คลิปวิดีโอที่ส่งมาบนแอปพลิเคชันสนทนายอดฮิตของชาวตะวันตกตั้งแต่เช้ามืดวันนั้น ถึงแม้จะมีความยาวเพียงหนึ่งนาทีถ้วน แต่มันกลับดึงความสนใจของผู้รับสารไว้กับมันได้ตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นจวบจนยามสายเลยทีเดียว
“บัวนาเซรา โปรเฟสซอเร” กล้องหน้ามือถือฉายภาพเสี้ยวหน้าของชายหนุ่มผู้มีใบหน้าและทรงผมเป็นเอกลักษณ์ชนิดดูออกทั้งในความมืด กล้องที่ถือในมือมีแรงสั่นสะเทือนเล็กน้อย สอดคล้องกับเสียงกุบกับของม้าวิ่ง “สายัณห์สวัสดิ์ คุณเอนโซ่ เวลานี้ดีไม่ดีคุณอาจจะเข้านอนไปแล้ว แต่ผมอัดคลิปนี้มารายงานให้คุณทราบว่าผมไม่ได้หนีซ้อม เช่นเดียวกับวันก่อนที่คุณเข้าใจผิดไป”
ชายผมขาวดูวิดีโอนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าระหว่างนั่งอยู่บนโต๊ะอาหาร ความจดจ่อต่อวิดีโอนั้นพานให้เขาทิ้งกาแฟคัปปุชชีโนและครัวซองเย็นชืด
“พรุ่งนี้เช้าผมมีหน้าที่ต้องทำ ถือว่าผมมาซ้อมล่วงหน้าของวันพรุ่งนี้แล้วนะครับ” คือประโยคสุดท้ายของคนอัดวิดีโอบนหลังม้ามารายงานตัว
“เธอทำแบบนี้เพื่ออะไร มัตเตโอ” เอนโซ่ถอนสายตาจากหน้าจอแท็บเล็ตตั้งโต๊ะ “เธอทำอะไรบ้าอะไรของเธอเนี่ย”
ใช่เพียงผู้แนะเคล็ดวิชาให้เขาเท่านั้นที่รู้สึกเช่นนี้ เพื่อนร่วมสำนักของเขาที่ได้รับวิดีโออีกตัวหนึ่งก็ดุจเดียวกัน
“วันนี้ฉันมาซ้อมตั้งแต่สี่ทุ่ม อัดวิดีโอมาเป็นหลักฐานยืนยันเรียบร้อย นายไม่ต้องใส่ไคล้ฉันให้เอนโซ่ฟังแล้วนะพวก” คนในคลิปกระแทกแดกดัน
“แกมันบ้าไปแล้ว ไอ้เวรมัตเตโอ” ซิโมเน่ เบียงโคเนโร โยนมือถือราคาแพงลงบนเตียงฟูกหนานุ่ม “ผิดสำแดงอะไรของแก อะไรกันที่ทำให้แกขยันบึ่งออกไปซ้อมผิดเวล่ำเวลาอย่างนี้ นี่แกกำลังมีความลับอะไรอยู่หรือเปล่า”
ผู้ตกอยู่ในอารมณ์ขุ่นมัวฉุกใจคิดขึ้นได้จากคำบริภาษของตัวเอง
“แกกำลังมีความลับอะไรอยู่หรือเปล่า” หนุ่มล่ำสันให้สัตย์ปฏิญาณกับตนว่าถึงอย่างไรเขาก็ต้องล้วงความลับเรื่องนี้ให้จงได้ ก่อนจะรีบอาบน้ำแต่งตัว คว้ากุญแจรถสปอร์ตบุ่มบ่ามออกจากวิลล่าของตนเพราะความใคร่รู้
