“ความลุ้นระทึกเป็นมนตร์เสน่ห์อย่างหนึ่งของปาลิโอ...”
รองศาสตราจารย์กัปเปลลีกล่าวขึ้นท่ามกลางเสียงเกือกม้ากระทบพื้นดินเป็นจังหวะ “พวกเราลุ้นกันตั้งแต่จับฉลากแล้ว เพราะเซียน่ามีคอนตราดาทั้งสิ้นสิบเจ็ดคอนตราดาด้วยกัน ในจำนวนนี้จะมีเพียงสิบคอนตราดาเท่านั้นที่โชคดีได้รับเลือกให้ลงแข่งในปาลิโอครั้งหนึ่งๆ อีกเจ็ดคอนตราดาที่เหลือต้องรอปีหน้า จึงจะได้ลงแข่งอัตโนมัติ ส่วนสามคอนตราดาที่ขาดไปก็ใช้วิธีจับฉลากเอา”
“แต่ปาลิโอมีปีละสองรอบ คือรอบวันที่ 2 กรกฎาคมกับรอบวันที่ 16 สิงหาคมไม่ใช่หรือคะ” อลิสากะพริบตาปริบๆ
“ปาลิโอทั้งสองรอบจัดขึ้นคนละวัตถุประสงค์และไม่เกี่ยวข้องกัน รอบกรกฎาคมก็ส่วนเดือนกรกฎาคม รอบสิงหาคมก็ส่วนเดือนสิงหาคม ทั้งสองรอบคัดเลือกผู้เข้าแข่งขันแยกจากกัน เพราะงั้นคอนตราดาบางแห่งอาจได้แข่งทั้งสองรอบ บางแห่งได้ลงแค่รอบเดียว บางแห่งทั้งปีก็ไม่ได้ลงเลย”
ใช้เวลาคิดตามร่วมนาที ในที่สุดเธอก็เข้าใจ
“ทีนี้เธอเล่าให้ฉันฟังบ้างสิ ทำไมเธอถึงมารู้จักกับมัตเตโอได้” ผู้เป็นครูเปลี่ยนเรื่องถามขณะที่บุคคลที่สามกำลังควบม้าอยู่ไม่ไกล
“เรื่องมันยาวน่ะค่ะ” นิสิตตอบอ้อมแอ้ม “หนูพักอยู่ที่หอสเปรันดีเย แล้วเขาเป็นคนดูแลที่นู่นทุกวันศุกร์ เจอหน้ากันบ่อยจนรู้จักกัน”
ผู้ผ่านชีวิตมาครึ่งค่อนศตวรรษเมียงมองแววตาและสีหน้าของคนรุ่นลูกอย่างพินิจพิเคราะห์ แม้เขาจะอ่านใจเธอออกตั้งแต่แรกเห็น แต่เขาก็มีมารยาทพอจะไม่จี้ถามในเรื่องที่ตนสังเกตเห็นให้เธอต้องพิพักพิพ่วนใจ
“เรื่องนั้นฉันพอเดาได้” เอนโซ่ยิ้มในหน้า “แต่นึกไม่ถึงว่าเธอจะมีสัมพันธ์อันดีกับมัตเตโอถึงขั้นที่ไปไหนมาไหนกับเขาได้ กระทั่งที่นี่ก็มา”
คำเย้าแหย่ด้วยความเอ็นดูของผู้อาวุโสกลับเป็นชนวนให้เด็กสาวคิดหนัก เป็นอีกครั้งแล้วที่อลิสาต้องถามตัวเองว่าเธอคิดดีแล้วหรือไม่ ที่เลือกสานสัมพันธ์กับผู้ชายที่นี่โดยที่รู้ทั้งรู้ว่าเวลาของเธอมีจำนวนจำกัด ซึ่งวันนี้ก็ล่วงมาเกือบจะถึงครึ่งทางแล้ว...อีกไม่ช้าก็เร็ว วันแห่งการพลัดพรากก็ต้องมาถึง
“นั่นสิคะ” อลิสาเปิดยิ้มอ่อนใจ “หนูเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน”
