“แค่คิดฉันก็สนุกยังกะได้ดูหนังมหากาพย์ไตรภาคแล้ว” หนุ่มไว้เคราสั้นเปรยขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุขณะผูกเชือกรองเท้าผ้าใบ
“สนุกบ้าบออะไรของเธอมิทราบ” สาวเอเชียที่ติดตามมาถามกลับพลางหลิ่วตาดูอีกฝ่ายหัวเราะครืนด้วยความไม่เข้าใจ
“ก็สนุกที่ฉันย้ายฝั่งมาอยู่ข้างจอร์โจน่ะสิ” ซิโมเน่ปัดฝุ่นผงที่จับอยู่บนแขนเสื้อสีน้ำเงิน-แดงของคอนตราดาเสือดาว “เพราะฉันเลือกทางนี้ สิงห์เฒ่าสองตัวที่ร้างศึกกันมานานหลายปีเลยต้องกลับมาห้ำหั่นกันเองอีกครั้ง”
“สิงห์สองตัวที่ร้างศึกกันมานาน?” อินซุกทวนคำอย่างงงๆ
“ฉันหมายถึงเอนโซ่ พี่เลี้ยงคนเก่าของฉัน กับจอร์โจ พี่เลี้ยงคนปัจจุบันที่เราเพิ่งเจอเมื่อตะกี้” เขาเท้าความถึงเรื่องราวเมื่อหลายสิบปีก่อน “สมัยหนุ่มๆ ทั้งสองคนเคยเป็นนักแข่งปาลิโอรุ่นไล่เลี่ยกัน มีพื้นเพมาจากคอนตราดาโซนใต้ของเมืองเหมือนกัน เลยถูกชาวเมืองเสี้ยมให้เป็นคู่อริของกันและกัน”
“แล้วตาลุงสองคนนี้ก็บ้าจี้ให้เขาเสี้ยมจนเกลียดกันจริงเนี่ยนะ”
“นั่นมันแค่จุดเริ่มต้น...ความบาดหมางของจริงเริ่มในปาลิโอสิงหาคมครั้งที่เอนโซ่ได้แซงหน้าจอร์โจเข้าเส้นชัย พวกผีพนันที่แทงจอร์โจไว้สูงเลยก่อเหตุอาละวาดจนมีคนเจ็บคนตาย กลายเป็นรอยร้าวในเทศกาลปาลิโอ”
เด็กสาวชาวเกาหลีใต้บิดริมฝีปากแสดงสีหน้าสยดสยอง
“แต่จอร์โจก็ยังเหนือชั้นกว่า ซิวแชมป์ปาลิโอบ่อยกว่า จนตอนหลังเอนโซ่จำใจเลิกอาชีพฟานตีโน่ หันไปมุ่งมั่นเอาดีด้านการสอนหนังสือ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ได้บ่มเพาะวิชาการแข่งปาลิโอให้กับญาติห่างๆ คนหนึ่งจนได้ดิบได้ดี กลายเป็นฟานตีโน่ที่ประสบความสำเร็จเป็นอันดับต้นๆ ในประวัติศาสตร์ปาลิโอ”
“พ่อของมัตเตโอใช่มั้ย” อินซุกดักหน้า “ที่เธอเคยพูดให้ฉันฟังน่ะ”
ซิโมเน่พยักหน้าแทนคำยืนยัน “ฟาบิโอคนนั้นประเดิมสนามในช่วงที่จอร์โจเริ่มโรยรา เขาเป็นคนทำให้ความฝันของจอร์โจที่ต้องการแชมป์บนวัยสี่สิบกว่าต้องเป็นหมัน เพราะฟาบิโอเล่นกวาดชัยชนะเป็นประจำ หรือครั้งไหนที่ไม่ชนะก็ยังอุตส่าห์จบอันดับดีกว่าจอร์โจอยู่ดี นับตั้งแต่ฟาบิโอเข้าวงการจวบจนจอร์โจอำลาวงการ จอร์โจก็ไม่เคยชนะปาลิโอแม้แต่ครั้งเดียว เขาจึงผูกใจเจ็บมาถึงวันนี้”
