุดวันหนึ่งในรอบปี ไล่มาตั้งแต่การตื่นแต่เช้ามืด ซ้อมแข่งรอบคัมโปเป็นคำรบที่สี่ตอนเก้าโมงเช้า เลี้ยงฉลองใหญ่ก่อนแข่งจริงอีกครั้งในช่วงเย็น ปิดท้ายวันด้วยการติดสอยห้อยตามคณะเทศมนตรี เดินสายทักทายและต่อรอง ‘ข้อตกลงลับ’ กับคอนตราดาอื่น
เข็มสั้นนาฬิกาเขยื้อนไปถึงเลขสิบแล้ว ทว่าความครุ่นกังวลยังไม่อนุญาตให้มัตเตโอหลับตาลงนอนได้ดังใจหมาย ลมหายใจของเขาถูกถ่มทิ้งเฮือกแล้วเฮือกเล่า ขณะที่สองแขนสอดประสานรองไว้ใต้ต้นคอ
บุตรนอกสมรสของฟานตีโน่ขั้นพระกาฬผู้ล่วงลับนอนทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาด้วยความรู้สึกขัดแย้งกันเอง ทั้งตื่นเต้น ทั้งกังวล ประกอบกันอยู่ในความรู้สึกเหลือเชื่อว่าฝันที่ติดตัวตนมาแต่เด็กอย่างการได้ลงสนามแข่งปาลิโอท่ามกลางคนดูนับหมื่นจะสำเร็จเป็นจริงในวันพรุ่ง
แต่แล้วอยู่ดีไม่ว่าดีโทรศัพท์มือถือที่ก่อนนี้เขาเกือบจะปิดเครื่องเพื่อตัดการรบกวนจากโลกภายนอกก็ได้รับสัญญาณสายโทรเข้า เป็นเหตุให้ผู้เป็นเจ้าของซึ่งนอนแผ่อยู่หลังลูกกรงกักบริเวณหยุดความคิดพล่านลงชั่วขณะ
“ใครกันนะ โทรมาไม่รู้จักเวล่ำเวลา” มัตเตโอตั้งท่าจะด่าทอด้วยความโมโหโทโสที่ถูกรบกวนเวลานอน หากเมื่อได้เห็นชื่อและรูปถ่ายฝีมือเขาขณะเจ้าตัวเผลอที่ฉายอยู่บนจอ ความคิดดังกล่าวก็มีอันยุติไปในชั่วพริบตา
“เชา มัตเตโอ ขอโทษนะที่ฉันโทรมาตอนดึกอย่างนี้”
“ไม่เป็นไร อาลิซ่า” ชายหนุ่มแต้มยิ้มประดับใบหน้าที่อ่อนโยนลง
“ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน ฉันโทรหาเบอร์ห้องเช่าที่เธอเคยให้ไว้ก็ไม่มีใครตอบสักคน” น้ำเสียงนั้นอยู่ตรงกลางระหว่างตกใจและน้อยใจ
“เป็นความลับ” เขาทำเสียงขบขันตอบ “ฉันบอกไม่ได้หรอกว่าฉันอยู่ที่ไหน เธอรู้แค่ว่าสภาเมืองเซียน่าจัดหาห้องพักให้กับฉันและฟานตีโน่คนอื่นๆ นอน จะได้รอดพ้นจากผู้ไม่ประสงค์ดี เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
“เอ้า แล้วกัน” เธออุทานอย่างงอนๆ จนเขานึกขัน
จะไม่ให้เขารู้สึกตลกได้อย่างไร เมื่อครั้งหนึ่ง ‘ผู้ไม่ประสงค์ดี’ ต่อการแข่งขันปาลิโอก็มาในคราบนิสิตมหาวิทยาลัยสำหรับชาวต่างชาติเยี่ยงเธอ โดยได้รับค่าจ้างจากคอนตราดาคู่แข่งให้วางยานอนหลับม้าแข่งและฟานตีโน่ เป็นชนวนให้สภาเมืองแก้ปัญหาด้วยการกักตัวบรรดาฟานตีโน่ก่อนแข่ง เพื่อรักษาไว้ซึ่งความปลอดภัยของผู้เข้าแข่งขันและความราบรื่นในการแข่งขันเสียเลย
“โทรมามีอะไรหรือเปล่า” มัตเตโอถามด้วยเสียงเรียบๆ
“ฉันแค่อยากเช็คให้แน่ใจว่าเธอยังสบายดี”
ฟานตีโน่นิ่งไปชั่ววูบ “ฉันสบายดี...” เขาตอบยียวนเพราะจะกวนเธอเล่น “แต่จะเริ่มไม่สบายเอาก็เพราะเธอถามฉันอย่างนี้แหละ”
“ฉันไม่ได้ล้อเธอเล่นนะ” อลิสาเน้นเสียง “เมื่อกลางวันฉันได้ยินพวกที่กินเลี้ยงอยู่กับเราวันนั้นไปว่าเธอลับหลังเสียๆ หายๆ สารพัด หาว่าเธอใจเสาะ ไม่กล้าแข่ง เลยไม่ยอมลงสนามตอนเย็นเมื่อวาน ทั้งที่จริงๆ เธอไปช่วยฉัน”
“ขี้ปากคนเราก็พูดพล่อยไปเรื่อย ฉันไม่มีสิทธิ์ห้ามไม่ให้ใครมาวิจารณ์ฉันได้หรอก” หนุ่มอิตาเลียนผ่อนลมหายใจ “แต่ฉันก็ไม่ไยดีคนอื่นนอกเหนือจากเธอ แค่มีเธอคนเดียวที่รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร ฉันก็พอใจแล้ว”