“ฉันจำเป็นต้องฝึกมัตเตโอให้เข้มข้นกว่าคนอื่น เพราะจนป่านนี้ก็ยังไม่มีเทศมนตรีมาทาบทามขอตัวเขาไปเป็นตัวแทนให้คอนตราดาของตน” เจ้าของผมสีขาวเริ่มประเด็นใหม่ “แย่กว่านั้นคือวงการปาลิโอมันถูกขับเคลื่อนด้วยการให้สินบาทคาดสินบน มีการจ่ายใต้โต๊ะกันเป็นเรื่องปกติในทุกกระบวนการ ตั้งแต่จับฉลากคอนตราดาที่ได้แข่ง จับฉลากเลือกม้า วางตำแหน่งจุดออกตัว กระทั่งตอนลงแข่งจริง ก็ยังอุตส่าห์ไปฮั้วกันให้เอื้อประโยชน์ต่อคนใดคนหนึ่ง”
“ทำแบบนี้ไม่ผิดกติกาหรือคะ” คนฟังอดจะทึ่งไม่ได้
“จะว่าผิดหรือถูกก็คงต้องดูว่าคนส่วนใหญ่ยอมรับหรือทำกันไหม ซึ่งเผอิญคนส่วนใหญ่รับได้ที่ปาลิโอเป็นแบบนี้ ก็เลยทำกันเป็นล่ำเป็นสัน”
เอนโซ่พ่นควันบุหรี่อึกสุดท้ายก่อนขยี้ครึ่งมวนที่เหลือกับที่เขี่ย
“ส่วนฉันเป็นพวกไม่นิยมสินบน ไม่ใช่เพราะคุณธรรมจ๋าหรอกนะ ก็แค่ฉันคิดว่าผู้ชนะตัวจริงจะต้องยืนหยัดได้ด้วยลำแข้งตัวเองเหมือนกับต้นไม้ใหญ่ ไม่ใช่อิงอาศัยความช่วยเหลือจากผู้อื่นเหมือนวัชพืชที่ผู้คนดูถูกดูแคลน”
“คุณเป็นครูที่ดีมากค่ะโปรเฟสซอเร หนูชื่นชมคุณตั้งแต่ในห้องเรียนแล้ว” สาวไทยสรรเสริญจากความรู้สึกที่จริงแท้
“เป็นครูที่ดีไปก็เท่านั้น ถ้าลูกศิษย์ลูกหาไม่ทำตามก็จบเห่ ฉันโชคดีมหาศาลที่ในบทบาทผู้ฝึกสอนปาลิโอได้ลูกศิษย์ดีอย่างมัตเตโอ” รอยยิ้มละมุนอยู่บนดวงตาที่หางตาเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัยขณะเอ่ยถึงเรื่องนี้ “มัตเตโอเป็นคนหนักเอาเบาสู้ ไม่ว่าฉันให้ซ้อมหนักขนาดไหนเขาก็ไม่เคยเกี่ยงงอน เขามีความมุ่งมาดปรารถนาจะลงสังเวียนปาลิโอมาก เพราะว่าฟาบิโอพ่อของเขาเป็นฟานตีโน่ที่มีผลงานการแข่งดีมากในอดีต นั่นทำให้เขาอยากเจริญรอยตามพ่อ”
“จริงหรือเปล่าคะ” อลิสาอ้าปากค้าง “ทำไมเขาไม่เคยเล่าเรื่องพ่อแม่ให้หนูฟังเลย พอหนูถามก็ไม่ตอบ เหมือนกับว่าเขาไม่มีพ่อแม่ยังไงยังงั้น”
แววความเคร่งเครียดส่องวาบขึ้นมาในดวงตาของเอนโซ่ ก่อนที่เขาจะพูดต่อด้วยสุ้มเสียงเบาปานกระซิบ “เขาเป็นลูกนอกสมรสที่พ่อไม่ยอมรับ แม่ของเขาแยกทางกับพ่อภายหลังอยู่กินกันได้ไม่นาน ที่แม่ของเขาระเห็จไปอยู่ถึงซาแลร์โนก็เพราะไม่ต้องการให้สามีมาก้าวก่ายชีวิตเธออีก ส่วนตัวเขาเมื่อเติบโตขึ้นก็ได้รับรู้ความยิ่งใหญ่ในอดีตของพ่อ และอยากเป็นให้ได้อย่างพ่อของตนเอง เพื่อให้ใครต่อใครที่เคยหมิ่นเกียรติยอมรับว่าเขาก็เป็นลูกคนหนึ่งของฟาบิโอ กัปเปลลี”