นิสิตมหาวิทยาลัยสำหรับชาวต่างชาติรับฟังด้วยความตะลึงพรึงเพริดต่อความเข้มข้นดุเดือดของศึกชิงแผ่นผ้าไหมที่ดำเนินมาแต่ครั้งเก่าก่อน และเมื่อได้สติ เธอก็อดเฉลียวใจไม่ได้ว่าถ้าหากแฟนเก่าของเธอคิดปรารถนาดีกับผู้ชายที่เธอแอบชอบดังคำกล่าวอ้างของเขาจริง แล้วเหตุไฉนเขาจึงเลือกแปรพักตร์มาอยู่ข้างคนที่จงเกลียดจงชังวงศาคณาญาติของ ‘เพื่อน’ ตัวเองได้ลงคอ
หรือนี่จะเป็นวิถีของปาลิโอที่ฟานตีโน่คนไหนๆ เขาก็ทำกัน
“ว่าไงล่ะพ่อเสือดาว” เสียงแหบห้าวอันเป็นเอกลักษณ์ลั่นขึ้นพร้อมกับร่างอ้วนท้วนในชุดเบลเซอร์ทับเสื้อลายสก็อตเขย้อแขย่งมาหา
“คุณจอร์โจ” ซิโมเน่ส่งเสียงทัก “ทางนั้นเป็นไงครับ”
“นายต้องไม่เชื่อที่ฉันเห็นแน่ๆ ซิโมเน่” เทศมนตรีคอนตราดาเต่าหัวเราะจนเห็นลิ้นไก่และฟันทองในปาก “เจ้ามัตเตโอเพื่อนนายหน้าบึ้งเป็นตูดเชียว ไม่รู้ฉุนเรื่องอะไรมา ส่วนเอนโซ่อริของฉันมันก็เดือดจนเพื่อนครูของมันต้องคอยห้าม ดูท่าว่าวันนี้อะไรๆ ก็จะเป็นใจให้ฝ่ายเราแล้วกระมัง”
“ผมยังไม่ประมาทดีกว่า เพราะนอกจากพวกเขาแล้วในสนามยังมีนักแข่งอีกตั้งแปดคนที่เราต้องประชันฝีมือด้วย” ชายหนุ่มยิ้มตอบเลี่ยงๆ เพราะรู้ว่าในมุมพักผ่อนนักกีฬาที่สภาเมืองจัดไว้ให้ยังมีบุคคลอื่นที่อาจได้ยินพวกตนคุยกัน
“นายไม่ดีใจก็ไม่เป็นไร ขอฉันสะใจที่เห็นไอ้เอนโซ่ฉุนขาดหน่อยแล้วกัน” เสียงหัวเราะของชายชราสะท้อนกลับไปกลับมาในความคิดคำนึงของนิสิตหญิง สมทบกับความงงงวยเดิมที่มีอยู่จนสมองตีบตื้อ เธอมั่นใจว่าเธอฟังไม่ผิด ที่ได้ยินชายชราพูดว่า ‘สะใจ’ โดยมีเสียงหัวเราะตรงตามความหมายของคำนั้นประกอบการพูด หากที่น่าแคลงใจยิ่งไปกว่านั้นคือซิโมเน่เองก็ยิ้มมุมปากให้กับเขา โดยที่ยิ้มนั้นค่อนมาทางเก็บกลั้นความรู้สึกลึกๆ ในใจมากกว่าจะเป็นการยิ้มให้ตามมารยาท
ความรู้สึกไม่ชอบมาพากลเบียดปะทะเข้ามาในอกที่อุดมด้วยคำถามสารพัน...เมื่อมัดทั้งหมดรวมกันแล้ว คือเธออยากรู้ว่าเขาทั้งสองคนคิดอย่างไรกับมัตเตโอกันแน่ แล้วมันจริงเท็จแค่ไหนที่อดีตแฟนหนุ่มของเธออ้างว่า เขามาขอคืนดีกับเธอก็เพราะเขานั้นหวังดีกับมัตเตโอผู้เป็น ‘เพื่อน’ ของเขา
อิม อินซุก อดใจไม่ให้มองคนอื่นในแง่ร้ายไปมากกว่านี้ ทั้งที่ในใจยังมีคำถามอีกเป็นกองที่เธอรู้สึกว่าตนจำเป็นต้องรู้จากชายทั้งสอง
ระฆังตอร์เร เดล มันจา รัวห้าครั้งบอกเวลาห้าโมงเย็น ดวงอาทิตย์สีแดงกลมโตคล้อยต่ำจนใกล้กลืนหายไปใต้หลังคาตึกแถวที่รายล้อมจัตุรัสคัมโป ประดาขุนพลทั้งสิบที่สวมหมวกกะโล่ เสื้อคลุม และกางเกงขายาวหลวมๆ สองสี กำลังอยู่ในระหว่างการพักผ่อนร่างกายเพื่อรอการซ้อมในอีกสองชั่วโมงข้างหน้า
