บ้านตระกูล คัง.
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมองค์รัชทายาทจึงส่งทหารมาที่นี่ แบบนี้พระชายาจะเป็นเช่นไรบ้างนะ”
“อืม หากวันนั้นเราสองคนไม่มัวเที่ยวเล่นอยู่ที่ตลาดแล้วหละก็....”
จีมินพูดไปพรางบ่อน้ำตารื้น ทั้งสองนั่งอยู่บริเวณศาลาภายในบ้านของใต้เท้าคัง
นับแต่วันที่พระชายาเสด็จจีมินและจีซูกลับมาจากตลาดก็ไม่พบพระชายาแล้ว แถมยังมีทหารจากพระราชวังบุกล้อมห้ามใครเข้าออกจากบ้าน ไม่มีการอธิบายสาเหตุหรือบอกกล่าวอะไรทั้งสิ้น มีเพียงคนเดียวที่รู้นั่นคือ ใต้เท้าคัง ท่านพ่อของพระชายาบัดนี้ใต้เท้าก็ยังไม่ออกมาพบปะผู้คน ยังคงขังตัวเองอยู่ในห้อง
“นี่ก็บ่ายมากแล้ว ข้าว่าเราเข้าไปเตรียมอาหารเถอะ”
“อืม คิดมากไปก็ไม่ช่วยอะไร”
ทั้งสองลุกขึ้นเดินตรงไปยังลานกลางบ้านแต่ต้องหยุดชะงักลง เมื่อเห็นว่ามีชายแปลกหน้าท่าทางสง่างามแต่ดูน่าสงสัยกำลังตรงเข้าไปยังตัวบ้าน
“นายท่าน ท่านเป็นใคร?!”
“หืม..?!”
จีมินดึงมือของจีซูตรงเข้าไปดักหน้าชายผู้นั้นไว้ จียงมองทั้งสองด้วยสายตาสงสัยก่อนจะคำนับเป็นการทักทายเล็กน้อย
“ข้ามีนามว่าจีมิน ส่วนนางชื่อจีซู ข้าทั้งสองเป็นนางในรับใช้ของพระชายาอียู ข้าไม่เคยเห็นท่านมาก่อน เหตุใดท่านจึงผ่านทหารเฝ้าประตูเข้ามาได้โดยง่าย?!”
“นามของข้าคือ ซอ จียง ยินดีที่ได้พบเจ้าทั้งสอง เพียงแต่ตอนนี้ข้าไม่สะดวกนักต้องขอตัวก่อน”
ท่าทางของเขาดูไม่แปลกใจกับสิ่งที่ได้ยินเลย กลับมีท่าทีนิ่งสุขุม
“ดะ เดี๋ยวสิท่านจียง ท่านมาพบใครอย่างนั้นหรือ?”
“นี่ จีมิน..!!”
จียงคำนับให้ทั้งสองอีกครั้งอย่างไม่เสียมารยาทแล้วเดินผ่านไป แต่จีมินไม่ยอมปล่อยให้เขาเข้าไปในบ้านได้ง่ายๆ เพราะด้วยสงสััยที่มาที่ไปของเขา จีซูรีบคว้าแขนของจีมินเพื่อห้ามปรามนางไว้
“ท่านยังไม่ได้ตอบคำถามของข้าเลย ท่านผ่านทหารเฝ้าประตูมาได้อย่างไร?”
จียงหยุดเดินแต่ก็ไม่ได้หันกลับมามองทั้งสอง
“ข้ามีเรื่องสำคัญต้องเข้าพบพระชายา หากเจ้าสงสัยอะไรในตัวข้าจงถามกับพระชายาเถิด”
“เฮ๊อะ!..ข้าว่าอยู่แล้วเชียว!!!”
อยู่ๆ จีมินก็ยกมือขึ้นกอดอกทำสีหน้าเย้ยหยั่นพรางเดินเข้าไปใกล้คนตัวสูง
“ทหารเฝ้าประตูไม่ได้บอกท่านหรอกหรือ ว่าพระชายาไม่ได้ประทับอยู่ที่นี่?”
“....!!”
“ท่านเป็นใครกัน กล้าดียังไงลักลอบเข้ามาในบ้านของพระชายาเช่นนี้?? ทหาร!!!..”
“นี่เจ้า!!”
จียงหันซ้ายหันขวาตกใจในการกระทำของจีมิน จริงอยู่ที่ทหารรายล้อมไปทั่วทั้งบริเวณไม่ต่างอะไรกับล้อมรั้ว หากคนในยังออกไปไม่ได้ คนนอกก็คงไม่ได้เช่นกัน ทางเดียวคือต้องลักลอบเข้ามาเท่านั้น
พรึบ!!