เด็กสาวพลอยสะเทือนใจกับความจริงที่ตนได้รู้ หากความสะเทือนใจนั้นมาคู่กันกับความรู้สึกผิดที่ตัวเธอเองเข้ามาวอแวชีวิตเขาในช่วงโค้งสุดท้าย เสมือนกับตัวถ่วงซึ่งฉุดรั้งไม่ให้มัตเตโอบรรลุฝั่งฝันที่เขามั่นหมายมานานนม
เสียงม้าวิ่งทั้งดังและกระชั้นเข้ามาโดยลำดับ เมื่ออาจารย์และนิสิตแห่งมหาวิทยาลัยสำหรับชาวต่างชาติหันมอง ก็พบชายหนุ่มควบม้ามุ่งหน้ามา
“ขอบคุณพวกคุณมากครับ” มัตเตโอพูดเป็นคำแรกเมื่อทั้งสองคนส่งกระติกน้ำและผ้าเช็ดหน้าให้เขา คนบนหลังม้ามีชะงักนิดหนึ่งเมื่อผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้ ซึ่งเขาก็หยิบมันมาซับเพื่อปิดบังสีหน้าของตนจากสายตาคนทั้งคู่ ก่อนจะโจนลงจากม้า แล้วจูงสายบังเหียนไปผูกกับขอนไม้ใกล้ตัว
“วันนี้ได้รับบาดเจ็บตรงไหนอีกมั้ย” เอนโซ่ถามอย่างนึกห่วง
“ไม่มีแล้วครับ โปรเฟสซอเร ผมระวังตัวมากขึ้น”
“ดีแล้ว ช่วงนี้ถ้าถนอมร่างกายได้ก็รีบถนอมไว้เถอะ เน้นซ้อมเบาๆ เข้าไว้ เธอเหลือเวลาพักฟื้นไม่มาก หากง่อยเปลี้ยเสียขาขึ้นมาจะยุ่งเอา”
มัตเตโอเบนสายตามาหาอลิสาอย่างมีเรื่องจะพูดกับเธอ ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของเขาที่ฝากไว้กับเธอก็สั่นรัวเพราะสายเข้า
“นี่จ้ะ” เด็กสาวส่งมือถือให้อย่างรู้งาน
เจ้าของเครื่องไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบกดปุ่มรับสายด้วยความร้อนใจทันทีที่เห็นชื่อเพื่อนร่วมงานบนหน้าจอโทรศัพท์ได้ถนัด เป็นที่รู้กันในหมู่พนักงานของเมนซ่า ซานตากาธา ว่าเพื่อนคนนี้หวงค่าโทรศัพท์ยิ่งชีพ หากไม่ใช่เพราะเหตุเร่งด่วนแล้วไซร้ ก็คงไม่มีเหตุผลใดให้นายคนนี้โทรหาตนแน่
“ว่าไงนะ” มัตเตโอหน้าถอดสี น้ำเสียงจากรีบร้อนแปรเปลี่ยนเป็นละล่ำละลักติดขัดตั้งแต่ประโยคแรกที่ได้ยิน “ที่ไหน เมื่อไหร่ ยังไง”
ท่าทีที่พลิกผันของเขาพานให้อลิสากับเอนโซ่พลอยตกใจตามไป
“ก็ได้ ฉันจะรีบไปทันที รอเดี๋ยวนะ” คุยเสร็จเขาก็รีบตัดสาย
“เกิดอะไรขึ้นหรือ มัตเตโอ” ผู้ฝึกสอนใจหายใจคว่ำ