ถนนพื้นทรายที่คดเคี้ยวตามภูมิประเทศเส้นนั้นสงบร่มรื่นด้วยพรรณไม้รายทางที่ขึ้นคลุมไหล่เขาจนมีสภาพเป็นผืนป่าย่อมๆ ข้อดีของความเป็นเส้นทางคือการที่ผู้ขับขี่ไม่ต้องคอยระมัดระวังรถคันอื่นแซงหรือสวน ทว่าข้อเสียที่มาคู่กันคือถนนทั้งเส้นขาดการดูแลจนรถเวสป้าสีฟ้าอ่อนต้องกระเด้งกระดอนด้วยสภาพพื้นที่ขรุขระด้วยกรวดหินดินทรายที่เกลื่อนกลาดตลอดทาง
“โอ๊ย! ว้าย! ระวังหน่อยสิ!” ความสงบของถนนสายนั้นหมดสิ้นไปพร้อมๆ กับคำอุทานของเด็กสาวที่นั่งซ้อนท้าย ขายกขึ้นเป็นพักๆ ด้วยเกรงว่าคราบฝุ่นและเศษดินบนพื้นจะจับขากางเกงยีนสีอ่อนของตน
ทว่าหนุ่มคนขับยังนั่งนิ่ง ตามองข้างหน้า มือบิดแฮนด์ราวไม่นำพา
“ถามจริงเถอะนะ ทางอื่นมันไม่มีแล้วหรือยังไง ทำไมเธอต้องตะลุยมาทางนี้” อลิสาอดจะโวยไม่ไหว ด้วยทางที่มัตเตโอพามาบุกป่าฝ่าดงด้วยนั้นมีสภาพเสมือนหนึ่งคันนาในชนบทบ้านเธอ เรียกว่าถนนยังหรูไป
“ก็เธอว่าอยากรีบไปถึงแต่ละที่ให้เร็วไม่ใช่หรือ อยากถึงเร็วก็ต้องพึ่งทางลัดอย่างนี้แหละ” เจ้าของจักรยานยนต์สัญชาติอิตาเลียนแท้สวนคำ
อีกไม่กี่อึดใจให้หลัง ทางลัดซึ่งมีสภาพไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่ในประเทศโลกที่หนึ่งก็มุ่งมาบรรจบกับถนนลาดยางมะตอยอย่างดี เห็นทิวภาพตึกอิฐสีน้ำตาลแลลานตาอยู่เบื้องหน้า โดยมียอดหอระฆังตอร์เร เดล มันจา ของอาคารสภาเมือง กับโดมและยอดอาสนวิหารประจำเมืองสูงเสียดเมฆช่วยขับเน้นความงาม
นิสิตจากสยามเมืองยิ้มเหม่อมองนครเก่าแก่ด้วยความเปรมใจ ยิ่งเห็นเธอก็ยิ่งรู้สึกคิดถูกที่เลือกมาเรียนภาคฤดูร้อนที่นี่ แทนที่จะจมอยู่กับบรรยากาศเก่าๆ ของเมืองไทย อันจะนำความซึมเซาของเรื่องราวในวันวานมาหลอกหลอนเธอได้ไม่รู้จบ เหมือนดังระลอกคลื่นที่กระทบหาดทราย...ระลอกแล้ว...ระลอกเล่า
“สวยใช่มั้ยล่ะ” มัตเตโอ กัปเปลลี ซักขึ้นหลังจากปล่อยให้เธอพรึงเพริดกับความงามของถนนเส้นใหม่ได้สักครู่ “บางครั้งคนเราก็ต้องรู้จักเอาตัวรอดจากอุปสรรคก่อน จึงจะได้พบจุดหมายที่สวยงาม เธอว่ามั้ย”
“อุปสรรคของเธอทำเอาขากางเกงฉันเปื้อนหมดเลยล่ะ” เด็กสาวไม่ได้อยู่ในอารมณ์จะคล้อยตามเทศนาโวหาร “เพราะอะไรเธอถึงได้ว่างพาฉันมาวันนี้ล่ะมัตเตโอ ฉันเห็นทีแรกเธอยังบ่นว่ายุ่งๆ อยู่เลยนี่นา”