ป่านนี้อาลิซ่าจะเป็นอย่างไร เธอจะคิดถึงเขาบ้างไหมในยามที่มีเพื่อนผู้ชายตัวยุ่นคนนั้นไปเป็นเพื่อน...ความกังขาทั้งสองข้อนี้ประดังสลับกันไปมาในหัวสมองของนักแข่งในชุดสีส้ม-เขียวราวจะเบี่ยงเบนความสนใจเขาจากปาลิโอ
ถึงแม้สมรภูมิที่เขาต้องลงสู้ศึกจะอยู่ใกล้เพียงเอื้อม กระนั้นก็ดูราวกับว่าหัวใจของเขาซึ่งไม่เคยอยู่กับเนื้อกับตัวตั้งแต่รู้จักนิสิตคนนั้นมาจะล่วงหน้าไปไกลถึงเมืองปีซ่าเสียแล้ว และมันก็คงไม่มีทางกลับคืนมาสู่ใจผู้เป็นเจ้าของง่ายๆ ตราบใดที่เขายังไม่เห็นด้วยตาตัวเองว่าเธอปลอดภัยดี
ชายหนุ่มหลับตาลงอย่างจะทำใจให้สบาย ก่อนจะพบความจริงอันน่าหงุดหงิดว่าการจะทำเช่นนั้นมันช่างไม่ง่ายเสียเลย
ครึ่งวันในปีซ่าของอลิสาผ่านพ้นไปด้วยความผาสุกราบรื่น ตั้งแต่วินาทีที่ย่างเท้าเหยียบสถานีรถไฟ มุ่งหน้าไปยังมหาวิหารประจำเมืองปีซ่า ถ่ายรูปกับหอระฆังฐานทรุดเอียงอันเป็นจุดขายของเมืองและทั้งประเทศ เลือกซื้อสินค้าจากตลาดนัด ไปจนถึงกินลมชมบรรยากาศยามเย็นริมฝั่งแม่น้ำอาร์โน
อลิสาไล่ดูรูปถ่ายของเธอกับคาสึยะที่แลบลิ้นปลิ้นตา ทำหน้าทะเล้นทะลึ่งอยู่หน้าหอเอนปีซ่า ด้วยความอิ่มอกอิ่มใจที่ห่างหายมานานโข เธอเกือบจะลืมแล้วทีเดียวว่าการเที่ยวต่างประเทศนั้นสนุกถึงเพียงนี้ เพราะตั้งแต่เธอรู้ความจริงว่ามัตเตโอเป็นนักแข่งม้าไร้อานคนหนึ่ง เธอก็ไม่กล้ารบกวนเวลาซ้อมของเขาด้วยการชวนเขาออกเที่ยวเหมือนอย่างเคย ขณะเดียวกันเธอเองก็มัวกลุ้มพะวงกับเรื่องนู้นเรื่องนี้จนไม่มีอารมณ์ความรู้สึกอยากท่องเที่ยวเหมือนที่ผ่านมาด้วย
นิ้วหัวแม่มือไถเลื่อนดูอัลบั้มรูปภาพในมือถือ เป็นอาทิตย์แล้วที่เธอไม่ได้ยกกล้องโทรศัพท์บันทึกภาพใหม่ ครั้งสุดท้ายที่เธอถ่ายภาพ ยังเป็นวันที่เธอไปกับมัตเตโอซึ่งเธอได้แอบถ่ายตัวเขาขณะกำลังเผลออยู่ด้วย
สายตาของเด็กสาวหม่นลง อกเต้นหน่วง เมื่อนึกได้ว่าในที่สุดเธอก็คิดถึงหนุ่มอิตาเลียนคนนั้นอยู่ดี มิไยที่เธอจะหักห้ามใจตัวเองแล้วก็ตาม
“ปลายทางเซียน่า ออกเวลา 17.30 นาฬิกา” คาสึยะบอกเสียงเหมือนรำพึง มันจึงไม่แปลกอะไรที่เสียงพูดของเขาถูกกลืนด้วยเสียงประกาศในสถานีรถไฟ “ขบวนของเรามาถึงแล้วนะ จอดที่ชานชาลา...”