สายตาของคนหนุ่มแลสลับไปมาระหว่างผู้สูงวัยกับสาวรุ่นน้องชาวตะวันออก ความตระหนกผสมเคลือบแคลงสะท้อนให้เห็นในแววตาของคนทั้งคู่ และอาจเป็นเพราะแววตาที่ฝ่ายหญิงมองมา เขาจึงไม่กล้าบอกความจริงด้วยเกรงว่าเธอจะพานเกลียดหรือกลัวเมืองนี้ที่เขารักยิ่งชีพ
“ผมมีธุระด่วน ต้องรีบไปเดี๋ยวนี้เลย” มัตเตโอไม่เปิดโอกาสให้ใครได้ไถ่ถาม “ฝากคุณพาอาลิซ่ากลับด้วยนะครับ โปรเฟสซอเร”
อาคันตุกะหนุ่มนั่งไขว่ห้างพลางปรายตามองไปรอบห้องรับแขกแนวตอสกานาซึ่งตบแต่งอย่างหรูหราอลังการด้วยความตื่นเต้น ในตอนที่แม่บ้านชาวฟิลิปปินส์เดินนำหน้าพาชายชราผู้เป็นเจ้าของบ้านมาหา
“คนนี้แหละค่ะ ที่มาขอพบเจ้านาย” เธอแนะนำก่อนถอยห่าง
ร่างที่อ้วนตันจนพุงใหญ่ๆ แอ่นไปข้างหน้าหยุดยืนข้างเตาผิงมโหฬารอย่างใช้ความคิด ใบหน้าอูมเต็มไปด้วยกระและรอยยับย่นปรากฏแววความหงุดหงิดชั่วแวบ กระนั้นผู้ชราภาพก็ยังลงท้ายด้วยยิ้มหยัน เมื่อผู้น้อยเป็นฝ่ายลุกขึ้นทักก่อน
“บวนจอร์โน ซิญญอเรโบรจี” ซิโมเน่เอ่ยอย่างมีจริตพองาม
“นายเองรึ ซิโมเน่ เบียงโคเนรี ที่คนเขาร่ำลือกัน” คนอ้วนตุ๊ต๊ะยกมือลูบปลายหนวดดำเหลือบเทาที่หนาเป็นปื้น “เด็กรุ่นนายรู้จักฉันด้วยหรือ”
“รู้สิครับ” ชายหนุ่มยอ “สำหรับชาวเซเนเซ่ที่มีปาลิโออยู่ในสายเลือด จะมีใครไม่รู้จัก ‘อิล กิกันเต’ ผู้เรืองนามแห่งยุค 80’ บ้าง”
เจ้าของวิลล่ามูลค่าเฉียดยี่สิบล้านยูโรหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างถูกเส้น พาความชื่นชมสมใจมาสู่คนกล่าวอวยด้วยรู้ว่าตนทำคะแนนเพิ่มได้อีกแต้ม
นามกรของชายชราคนนี้คือ จอร์โจ โบรจี อดีตแชมเปียนส์ปาลิโอหลายสมัยภายใต้สมญานามประจำวงการว่า ‘เจ้ายักษ์’ หรือ ‘กิกันเต’ ตามรูปร่างที่ใหญ่โตเหนือกว่าฟานตีโน่คนอื่น ในยุคที่เขาผงาดสู่จุดสูงสุดของอาชีพฟานตีโน่ เขามีศัตรูตัวฉกาจอยู่สองสามคนซึ่งมักขัดขวางเขาไม่ให้ไปถึงแผ่นผ้าไหมอยู่สองคนด้วยกัน คนแรกคือ ‘เวนตอชโช’ เอนโซ่ กัปเปลลี ผู้มาจากคอนตราดาป่า
ส่วนคนที่สองเพิ่งเปิดตัวในวงการช่วงที่ตัวเขาเริ่มโรยรา เป็นดั่งแจ๊คผู้ฆ่ายักษ์ผู้สกัดกั้นเขาจากตำแหน่งแชมป์ปาลิโอตั้งแต่ครั้งแรกที่ลงสนามจวบจนวันสุดท้ายในสมรภูมิชิงผืนไหมของเขา นั่นคือ ‘ฟูลมีเน่’ ฟาบิโอ กัปเปลลี