“ยังไงฉันก็ยังอยากขอโทษเธออีกทีที่ทำให้เธอเสียการฝึกซ้อม” เด็กสาวท้วงอยู่ในที “เพราะความเลินเล่อของฉันเป็นเหตุ เธอถึงต้องสละการซ้อมครั้งสำคัญมาพาฉันกลับจากสถานที่ที่ฉันไม่รู้จัก และยังต้องเป็นจำเลยของชาวคอนตราดา ทั้งที่เรื่องทั้งหมดมันเริ่มมาจากตัวฉันแท้ๆ แต่เธอกลับต้องมารับโทษ”
“ฉันบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าความสุขของเธอก็คือความสุขของฉันด้วยเหมือนกัน หากการขาดซ้อมของฉันเพียงหนึ่งจากหกครั้งช่วยให้เธอกลับมายิ้มได้อีกครั้ง ก็นับว่าคุ้มค่ากับการเสียสละนั้นแล้ว”
“ถึงเธอจะว่าอย่างนั้นก็เถอะ ฉันก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี”
ชายหนุ่มส่งยิ้มเนือยแก่หน้าจอมือถือที่ฉายเพียงเวลาสนทนากับชื่อของเธอ กับผู้หญิงคนอื่นที่พูดจาซ้ำซากวกวนไปมาอย่างนี้ มีหวังเขาได้ด่าไฟแลบไปแล้ว แต่กับเธอผู้มีความพิเศษจากคนอื่นๆ เขาเพียงแต่อมยิ้มให้
“ขืนมัวแต่พร่ำคำขอโทษฉันอยู่อย่างนี้ คืนนี้ฉันคงไม่ได้หลับได้นอนพอดี” มัตเตโอหัวเราะเบาๆ “ตอนนี้ฉันลืมเรื่องในอดีตหมดแล้ว ในหัวฉันมีเพียงเรื่องปัจจุบันและอนาคตอันใกล้อย่างเย็นวันพรุ่งนี้เท่านั้น”
“แข่งจริงกี่โมงนะคะ” อลิสาถามเสียงสุภาพ
“ประมาณห้าโมงเย็น” เขาแนะนำ “แต่เธอควรจะมาเสียตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะระหว่างวันมีพิธีมิสซาพิเศษให้กับฟานตีโน่และม้า มีซ้อมใหญ่รอบสุดท้าย มีขบวนพาเหรด และของน่าดูน่าชมอีกมากมาย อีกอย่าง...ถ้าเธอเพิ่งไปตอนแข่งจริง อย่าได้หวังว่าจะมีที่ดูในคัมโปเลย ถึงตอนนั้นคนเต็มจัตุรัสหมดแล้ว”
“ได้ ฉันจะรีบไปแต่หัววันเลย” เธอให้คำมั่น
“ดีมาก” ผู้ประเดิมสนามชมก่อนเผยสิ่งที่ตนเพิ่งคิดได้เดี๋ยวนั้นออกมา “เธอช่วยเปิดกล้องวิดีโอคอลหน่อยได้ไหม อาลิซ่า”
“เพื่ออะไรเหรอ”
“เถอะน่า” มัตเตโอยอกย้อน “ก็ไหนเธอว่าเธอพร้อมทำทุกอย่างเพื่อไถ่โทษที่ทำผิดกับฉัน แถมเธอก็ยังพูดซ้ำไปซ้ำมาว่ายังรู้สึกผิดที่ฉันต้องขาดซ้อมเพื่อเธออยู่ ฉันขอแค่นี้ไม่ได้หรืออย่างไรกัน”
“สภาพฉันเวลานี้ไม่ได้น่าดูหรอกนะ” ถึงจะอ้างอย่างนั้นทว่านิสิตจากแดนไกลก็ทำตามคำขอแกมสั่งของเขา “พอใจเธอแล้วยัง”
ชายหนุ่มกรุ้มกริ่ม สองตามองดูหน้าสดของเด็กสาวผู้อ่อนวัยกว่าเขาราวห้าปีเสมือนว่าจะจารึกทุกอณูใบหน้าคมสันนั้นเก็บในส่วนลึกของหัวใจ
“เธอจะบอกฉันได้รึยังว่าเธอขอฉันแบบนี้ไปเพื่ออะไร” อลิสาทวงคำตอบอย่างเขินๆ หลังถูกผู้ชายรบเร้าขอดูหน้าไร้เครื่องสำอาง
“ฉันอยากเห็นหน้าเธอไว้เรียกกำลังใจให้ตัวฉันเอง” คนพูดตอบอย่างเข้าใจหัวอกทหารหาญที่ต้องออกรบไกลลูกไกลเมีย “ยังจำที่เราคุยกันเมื่อคืนวานได้ใช่ไหม เธอยังคงส่งกำลังใจให้ฉันอยู่หรือเปล่า”
“แน่นอนสิคะ ฉันส่งแรงใจเชียร์เธอตลอดเวลานั่นแหละ” เธอยืนยัน “พรุ่งนี้ฉันจะรีบตื่นแต่เช้า ไปจองที่ในคัมโปเพื่อรอชมความสำเร็จของเธอ”
มัตเตโอแลกเปลี่ยนคำสัญญาด้วยหยาดน้ำบางเบาที่เกาะพราวรอบขอบตาขณะเพ่งพิศใบหน้าในจอโทรศัพท์มือถือ “และถ้าชัยชนะตกเป็นของฉัน ไม่ว่าเธออยู่ที่ไหนในจัตุรัส ฉันก็จะมองไปที่เธอ”