มโนภาพของหนุ่มอิตาเลียนฉายรูปของเธอนั่งกินอาหารกลางวันกับไอ้หนุ่มยุ่นคนนั้นเมื่อหลายวันก่อน นึกแล้วมัตเตโอก็ชักจะฉุนขึ้นมา
“ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเพื่อนชายของเธอจะพาเธอไปหาวิวในเมืองนี้ได้ดีเท่าคนอยู่ที่นี่มาหลายปีอย่างฉัน” เขาหลุดวาจาแคะไค้ออกไป
“เพื่อนชายอะไรที่ไหน” อลิสาพยายามนึก
“ก็คนญี่ปุ่นที่มาเมนซ่ากับเธอไง” น้ำเสียงเขาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
ได้ยินดังนั้น หญิงชาวไทยค่อยนึกออก “อ๋อ คาสึยะ”
“ชื่ออะไรก็ช่างเถอะ” มัตเตโอตัดความ “ทำไมเธอไม่ชวนเจ้านั่นไป แทนที่จะมาชวนฉันซึ่งเธอก็เห็นๆ อยู่ว่ามีงานต้องทำมากมาย”
“เธอน่าจะรู้ที่ทางในเซียน่าดีกว่าเขา” คนซ้อนคิดจะเอาใจคนขับ
“ก็คือหามัคคุเทศก์” เขาตีความไปอีกทาง ไม่รู้แซวเล่นหรือพูดจริง
“ส่วนหนึ่งก็ใช่แหละ” อลิสาหน้ามุ่ย “อันที่จริงก็คือฉันไม่ได้สนิทกับเขามากพอจะชวนเขาไปไหนมาไหน ถึงเขาจะเคยชวนฉันไปเที่ยวด้วยก็เถอะ”
คนหึงค่อยโล่งใจได้เปลาะหนึ่งแล้ว กระนั้นก็ไม่วายจะลองใจเธออีก
“วันนั้นฉันเห็นพวกเธอกะหนุงกะหนิงกันยังกับคู่รักเลย”
“ไม่ใช่ซะหน่อย เธอคิดไปเองทั้งนั้น” ผู้ถูกหึงโดยไม่รู้ตัวรีบปฏิเสธ ใจนึกถึงสีหน้าท่าทางของคาสึยะทุกเวลาที่เขาเอ่ยชื่ออินซุก “เขาไม่ใช่คู่รักของฉัน และให้ตายยังไงเราก็ไม่มีวันจะเป็นคู่รักกันแน่ เพราะเขามีคนรักของเขาอยู่แล้ว”
นั่นแหละคำตอบที่คนขี่เวสป้าคาดหวังจะได้ยิน ชายหนุ่มแอบซ่อนรอยยิ้มน้อยๆ ไว้บนใบหน้าที่มองตรงไปข้างหน้า ก่อนที่เขาจะเล่นพิเรนทร์ด้วยการเหยียบเบรกจนตัวโก่ง ทั้งที่ไม่มีอะไรขวางทาง ทั้งหมดก็เพื่อแกล้งเธอ
“ว้ายตายแล้ว!” เด็กสาวสบถเป็นภาษาไทยขณะตัวเธอพุ่งไปด้านหน้า ต้องอาศัยลำตัวของคนขับเป็นที่ยึดเหนี่ยว “ทำไมอยู่ๆ เธอก็หยุดล่ะ” เธอถามทั้งที่หน้ายังซบหลัง เช่นเดียวกับสองแขนที่ไม่คลายจากกายเขา
“ตาฝาดน่ะ เห็นอะไรไม่รู้ที่พื้น นึกว่าเป็นหอยทาก” มัตเตโอด้นข้ออ้างฉับพลันทันใด “สงสัยเป็นเพราะมากับคนอยู่คอนตราดาหอยทากมั้ง”
“ตาบ้านี่ ขับต่อไปเลย ไม่ต้องมาเล่นแผลงๆ งี้อีกแล้วนะ” อลิสาสั่งด้วยน้ำเสียงฉุนกึก แต่แล้วก็ต้องกลั้นยิ้มให้กับสัมผัสอบอุ่นเมื่อครู่ที่ผ่านมา