จำเนียรกาลผ่านไป จอร์โจหรือกิกันเตในวันนี้แทบไม่เหลือเค้าความเป็นนักแข่งม้าหลังเปล่าเมื่อหลายสิบปีก่อน คงเพราะหลังจากปลดระวางตนเองในวัยห้าสิบปีแล้ว เขาได้หันมาเอาดีด้านการเพาะพันธุ์ม้าแข่ง กอปรด้วยปฏิภาณไหวพริบของอาชีพพ่อค้าอันสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนของตระกูลเขา ไม่ช้าเขาก็กลายเป็นนักธุรกิจม้าแข่งรายใหญ่ผู้ส่งออกสินค้าของตนไปทั่วยุโรป นำมาซึ่งความร่ำรวยมหาศาลและความกินดีอยู่ดีซึ่งแสดงออกทางรูปร่างดังที่เห็น
และด้วยฐานะที่ดีเกินหน้าเกินตาชาวบ้านในคอนตราดาเดียวกันนี้เอง ที่เป็นปัจจัยสำคัญ ช่วยเกื้อหนุนให้เขาได้รับเลือกจากเพื่อนบ้านให้เป็นเทศมนตรี มีอำนาจเด็ดขาดในการบริหารจัดการคอนตราดา โดยเฉพาะในเรื่องปาลิโอ
“แว่วมาว่านายเป็นคนของคอนตราดาเสือดาวหรือ” จอร์โจทัก
“ซิ” แขกหนุ่มยกยิ้ม “ตระกูลผมอยู่คอนตราดานี้มานานนับสิบรุ่นแล้ว เป็นเสือดาวทั้งตัวและหัวใจเชียวล่ะครับ”
“แล้วลมอะไรหอบนายมาบ้านเทศมนตรีคอนตราดาเต่าที่อยู่ติดกันอย่างฉันเล่า” เทศมนตรีร่างอ้วนถามอย่างนึกตลกพลางหย่อนก้นมหึมาลงบนโซฟาสีถั่วลิสงตัวโปรด ชาวเซเนเซ่ต่างรู้กันว่าในชีวิตพวกเขาไม่มีอะไรเจ็บแสบเท่าการที่เห็นคอนตราดาข้างๆ ซึ่งเป็นคู่แข่งกันเองได้รับชัยชนะปาลิโอ
ถึงตรงนี้ที่สีหน้าของซิโมเน่เปลี่ยนจากยิ้มสุภาพเป็นเคร่งขรึมจริงจัง “จริงอยู่ที่คอนตราดาของเราจะเป็นอริกัน แต่เราก็มีฟานตีโน่เป็นศัตรูร่วมกัน”
“ฉันเดาว่านายคงหมายถึงเจ้าเด็กฝึกคนนั้นของเอนโซ่สินะ”
“คุณรู้เรื่องนี้ด้วยหรือ” ฟานตีโน่หนุ่มจอมเสเพลนิ่วหน้าอย่างอดตะลึงในความรอบรู้เรื่องราวต่างๆ ของอีกฝ่ายไว้ไม่อยู่
“ไม่มีอะไรในปาลิโอที่ฉันไม่รู้” จอร์โจตอบอย่างอวดศักดา
“ถ้าอย่างนี้คุณก็คงรู้แล้วว่าไอ้มัตเตโอมันเป็นลูกเต้าเหล่าใคร”
ชายแก่คลายลำแขนที่กอดอกอยู่ “จริงอย่างที่คนเขาลือกันหรือเปล่า เพราะตามที่ฉันรู้มา ก่อนตายไอ้ฟาบิโอมันไม่เคยมีลูกเต้าสักคน”
“ผมเองก็ไม่รู้ แต่เจ้าบัสตาร์โดนั่นก็ถือเป็นจริงเป็นมากว่ามันสืบเชื้อสายมาจากนักแข่งฉายาฟูลมีเน่คนนั้น” ซิโมเน่หยั่งเสียง “แล้วคุณก็คงรู้ว่าฟูลมีเน่เป็นคนของคอนตราดาป่า ซึ่งเป็นคอนตราดาอริกับคอนตราดาเสือดาวของผม”