อลิสาได้ยินหมายเลขชานชาลาไม่ชัด ส่วนหนึ่งเพราะมัวพะวงกับความต้องการขับถ่ายซึ่งเริ่มออกฤทธิ์ตั้งแต่ดื่มน้ำคลายร้อนเข้าไปเป็นขวดๆ
“ฉันขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”
“เธอค่อยไปเข้าบนรถไฟก็ได้นี่” เด็กหนุ่มเสนอทางออก “รถไฟมาแล้ว ฉันปวดท้องอยู่เหมือนกัน ตั้งใจว่าจะไปเข้าห้องน้ำบนนั้นแหละ”
“ผู้หญิงอย่างฉันไม่สะดวกเท่าผู้ชายอย่างเธอหรอกนะคาสึยะ” สาวไทยยิ้มแหยเมื่อใจประหวัดถึงสภาพรถไฟชั้นสามของอิตาลีที่ดูน่าขยะแขยงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ารถไฟบ้านเธอเท่าใดนัก “นี่เป็นสถานีต้นทางไม่ใช่เหรอ เขาน่าจะจอดรอนานอยู่นะ ฉันเข้าเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ เธอขึ้นไปรอบนนู้นก่อนยังได้เลย”
“มันจะดีหรืออาลิซ่า”
“ดีสิ” อลิสายืนกรานปนเร่งเร้าให้ทำตามคำขอ “เธอขึ้นไปก่อนได้เลย ฝากจองที่นั่งเผื่อฉันด้วยนะ แล้วเจอกันบนรถนะจ๊ะ”
โดยไม่รอให้อีกฝ่ายหนึ่งให้คำตอบ นิสิตสาวก็ห้อตะบึงตามป้ายสัญลักษณ์รูปคนคู่ชาย-หญิงไปอย่างทำเวลา ระหว่างทางเธอวิ่งผ่านป้ายดิจิทัลอันโอฬารที่มีตัวเลขบอกเวลา ชานชาลา รวมทั้งชื่อสถานีรถไฟเมืองต่างๆ ปรับเปลี่ยนไปมา หนึ่งในนั้นเขียนว่า ‘เซียน่า’ บรรทัดเดียวกับ ‘ชานชาลาที่ 7’
“คงเป็นขบวนของเราล่ะมั้ง” เธอสะกดจิตตัวเอง “ชานชาลาที่ 7 ใช่มั้ย...ได้ แล้วเจอกันบนขบวนรถไฟนะคาสึยะ”
สาวน้อยผู้มาจากดินแดนแห่งรอยยิ้มท่องเลข 7 ที่เห็นบนกระดานไฟฟ้าจนขึ้นใจ โดยมิได้ตระหนักถึงหัวตารางที่เห็นเลยสักนิดว่ามันคือตารางแจ้งชื่อสถานีต้นทาง หาใช่สถานีปลายทางที่เธอต้องมองหาไม่!