ปากกาหมึกซึมที่ถืออยู่ในกำมือของนิสิตชาวญี่ปุ่นสั่นพร่าประหนึ่งมันได้รับถ่ายทอดแรงสั่นสะเทือนจากสันมือข้างที่ตนใช้เคาะประตูห้องพักของเด็กสาว หลังจากที่คนดูแลหอพักประจำวันนี้ให้อนุญาตเขาขึ้นมาเพราะไม่สามารถติดต่อเจ้าของห้องได้
“เชา...” เด็กหนุ่มลองเรียก “มีใครอยู่ในห้องนี้มั้ย”
คาสึยะรอจนอ่อนใจ ประตูห้องจึงถูกเปิดออก โดยคนที่ยืนอยู่อีกฟากประตูถลึงตาชั้นเดียวของตนมองเขาด้วยความชิงชังห่างเหิน
“มาทำไม ถือวิสาสะอะไรมาที่นี่”
“เชา...อินซุก” เขายื่นปากกาในมือให้ “อาลิซ่าอยู่มั้ย”
“ไม่อยู่ ออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้าแล้ว” สาวหุ่นเพรียวลมในชุดสายเดี่ยวค่อนข้างจะรัดรูปยกมือกอดอกเพื่อปกปิดของสงวนจากสายตาผู้ชายที่ตนไม่ชอบขี้หน้าที่สุดในเซียน่า “มีธุระอะไรก็รีบว่ามาเร็วเข้าสิ”
“รูมเมทของเธอลืมปากกาด้ามนี้ไว้ที่ห้องเรียน ฉันเลยเอามาคืนให้”
“ยายเอ๋อนี่ก็ช่างขี้ลืมซะไม่มี” สาวเกาหลีด่ารวดเดียวสองคน “แต่นั่นคงไม่ใช่สาเหตุที่คนไม่เจียมน้ำหน้าอย่างแกต้องดั้นด้นมาถึงนี่หรอกใช่มั้ย”
“เพื่อนในห้องเรียนฉันเก็บได้ เห็นฉันสนิทกับอาลิซ่า เลยฝากฉันถือมาให้” เขาใช้ขันติข่มอารมณ์ตลอดเวลาที่ให้คำตอบ
“ส่งปากกามานี่” อินซุกมีท่าทีขยะแขยงเมื่อรับของจากอีกฝ่าย เธอจึงอดไม่ได้ที่จะออกปากไล่เขาทันทีที่หมดธุระต่อกันแล้ว “ไสหัวกลับไปได้แล้ว แล้วก็ไม่ต้องเสนอหน้ากลับมาที่นี่อีกเลยนะ ไอ้ยุ่นสกปรก”
“เราเรียกที่นี่ว่า ฟอร์เตซซา เมดีเชอา - ป้อมปราการของเมดีชี”
กำแพงอิฐสูงเคียงตึกสามชั้นแผ่อาณาบริเวณอยู่ตรงหน้าเมื่อมัตเตโอกล่าวแนะนำชื่อสถานที่พลางถอนกุญแจออกจากตัวรถ ตัวป้อมปราการนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อเกือบห้าร้อยปีก่อน สมัยที่ฟลอเรนซ์ภายใต้การปกครองของดยุคตระกูลเมดีชีผู้เรืองเดชแผ่ขยายอิทธิพลเข้าครอบงำเซียน่า ปัจจุบันร่องรอยความยิ่งใหญ่ของตระกูลเมดีชีก็ยังหลงเหลือให้เห็นบนป้อมแห่งนี้จากรูปสลักตราประจำตระกูลขนาบข้างด้วยประติมากรรมวีรบุรุษสองนายบริเวณหัวมุมกำแพงป้อม