“เรื่องนั้นฉันรู้ดีกว่าพวกคอนตราดาป่าเองซะอีก”
“ผมเอาเกียรติและศักดิ์ศรีทั้งหมดในตัวเป็นพยานได้เลย เจ้าบ้านั่นจะต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนไปฝากตัวกับคอนตราดาป่าแน่ๆ เพราะตลอดชีวิตของมันโหยหาแต่ความเป็นชาวเซเนเซ่ อยากให้พ่อยอมรับในตัวมันมาตลอด”
“ก็เออน่ะสิ มันไปมาแล้วด้วย แต่ถูกพวกนั้นถีบหัวมันส่งกลับมา เพราะเห็นว่ามันยังไม่เคยแข่งมาก่อน เรื่องอะไรไอ้พวกคอนตราดาใหญ่ที่ทิฐิมานะสูงอย่างพวกป่าจะยอมรับฟานตีโน่หน้าใหม่อย่างมันเล่า”
“แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะมันมีตาแก่หัวหงอกเอนโซ่คอยให้ท้ายอยู่” น้ำเสียงคนหนุ่มเจือความแค้นยามเอ่ยถึงอดีตผู้ฝึก
“นั่นคือเรื่องที่นำพานายมาพบฉันในวันนี้หรือ” จอร์โจรู้เท่าทัน
“ถูกต้องแล้วครับ” ซิโมเน่หันมาประสานสายตากับเทศมนตรีคอนตราดาเต่าที่ทอดรออยู่ก่อนแล้ว “ผมมาพร้อมกับข้อเสนอสุดพิเศษให้กับคุณ”
“ไหนว่ามาซิ รีบบอกมาก่อนที่ฉันจะต้องไปทำธุระอย่างอื่น”
“ตอนนี้ผมได้รับเลือกจากคอนตราดาบ้านเกิดให้เป็นฟานตีโน่รอบเดือนหน้า แต่ผมมันก็แค่ฟานตีโน่หนุ่ม ลงแข่งปาลิโอมาไม่กี่หน และยังไม่เคยเป็นแชมป์ปาลิโอที่เซียน่ามาก่อน ส่วนคุณเป็นหัวเรือใหญ่ของคอนตราดาตัวเอง ย่อมคาดหวังถึงผลชนะมากกว่าฝ่ายผมอยู่แล้ว”
ชายชราหรี่ตามองท่าทีของผู้มาเยือนอย่างคาดเดาไม่ถูก
“คุณจะว่าอย่างไร ถ้าหากผมจะช่วยให้คอนตราดาเต่าของคุณเป็นแชมป์ เพราะผมก็แค่อยากขัดแข้งขัดขาไอ้มัตเตโอเล่น ส่วนคุณใฝ่ฝันถึงแชมป์ ทั้งยังเกลียดหน้าพ่อและอาจารย์ของหมอนั่นมานานนับสิบๆ ปี”
ได้ยินดังนั้น จอร์โจ โบรจี ก็หัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ “เป็นความคิดที่ดีทีเดียว ฉันชอบคนมีความคิดนักเลงๆ อย่างนายซะด้วยสิ”
“ตกลงใช่มั้ยครับ จอร์โจ” ซิโมเน่ส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ซาวเสียง
“ตกลง” ผู้ทรงอิทธิพลไม่ลืมถาม “อยากได้อะไรเป็นข้อแลกเปลี่ยน”
“ก็ไม่มีอะไรมาก ผมแค่ถูกเอนโซ่ไล่ออกมา ตอนนี้ยังไม่มีม้ากับสถานที่ให้ซ้อม ก็คงจะขอความอนุเคราะห์จากคุณเท่านี้ก่อน”