ม้าเหล็กขบวนที่มุ่งหน้าสู่เมืองเซียน่าเคลื่อนตัวจากชานชาลาได้สักระยะหนึ่ง เป็นเวลาเดียวกับที่คาสึยะทำธุระส่วนตัวเสร็จ บนรถไฟขบวนนั้นค่อนข้างจะโล่งก็จริง แต่ช่างน่าประหลาดยิ่งที่ไม่ว่าเขาจะสอดส่องไปทางไหน ก็ไม่แลเห็นผู้โดยสารคนใดที่มีรูปพรรณสัณฐานคล้ายกับเพื่อนสาวที่มากับเขาเลยสักคน
“อาลิซ่าอยู่ไหน” ชายชาวญี่ปุ่นถามตัวเองก่อนออกเดินหาทีละตู้โดยสาร และจากเดินก็เริ่มเปลี่ยนเป็นวิ่ง เมื่อจนแล้วจนรอดก็ยังหาเธอไม่พบ
“อาลิซ่า” เสียงเรียกถี่ๆ ของคาสึยะเพิ่มระดับความดังจนเป็นตะโกน แต่กระนั้นก็ยังไม่มีการตอบรับจากเจ้าของชื่อ “เธอหายไปไหน”
“คาสึยะ” อลิสาขานชื่อเพื่อนหนุ่มไปทั่วห้องโดยสารของเธอ
ทิวทัศน์ข้างทางจากที่เป็นตึกและบ้านเรือนเตี้ยๆ เริ่มเปลี่ยนเป็นชนบทอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยพงหญ้ารกร้าง ไร่นา ป่าสน โขดหินเชิงเขา ลงท้ายด้วยหน้าผาริมทะเลกว้างซึ่งแดดร่มจับประกายผิวน้ำเป็นลายริ้ว
ถึงภาพที่เห็นผ่านหน้าต่างจะงามพึงตาเพียงใด แต่ความสงสัยมีมากกว่า เพราะเท่าที่จำได้ ระหว่างขามาเธอไม่เห็นวิวทะเลสักหย่อมเดียว
นี่ไม่ใช่ทางกลับเซียน่าเมืองที่เธอเรียนอยู่แน่นอน ทว่าเมื่อคิดได้ทุกอย่างก็สายเกินแก้ ซ้ำร้ายยิ่งกว่าคือนอกเหนือจากนั้น เธอก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับรถไฟขบวนนี้อีกเลย ไม่ว่าจะเป็นที่หมายปลายทางของมัน สถานีที่มันผ่าน หรือแม้กระทั่งพิกัดสถานที่ซึ่งรถไฟกำลังวิ่งผ่านอยู่ในเวลานี้
จะอย่างไรก็ตาม ทั้งหมดทั้งมวลนั้นยังไม่น่าใจหายเท่าการที่เธอไม่ได้อยู่กับเพื่อนร่วมทริปของเธอ ถ้าเพียงแต่เขาอยู่ด้วย เธอคงอุ่นใจกว่านี้เป็นล้นพ้น ค่าที่อย่างน้อยก็ไม่ต้องหัวเดียวกระเทียมลีบอย่างที่เป็นอยู่
“คาสึยะๆ” อลิสาร้องแรกแหกกระเชอยังกับคนวิกลจริต ความกลัวแล่นครอบงำจิตใจจนชักจะคิดฟุ้งซ่าน และทุกๆ อย่างก็ดูจะเลวร้ายลงไปอีกหลายเท่าตัว เมื่อเธอไม่เห็นวี่แววของเพื่อนชาวแดนอาทิตย์อุทัยอยู่เลย
ตอนนี้คาสึยะคงอยู่บนรถไฟขบวนที่ถูกต้องแล้ว ‘รู้สิ่งใดไม่เศร้าเท่ารู้อย่างนี้’ วลีนี้ยังคงความศักดิ์สิทธิ์อยู่วันยังค่ำ...ธรรมดาเธอไม่อยากใช้วลีนี้ตอกย้ำความผิดพลาดของตัวเองสักเท่าไร แต่สำหรับครั้งนี้ เธออดไม่ได้ที่จะพูดว่ารู้อย่างนี้เธอไม่น่าแยกทางกับคาสึยะที่สถานีรถไฟปีซ่าเลย เธอมันช่างโง่เง่าอย่างเหลือแสน โง่อย่างชนิดที่ไม่สมควรจะได้รับการให้อภัยจากตัวเอง…