“ทุกเช้าวันพุธที่นี่จะมีตลาดนัดราคาถูกมาออกร้านขายกัน วันไหนถ้าเธอเบื่อเรียนก็โดดเรียนมาเดินดูของได้ บางทีเธออาจจะได้ของที่ระลึกดีๆ ติดมือกลับไป” ชายหนุ่มแนะนำ ก่อนแหงนหน้ามองยอดกำแพงที่ต้นไม้ใหญ่ขึ้นแผ่ก้านใบเขียวชอุ่ม “บนนั้นวิวสวย เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวชั้นดีที่ตากล้องชอบมาถ่ายรูปกัน”
“เธอจะไปกับฉันด้วยใช่มั้ย” เด็กสาวมีท่าทีหวาดๆ เมื่อรู้ว่าตนต้องขึ้นไปบนป้อมปราการโบราณซึ่งดูวังเวงแม้ยามกลางวัน
“แน่นอน” มัตเตโอยักคิ้ว “ฉันไม่ปล่อยสุภาพสตรีไปคนเดียวหรอก”
ในศตวรรษที่ 21 บนป้อมตระกูลเมดีชีแทบไม่เหลือเค้าลางของความเป็นป้อมปราการอีกแล้ว พื้นที่โดยรอบได้ถูกปรับปรุงทัศนียภาพเป็นสวนสาธารณะบนที่สูง พื้นปูหญ้าเขียว ไม้พุ่มกับไม้ต้นถูกมาลงไว้อย่างเป็นระเบียบ บริเวณที่ในอดีตอาจเป็นที่ตั้งปืนใหญ่ถูกทดแทนด้วยเสาไฟสนามโคมเดี่ยว ชุดโต๊ะปิกนิกกระจุกตัวอยู่ฝั่งหนึ่งถูกทิ้งว่างเหมือนจะรอคอยการใช้บริการจากคนมาเยือน ซึ่งในเวลานี้มีเพียงชายหนุ่มกับเด็กสาวหนึ่งคู่ผู้มีถิ่นกำเนิดอยู่ห่างกันคนละซีกโลก
อลิสาแปลกใจมากที่บนนี้ไม่มีนักท่องเที่ยว ทั้งๆ ที่ยอดป้อมปราการแห่งนี้เปิดโล่งและอยู่สูงเสียจนสามารถเก็บภาพเมืองเซียน่าได้โดยรอบ แต่นั่นก็นับเป็นเรื่องดี ค่าที่เธอสามารถถ่ายภาพพาโนรามาทุกองศาทุกมุมได้หนำใจ ไม่ต้องเหนื่อยกับการยกกล้องหลบหัวคนหรือแย่งชิงจุดยุทธศาสตร์ในการตั้งกล้อง
“มุมนี้สวยแฮะ” เธอขมุบขมิบปากพลางกดชัตเตอร์บันทึกภาพยอดตึกที่เรียงรายเป็นภูเขาเลากาอยู่ไกลๆ เท้าก้าวไปข้างหลังอีกหนึ่งก้าวเพื่อหามุมที่คิดว่าภาพวาดของพ่อจะออกมางามที่สุด ทันใดนั้นเธอก็ต้องสะดุ้งให้กับร่างของใครบางคน กล้ามเนื้อของเขาชัดเจนจนสัมผัสได้แม้เพียงชั่วประด๋าวที่กายต้องกัน
“เธอนี่” เด็กสาวรักษาอาการแทบไม่อยู่ “...ฉันตกใจหมด”
ชายหนุ่มผู้จงใจมายืนขวางถามยิ้มๆ “ถ่ายมาได้เยอะมั้ย”
“เยอะ” อลิสาแสร้งทำเสียงเข้ม “ตอนนี้มีสิบห้ารูปได้ ค่อยไปเลือกอีกทีว่ามุมไหนเหมาะกับสไตล์วาดรูปของพ่อฉันมากสุด”
“ฉันยังไม่เคยเห็นรูปวาดฝีมือพ่อเธอเลย อยากรู้นักว่าสวยขนาดไหน”
“ก็สวยสำหรับศิลปินไทย แต่ถ้าเทียบกับศิลปินยุโรป ก็อาจจะไม่เท่าไหร่” บุตรสาวจิตรกรเอกแห่งเมืองกรุงเก่าออกตัว