“เอะอะอะไรกัน?!”
“.....!!”
“ตะ ใต้เท้า!!!”
ใต้เท้าคังเปิดประตูออกก่อนจะตำหนิจีมินเสียงเรียบ นางจึงรีบเปลี่ยนท่าทีเป็นสงบนิ่งก้มคำนับให้แก่เสนาบดีคังในทันที จียงเห็นดังนั้นจึงก้มคำนับให้แก่เขา
“ใต้เท้า ชายผู้นี้ลักลอบเข้ามาโดยพละการ เช่นนั้น...!!”
“เจ้ามีเหตุอันใด จึงมาถึงที่นี่?”
ใต้เท้าคังยกมือปรามจีมินไว้ แต่กลับจ้องไปยังจียงเขม๋ง
“ข้า มาเพื่อพบพระชายาเป็นการส่วนตัวเพราะมีเรื่องสำคัญจะกราบทูล แต่ไม่คิดว่าพระนางจะไม่อยู่ ต้องขออภัยที่ข้ามารบกวน ข้าต้องขอตัว”
จียงคำนับให้ใต้เท้าคังด้วยท่าทีนอบน้อม ก่อนจะหันมาพบกับจีมินที่กำลังแยกเขี้ยวใส่ตนอยู่ด้านหลังจนต้องสะดุ้งเฮือก แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรจียงได้
หลังจากจียงเลือกที่จะกลับไปสืบทอดหัวหน้าตระกูล ซอ เขาถูกใต้เท้าคังคัดค้านเพราะเห็นว่าตนดูแลจียงมาเหมือนลูก จึงไม่อยากให้เขากลับไปรับชะตากรรมของตระกูล ซอ แต่คงทำได้เพียงห่วงอยู่ห่างๆ เพราะจียงได้เลือกทางเดินของเขาเองแล้ว เหตุนี้ใต้เท้าจึงเย็นชานักเมื่อเจอกับจียง
พระตำหนักกลาง.
“สวยงามมาเลยเพคะ”
“อืม”
องค์หญิงโซรองกำลังวาดรูปดอกไม้หลากหลายชนิด นางในต่างก็คอยชื่นชมใรฝีมือขององค์หญิงไม่ห่าง
“องค์หญิง!!”
“หืม เจ้าหายไปไหนมาหนะวอนฮี?!”
เสียงเรียกสั่นครือของวอนฮีดังมาแต่ไกล ปลุกให้โซรองเงยหน้าขึ้นจากภาพวาดหันไปสนใจนางแทน
“พวกเจ้าออกไปก่อน”
“...!!!”
วอนฮีนั่งลงข้างๆกับองค์หญิงก่อนจะหันไปบอกให้ขันทีพร้อมทั้งนางในทุกคนออกจากห้องไป ท่ามกลางความงุนงง
“เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อทุกคนออกไปหมดเหลือแค่องค์หญิงและวอนฮี องค์หญิงจึงถามขึ้นด้วยความสงสัย
“พระชายาเพคะ!!....”
“พระชายา ทำไมมีอะไร?!”
“หม่อมฉันบังเอิญได้ยินทหารกำลังผลัดเปลี่ยนเวรยามพูดกันว่า พระชายาถูกลักพาตัวไประหว่างเสด็จกลับบ้านเพคะ”
ตุบ!!
ผู้กันในมือเรียวหล่นลงบนภาพวาดจนน้ำหมึกเปื้อนไปหมด องค์หญิงนิ่งเงียบไปกับสิ่งที่ได้ยินจนวอนฮีหวั่นใจ
เรื่องแบบนี้ หรือว่านี่จะเป็นแผนของเสด็จแม่อีกแล้ว ข้าจะทำอย่างไรดี ความคิดในหัวตีกันวุ่นวายไปหมด
“แล้วตอนนี้ เสด็จพี่อยู่ที่ไหน?!”
“จากที่หม่อมฉันได้ยินมา องค์รัชทายาทและองครักษ์แทซันกำลังไปช่วยพระชายา แต่ยังไม่มีคำสั่งขอกำลังทหารจากองค์รัชทายาทเพคะ”
“ข้าต้องไปพบเสด็จแม่”
“อะ องค์หญิง!!! อย่าเพิ่งวู่วามเลยเพคะ”
“เจ้าจะให้ข้านิ่งเฉยได้อย่างไร เรื่องนี้ข้าจะลองทูลขอความยุติธรรมจากเสด็จแม่ พระนางอาจเปลี่ยนใจ”
“องค์หญิง หากไม่ใช่อย่างที่คิดเล่าเพคะ?!”