วิบากกรรมของอลิสายังไม่หมดแต่เพียงเท่านั้น เพราะสัญญาณอินเทอร์เน็ตส่งมาไม่ถึงโทรศัพท์มือถือของเธอในขณะนี้ การจะส่งข้อความติดต่อคาสึยะซึ่งเธอมีเพียงแอปพลิเคชันไลน์และอินสตาแกรมย่อมเป็นไปไม่ได้
“ที่นี่ที่ไหน เราจะทำไงดี” เด็กสาวพูดพร่ำเป็นภาษาไทย “เราจะกลับเซียน่ายังไง ใครก็ได้ช่วยเราด้วย ช่วยพาเรากลับเซียน่าที”
“บ่นอะไรไม่รู้เรื่อง หนวกหูโว้ย” ชายหัวโล้นที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่คนเดียวกระชากเสียงข้ามที่นั่งมาหลายแถว
“ช่วยฉันด้วยค่ะ ฉันจะไปเซียน่า รถขบวนนี้ไปไหนคะ”
“เธอพูดว่า ‘เซียน่า’ เหรอ” ฝ่ายนั้นอ้าปากหวอ “รถไฟขบวนนี้มันวิ่งขึ้นเหนือไปคาร์รารา ไกลจากเซียน่าเกือบ 200 กิโลเลย”
ฟ้ามืดลงทุกที แต่พอได้ยินประโยคนั้นใจเธอกลับมืดยิ่งกว่า
“นู่นๆ รถไฟกำลังจะจอดแล้ว สถานีอะไรไม่รู้ แต่ยังไงเธอรีบลงไปก่อนเถอะไป ไม่อย่างนั้นจะยิ่งไปเซียน่าลำบาก”
คำแนะนำจากผู้โดยสารผู้อารีนั้นผลักดันให้เธอตัดสินใจโดยไม่เสียเวลาตรอง ทันทีที่รถจอดเทียบชานชาลาของสถานีไม่ทราบชื่อ อลิสาก็รีบโจนลงจากขบวนรถ ทั้งที่ไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน แล้วเธอจะต้องทำอย่างไรต่อ
‘กัสตียอนเชลโล’ คือชื่อที่ปรากฏบนป้ายสถานีพื้นสีน้ำเงิน เธอไม่เคยได้ยินชื่อที่นี่มาก่อน ไม่ยักเคยได้ยินว่าอิตาลีมีสถานที่ชื่อนี้อยู่ด้วย
อาทิตย์อัสดงคงเหลือเพียงขอบบนที่โผล่พ้นขอบฟ้า อนธการแผ่รัศมีคลี่คลุมผืนฟ้าแทนที่แสงแดด เด็กสาวสอดส่ายใบหน้าถอดสีไปรอบกาย ที่นี่เหมือนเป็นชุมทางริมทะเล นอกจากตัวเธอก็ไม่เห็นมีเค้าลางของมนุษย์คนอื่นอีก
“ไม่นะ ไม่ ไม่” เธอละลนละลานพูดพร้อมน้ำตาที่เริ่มปริ่มหัวตา “มีใครอยู่ที่นี่บ้างไหม เราจะไปจากที่นี่ยังไงดี”
ในห้วงอารมณ์หดหู่ ท้อแท้ และสิ้นหวัง ใบหน้าคมคายของชายผมหยักศกสีน้ำตาลก็ผุดขึ้นมาดั่งแสงสว่างที่ส่องทางให้เห็นถึงก้นอุโมงค์ลึก เขาเป็นชาวอิตาเลียนคนเดียวที่เธอมีเบอร์โทรศัพท์ติดต่อ ด้วยอารามตื่นตกใจ เธอจึงรีบยิงสายหาเขาโดยไม่มีเวลาคิดคำนึงถึงความบาดหมางที่เธอมีต่อเขาอยู่
“มัตเตโอ” อลิสาแจ้งเหตุร้ายทันทีที่มีเสียงตอบรับจากปลายสาย “ช่วยฉันที ตอนนี้ฉันอยู่ที่สถานีรถไฟกัสตียอนเชลโลคนเดียว!”