“ขอฉันดูหน่อยได้มั้ย” มัตเตโอทำท่าสนใจ
“ได้สิ” เธอตอบพลางอวดภาพที่บันทึกไว้เป็นอัลบั้มในมือถือ “ส่วนใหญ่พ่อฉันถนัดวาดวัดเก่า เพราะจังหวัดอยุธยาบ้านพวกเรามีวัดมากมาย”
“สไตล์พ่อเธอดูคล้ายๆ ดา วินชี ยังไงไม่รู้สิ” เขาปรารภออกมาเมื่อเห็นว่าต้นไม้ใบหญ้าที่เป็นพื้นหลังช่างดูเนียนและแปลกตา
“ฮั่นแน่ แสดงว่าเธอก็ตาถึงเหมือนกันนะเนี่ย” อลิสาให้เหตุผล “ถูกเลยล่ะ พ่อของฉันมี เลโอนาร์โด ดา วินชี เป็นแบบอย่างในการวาดภาพ ท่านชอบลงรายละเอียดทิวทัศน์ของธรรมชาติที่อยู่ด้านหลัง หนึ่งในวิธีการที่ฉันเห็นพ่อชอบทำมาตั้งแต่จำความได้คือการเอานิ้วหัวแม่มือเกลี่ยสีทั่วๆ ตอนหลังมาเรียนอิตาเลียนกับครูวัฒน์ที่ฉันเคยเล่าให้ฟังนั่นแหละ ถึงได้รู้ว่ามันเป็นเทคนิคเฉพาะตัวของดา วินชี ที่พ่อคงไปเรียนรู้มาจากครูจิตรกรรมของท่านอีกที”
“ฉันเองก็ชอบงานศิลปะของดา วินชี เหมือนกัน”
“ฉันยิ่งชอบเขามากขึ้นเมื่อได้เรียนรู้อัตชีวประวัติของเขา” นิสิตหญิงถือโอกาสอวดภูมิเรื่องชีวิตช่วงต้นของศิลปินผู้มาจากเมืองวินชีที่ได้เรียนมา “พ่อฉันอาจจะนับถือดา วินชี แค่ในความอัจฉริยะของเขา แต่ฉันทึ่งมากกว่าที่ลูกนอกสมรสอย่างเขาสามารถยืนหยัดอยู่ในสังคมเจ้าขุนมูลนาย และทำให้คนเหล่านั้นยอมรับในฝีมือและความอัจฉริยะของตัวเขาได้” เธอทอดเสียงยาวเพื่อคิดคำศัพท์ ก่อนถามเขาเพื่อความแน่ใจ “เขาเรียกว่าพวก ‘บัสตาร์โด’ ใช่มั้ย...คำว่าลูกนอกสมรสน่ะ”
ใจมัตเตโอรัดลีบอยู่ในอกยามได้ยินคำนั้นกระเด็นออกจากปากเธอ ถ้อยคำประณามที่เขาต้องตากหน้าทนมาตลอดชีวิต ซึ่งทวีหนักขึ้นเมื่อมาอยู่เซียน่า
“ซิ” เขาไม่อยากพูดอะไรมาก “คำนั้นแหละ ถูกแล้ว”
“เธอเป็นอะไรหรือเปล่า” อลิสาจับพิรุธเขาได้จากน้ำเสียงและแววตา
“ไม่มีอะไร ฉันแค่เมื่อย อยากนั่งพักเหนื่อยสักแป๊บ” ชายหนุ่มทรุดกายลงพิงโคนต้นไม้ เหยียดขาไปข้างหน้า ขณะที่อลิสาทำตาม
“แล้วทำไมไม่บอกแต่แรก เธอทำฉันตกใจหมด” เธอยิ้มในดวงตา
“เธอชอบเซียน่าหรือเปล่า อาลิซ่า” มัตเตโอถือทีถามเมื่ออีกฝ่ายนั่งลงพิงต้นไม้ข้างกันกับเขา ไหล่ชนไหล่กันอย่างไม่ถือตัว
สาวไทยมองหน้าเขาอย่างครุ่นคิดก่อนพรายยิ้มจะถูกจุดขึ้นที่ขอบปาก