“เจ้าจะพูดอะไรกันแน่วอนฮี?”
วอนฮีกระอักกระอ่วน ดูจากสีหน้าขององค์หญิงแล้วไม่มีอะไรหยุดพระนางได้เป็นแน่ แต่ข่าวที่วอนฮีได้ยินมา ก็ไม่อาจปักใจเชื่อได้ว่าเป็นฝีมือของใคร
“หาก ไม่ใช่พระมเหสีเล่าเพคะ ถึงพระมเหสีจะเคยทำเรื่องเช่นนี้มาแล้วครั้งนึง แต่ครั้งนี้องค์หญิงด่วนสรุปเกินไปจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้”
“.....”
“องค์หญิง เรื่องนี้ตื้นลึกหนาบางเพียงไหนก็ยังไม่รู้ หม่อมฉันเพียงนำข่าวของพระชายามากราบทูล เพราะได้ยินว่านี่เป็นเรื่องที่องค์รัชทายาททรงเก็บเป็นความลับ ไม่อาจกระจายให้ผู้อื่นรับรู้ เกรงว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตเหมือนกับครั้งก่อน”
“เหตุใด เรื่องใหญ่เพียงนี้จึงคิดจะจัดการเพียงลำพัง”
“อาจจะทรงมีเหตุผลอื่นอยู่เป็นแน่ ทรงอย่ากังวลไปเลยเพคะ”
“.....”
วอนฮีวางมือลงบนมือเล็กที่กำลังสั่นเทาด้วยความกังวลขององค์หญิงโซรองด้วยความอ่อนโอน แม้จะบอกให้อย่ากังวลแต่ในใจย่อมรู้ดีว่าร้อนรนจนแทบจะนั่งไม่ติดกับที่ ถึงอย่างนั้นก็ก็จะตัดสินใจทำอะไรไม่ได้อย่างทีวอนฮีพูด
กึก!
“กินซะ”
“....!”
น่องไก่ชิ้นใหญ่ถูกฮีวอนยื่นให้ กลิ่นหอมกรุ่นนั่นเตะจมูกอียูอย่างจังแต่ก็ต้องจำใจเบือนหน้าหนีอย่างเสียดาย
“อย่ามายุ่งกับข้า”
“....”
“งั้น ขอข้าเถอะ!”
“เอ๋..!?”
ชายชุดดำที่นั่งอยู่อีกฟากของกองไฟรีบวิ่งเข้ามาหาฮีวอนด้วยสีหน้าดีอกดีใจก่อนจะคว้าน่องไก่ชิ้นนั้นจากมือฮีวอนไปหน้าตาเฉยทำให้อียูถึงกับมองตามอย่างคาดโทษ
ฮีวอนพร้อมด้วยลูกน้องอีกสองคน พาข้ามายังกลางป่าไม่ใกล้ไม่ไกลจากกระท่อมหลังเล็กก่อนหน้านี้นัก แม้จะไม่ได้ถูกกระทำอย่างโหดร้าย แต่ก็ไม่อาจวางใจได้เลยเพราะฮีวอนไม่ใช่ฮีวอนที่ข้าเคยรู้จักอีกแล้ว
พรึบ!
ฮีวอนทิ้งตัวนั่งลงบนหินก้อนใหญ่ข้างๆ กับอียูพรางชักดาบเล่มยาวออกมาขัดด้วยผ้าสีขาว
อียูมองไปยังร่างสูงไม่วางตา ทำเอาคนถูกจ้องถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างอึดอัดใจ
“เจ้ามีอะไร ก็พูดมาเถอะ”
“พูดแล้วเจ้าจะฆ่าข้าหรือเปล่า?”
“ถ้าข้าไม่ชอบ ก็ไม่แน่”
“....”
น้ำเสียงทุ้มต่ำไร้การล้อเล่นทำเอาอียูแอบกลืนน้ำลายลงคอไม่รู้ตัว ฮีวอนพูดจบก็หันกลับไปใช้ผ้าขัดถูกดาบเช่นเดิม
“เจ้ามีเหตุผลอะไร ทำไมจะต้องปรงพระชนองค์รัชทายาทด้วย?”