ฟานตีโน่ทุกคนกำลังเข้าแถวเตรียมขึ้นหลังม้า แต่ก็มีคนหนึ่งที่ผลีผลามวิ่งตาลีตาเหลือกสวนทางแถวชาวบ้าน เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ต้องมาคุมตัวเขาไว้
“ปล่อยผมน่า ผมมีหน้าที่ต้องไป เพื่อนผู้หญิงของผมกำลังหลงทาง” มัตเตโอระเบิดคำสั่งพร้อมกับแหวกแนวกั้นของเจ้าหน้าที่ออกไป โดยมีสายตาแฝงความร้ายกาจของซิโมเน่มองตามหลังอย่างสาแก่ใจ
สถานีรถไฟริมชายหาดแห่งนั้นถูกทิ้งไว้ในบรรยากาศเปล่าเปลี่ยว พานให้ชายหนุ่มที่เพิ่งบึ่งรถจักรยานยนต์มาถึงรู้สึกขนลุกด้วยความหวั่นใจ
เสียงเครื่องยนต์รถเวสป้าที่ดับลงเรียกความสนใจของเด็กสาวที่นั่งหงอยอยู่บนม้านั่งข้างแปลงดอกไม้ได้ชะงัดนัก หากประสาทสัมผัสในตัวพร่าเลือนกว่านี้อีกสักหน่อยหนึ่ง เธอก็พร้อมจะเข้าใจว่านี่เป็นเพียงความฝัน เมื่อเห็นร่างซึ่งดูผ่ายผอมแต่แข็งแรงของชายในเครื่องแบบฟานตีโน่สีเขียว-ส้มตรงรี่มาหาเธอ
“มัตเตโอ...” น้ำเสียงของอลิสาเครือสะท้านจนได้ยินไม่เป็นคำ “ที่ฉันนั่นใช่เธอจริงๆ ใช่ไหม มัตเตโอของฉัน”
“ฉันเอง อาลิซ่า” น้ำเสียงฝ่ายชายก็ไม่ต่างกัน “นี่ฉันเอง”
เด็กสาวโผเข้ากอดชายหนุ่มเสียเต็มรัก เธอหลั่งน้ำตาใส่แผงอกของเขาจนเปียกปอน “ฉันขอโทษ มัตเตโอ ขอโทษที่...เคยโกรธเธอ”
“ไม่เป็นไรอาลิซ่า” เขารัดเรือนกายเธอเสียแน่น “แค่ตอนนี้มีเธออยู่กับฉันก็เพียงพอแล้ว ฉันไม่ต้องการพูดถึงเรื่องเก่าอีก”
อลิสาน้ำตาคลอ ลำแขนยังโอบอยู่รอบกายเขา
“ตอนนี้อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย เรากลับเซียน่าของเรากันเถอะ”
“มันกลับมาแล้ว คุณซิโมเน่”
หนึ่งในแก๊งที่จอดรถจักรยานดักอยู่ริมถนนทางเข้าเมืองยกโทรศัพท์รายงานทันทีที่เห็นรถคันที่ได้รับภารกิจให้จับตามองแล่นผ่านหน้า “น่าเสียดายที่ขาไปมันรีบขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้แหกโค้งตายไปอย่างที่เราตั้งใจซะก่อน”
“ถึงอย่างไรมันก็ชวดซ้อมครั้งสำคัญไปแล้ว แถมการที่มันบุ่มบ่ามขี่รถออกไปไกลถึงนู่นก็มีแต่จะทำให้มันเสียพลังงานไปเปล่าๆ”
“แล้วอย่างนี้จะให้พวกเราทำยังไงกับมัตเตโอดี”
“ตอนนี้รอไปก่อน” คนในสายลดเสียงเบาลง “รอให้แผนการที่ฉันวางให้ยายงั่งอินซุกใช้ไม่ได้ก่อน พวกแกค่อยลงมือในแบบของตัวเอง”