“ก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยรู้จักเมืองนี้ จนกระทั่งครูวัฒน์แนะนำให้มาเรียน ฉันถึงได้รู้จัก” ตาของเด็กสาวลอยไปยังเมืองเก่าแก่ที่ดูสวยงามใต้ฟ้าสีคราม “ส่วนในตอนนี้ มันเกินคำว่าชอบไปแล้ว ฉันตกหลุมรักเมืองนี้ซะแล้วสิ”
ชายหนุ่มแย้มยิ้มพลางก้มดูแสงแดดที่ทอดทแยงเงาไม้เป็นลายดอกดวงบนหัวเข่าตน พลันเอ่ยประโยคที่ยากจะเดาความนัยจากน้ำคำและน้ำเสียง
“วิวนี้สวยนะ” เขาพูดเหมือนคนละเมอ “นอกจากสวยแล้วยังเป็นส่วนตัว บ่อยไปที่คู่รักชาวเซเนเซ่ควงแขนกันมารอดูอาทิตย์ตกดินจากตรงนี้”
เด็กสาวหน้าแดง รีบกระเถิบตัวห่างจากเขาด้วยรอยยิ้มที่เธอกลั้นไว้
“พูดเหมือนกะคนมีประสบการณ์มาก่อนเลยนะ” อลิสาได้ทีโยนความกดดันคืนให้เขา “เธอเคยควงสาวที่ไหนมาชมพระอาทิตย์ตกบ้างรึเปล่า”
ใบหน้าแต้มยิ้มบางของมัตเตโอส่ายน้อยๆ
“ฉันไม่เคยมีแฟนมาก่อน วันๆ แทบไม่ได้ใกล้ชิดกับผู้หญิงที่ไหน” เขานึกจะขยายความด้วยซ้ำไปว่าเธอคือคนแรกและคนเดียวของเขา แต่เมื่อคิดได้ว่ามันรังแต่จะทำให้ตนดูเป็นไก่อ่อนเปล่าๆ จึงเปลี่ยนเป็นถามเธอแทน “แล้วเธอเล่า อาลิซ่า ฉันไม่เคยถามเธอมาก่อนเลยว่าเธอ...มีคู่รักอยู่ที่ตายลานเดียไหม”
นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำสนิทของเด็กสาวหน้าคมจ้องตอบเขม็งยังใบหน้าของคนถาม อลิสา บุญประยูร นึกไม่ถึงว่าความกดดันที่เพิ่งผลักไสให้เพื่อนชาวอิตาเลียนไป จะสะท้อนกลับมาหาตนไวเพียงไม่กี่ประโยคคั่น
“ฉันเคยเกือบจะมีแฟนคนนึง เขาชื่อ ธัชทวี” เธอเริ่มพูดหลังจากเงียบกันไปครู่หนึ่ง “เป็นคนหน้าตาดี เล่นกีฬาเก่ง และเป็นที่หมายปองของสาวๆ หลายคนทั้งในคณะเดียวกับพวกเรา และคณะอื่นในมหาวิทยาลัยเดียวกัน”
มัตเตโอ กัปเปลลี ย่นคิ้วฟังอย่างสนอกสนใจ
“ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจุดเริ่มต้นที่เขามาสนใจฉันมีที่มาจากอะไร แต่เราก็คบหาดูใจกันตั้งแต่เพิ่งขึ้นชั้นปีหนึ่ง มีอะไรๆ ต่อกันมากมาย จนเมื่อไม่นานนี้ ฉันจับได้คาหนังคาเขาว่าอีตาธัชที่ฉันเคยเข้าใจว่าเขารักฉันมาตลอด หักหลังฉันด้วยการแอบคบซ้อนกับรุ่นพี่คณะครุศาสตร์ที่เคยเลิกกับเขาไป ก่อนจะมาจีบฉัน...”