“เรื่องนั้น เจ้าไม่มีสิทธิ์ถาม”
“เจ้าจะได้อะไรจากสิ่งที่ทำ นอกจากจะถูกตามล่าและอาจต้องหนีไปตลอดชีวิต เจ้าไม่คิดถึงเรื่องนี้เลยหรือ พวกเจ้าหละ พวกเจ้าสองคนตรงนั้น?”
“....?!!”
“.....!!”
อียูพูดพร้อมกับหันไปหาชายสองคนที่กำลังกินไก่กันไม่สนใจ ทั้งสองหยุดและหันมามองอียูอย่างงงๆ
“พวกเจ้าสองคน อายุเท่าไรกัน ถึงได้ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาแบบนี้? อยากมีชีวิตหลบๆซ่อนๆแบบนี้ไปตลอดหรือไง?”
“ขะ ข้าโตแล้ว โตกว่าที่ท่านคิดเสียอีก หลบๆ ซ่อนๆ อะไรกัน จบงานนี้นายท่านยองมูก็กับพวกข้าก็จะเป็นอิสระ...อะ...!!”
“โอซอง เจ้าพูดมากเกินไปแล้วนะ กินเข้าไป!!”
ชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ด้านข้างยัดน่องไก่ในมืออุดปากเพื่อนของตนหวังจะให้เขาหยุดพูดไปมากกว่านี้ ฮีวอนลอบมองทั้งสองคนด้วยสายตาดุๆ จนทั้งสองต้องหลบสายตาลงต่ำตั้งหน้าตั้งตากินไก่ต่อไปเงียบๆ
“อิสระ งั้นหรือ? ข้าพอจะเข้าใจระ..”
“หึ อะไรที่เจ้าเข้าใจ เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำ ไม่สามารถทำให้เจ้าเข้าใจอะไรได้หรอก”
“ถูกของเจ้า ข้าอาจจะไม่เข้าใจทั้งหมด แต่มันไม่มีอยู่จริงหรอกนะอิสระอย่างที่เจ้าหวังเอาไว้ อิสระจากการช่วงชิงชีวิตของผู้อื่น ข้าไม่คิดว่ามันจะมีอยู่จริง”
“.....!”
ข้าน่าจะพูดแทงใจพวกเขาเข้าแล้วจริงๆ ฮีวอนที่เอาแต่ถูกดาบไม่ได้สนใจคำพูดของข้ากลับหยุดชะงักลงก่อนจะหันมามองที่ข้า
“คนที่ไม่มีความแค้นต่อกัน เหตุผลที่จะฆ่าองค์รัชทายาทสักข้อเจ้ายังไม่มี เจ้าคิดว่าคนที่สั่งให้เจ้าทำเรื่องเช่นนี้ จะปล่อยให้พวกเจ้ามีชีวิตอิสระตามที่หวังจริงๆหรือ?”
“หุบปากเดี๋ยวนี้นะ!!”
“...!!”
ชายหนุ่นที่ชื่อ โอซอง เมื่อครู่ลุกขึ้นพูดเสียงดังด้วยความโมโหมองไปที่อียูสายตาไม่พอใจ
“ข้าพูดอะไรผิด ฮีวอน เจ้าบอกคนของเจ้าไปสิว่าจบเรื่องนี้แล้วจะยังไงต่อ อย่าบอกนะว่าเจ้าก็คาดหวังอิสระจากคนที่สั่งให้เจ้าทำเรื่องแบบนี้”
“เจ้านั่นแหละที่ไม่รู้อะไรแล้วยังจะพูด!”
“โอซอง!”
“นายท่านมูยอง ท่านบอกนางไปสิว่าใต้เท้าชินไม่มีวันทำแบบนั้น ท่านทำตามคำสั่งของใต้เท้าอย่างดีมาตลอดไม่เคยพลาดแม้แต่ครั้งเดียว”
“.....!”
“ครั้งนี้ หากเราฆ่าองค์รัชทายาทสำเร็จ ใต้เท้าก็จะปล่อยเราไป ท่านบอกนางไปเสียที ว่านางกับองค์รัชทายาทนั่นแหละที่ต้องตายอยู่ที่นี่”
“ข้าบอกให้เจ้าเงียบ!”
“.....!!!!”
ฮีวอนตะวาดใส่โอซองเสียงดังสนั่นแววตาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ทำเอาเด็กหนุ่มหยุดฟุ้งซ่านก้าวถอยหลังอย่างหวาดกลัว
พรึบ!
โอซองเลือกที่จะหันหลังเดินออกไปอีกทางอย่างเงียบๆ โดยมีชายหนุ่มอีกคนเดินตามเขาไปด้วยสีหน้าหม่นหมองไม่ต่างกัน