“ถ้าแค่นั้นฉันก็ไม่มีปัญหา” จอร์โจลืมตาขึ้นมอง “แต่แน่ใจนะว่านายไม่ได้มีอะไรให้ฉันช่วยเหลือมากกว่านี้แล้ว เป็นต้นว่าอุบัติเหตุนิดๆ หน่อยๆ”
ฟานตีโน่แห่งคอนตราดาเสือดาวยิ้มอย่างรู้ทันกันว่าอะไรคือ ‘อุบัติเหตุนิดๆ หน่อยๆ’ ที่เจ้าของบ้านเอ่ยถึง ซึ่งเขาได้โคลงศีรษะปฏิเสธ
“ตอนนี้ผมยังไม่จำเป็นต้องพึ่งความช่วยเหลือด้านนี้จากคุณหรอกครับ” ชายหนุ่มมองออกไปเบื้องหน้าด้วยความสะอกสะใจ “เพราะก่อนจะมาพบคุณที่นี่ ผมได้ใช้บริการคนอื่นไปก่อกวนมัตเตโอก่อนแล้ว”
ด้านหน้าห้องผู้ป่วยฉุกเฉินของโรงพยาบาลประจำเมืองเซียน่าซึ่งคลุ้งด้วยกลิ่นยา ชายหนุ่มพบเพียงหญิงวัยกลางคนผิวสี รูปร่างอ้วนเผละ เกล้าผมเดรดล็อกไว้ที่ท้ายทอย ซึ่งเอาแต่นั่งก้มหน้าด้วยความเศร้าหมองบนม้านั่งยาว
“เธอคือมัตเตโอหรือ” นางเงยหน้าขึ้นมาทักเมื่อเห็นเขาด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าห้องด้วยความเร่งร้อนระคนเป็นห่วงบ่วงใย
“ซิ” มัตเตโอคะเนจากสายตาตนเอง “คุณคงเป็น...”
“ฉันเป็นเมียโรแบร์โต” คู่สนทนาตอบแทนพร้อมกับยกง่ามนิ้วหัวแม่มือขึ้นป้ายตาที่หลั่งน้ำตาจนเหือดเบ้า “ขอบใจที่มาเยี่ยมนะ ตอนนี้อาการผัวฉันดีขึ้นแล้ว พอพูดคุยได้แล้ว แต่พวกหมอพยาบาลยังอยากให้เขาพักผ่อนต่ออีกสักนิดก่อน เลยยังไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปเยี่ยมแกข้างใน”
คำตอบนั้นพานให้ชายหนุ่มถอนหายใจยาวอย่างไม่เคยทำมาก่อน
“ขอให้พระเจ้าคุ้มครองแกนะครับ” เขาพูดอย่างชวนคุย “ได้ยินอย่างนี้ผมค่อยสบายใจหน่อย ถ้าเมนซ่าของเราขาดแกไปก็คงกระไรอยู่”
“คงอีกหลายวันแหละ กว่าเขาจะกลับไปทำงานได้ตามปกติ” หญิงวัยทองพูดโดยปราศจากน้ำเสียง “ระหว่างที่โรแบร์โตพักฟื้นตัว ฉันจะไปช่วยงานในส่วนของเขาแทนให้ แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ฉันอยากจะขอร้องเธอ”
“เรื่องอะไรหรือครับ”
“อย่าไปแข่งปาลิโอได้ไหม” ภรรยาหัวหน้างานร่ำร้องหน้าสลด “ตอนที่ผัวฉันโดนทำร้าย เจ้าคนร้ายมันฝากคำขู่มาถึงเธอด้วย บอกว่าอย่าไปแข่งปาลิโอเป็นอันขาด ได้โปรดเถอะนะมัตเตโอ เห็นแก่โรแบร์โตที่เจ็บอยู่เถอะ”
ฟานตีโน่รูปหล่อนิ่งอึ้งด้วยนึกไม่ถึงว่าแท้ที่จริงสาเหตุที่หัวหน้างานครัวของเขาถูกทำร้ายจะมีสาเหตุมาจากตัวเขาเอง