น้ำตาหยดหนึ่งร่วงเผาะลงราวกับใบไม้ที่หล่นรายรอบตัว “จนวันนี้ฉันก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองบกพร่องตรงไหน ฉันไม่ดียังไง ธัชเขาถึงได้แทงข้างหลังฉันอย่างนี้ ทั้งๆ ที่ฉันเคยรักเขาอย่างที่คิดว่าคงจะรักใครเท่านั้นไม่ได้อีกแล้ว”
“เป็นเรื่องน่าเศร้า” ชายหนุ่มหลุบตาลง “ฉันเสียใจกับเธอด้วย”
“เธอไม่ต้องเสียใจกับมันหรอก เพราะมันไม่ใช่เรื่องของเธอ อีกอย่างคือมันผ่านไปแล้ว” อลิสาขืนใจยิ้มพลางแย้งด้วยน้ำเสียงล่องลอยสวนทางกับวาจา “ที่รู้อยู่ตอนนี้ก็คือ ฉันกลายเป็นคนขาดความมั่นใจในตัวเองกว่าเก่าเสียอีก แย่กว่าคือฉันเริ่มติดจะมองคนในแง่ร้าย และไม่ไว้ใจผู้ชายง่ายๆ อย่างเก่าแล้วล่ะ”
“แล้วทำไมเธอถึงกล้าเล่าเรื่องแสลงใจแบบนี้ให้ฉันฟังล่ะ” เขาย้อนหน้านิ่ง “ถ้าไม่ใช่เพราะเธอไว้ใจฉันซึ่งเป็นผู้ชายคนหนึ่งเหมือนกัน”
ไม่มีคำตอบเล็ดลอดจากริมฝีปากสั่นระรัวคู่นั้น ใช่อย่างที่เขาพูดไหมหนา เด็กสาวผู้มีบาดแผลในใจยังคงต้องทบทวนความรู้สึกตนเองต่อไป
“ฉันขออะไรจากเธออย่างหนึ่งได้ไหมอาลิซ่า” มัตเตโอกล่าวต่อ “ขอให้เธออย่ามองฉันเหมือนผู้ชายคนอื่นที่เธอเคยเจอมา ไม่ว่าคนนั้นหรือคนไหนๆ เพราะฉันเป็นคนหนึ่งที่พร้อมจะให้ความไว้เนื้อเชื่อใจกับเธอได้เสมอ โดยเฉพาะในวันนี้ที่เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่เหลือใครเป็นที่พึ่งในเมืองเล็กแห่งนี้”
“ทำไมเธอถึงได้พูดอย่างนั้นล่ะ มัตเตโอ” อลิสายังไม่สู้มั่นใจในคำยืนยันของเขา แววตาของเธอมีคำถามอัดแน่นอยู่นับหมื่นล้านคำ
“ไว้วันหนึ่งเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ฉันจะเล่าให้เธอฟังเอง” บุรุษตรงหน้าให้คำมั่นพลันเอ่ยตอบอย่างมีเงื่อนงำ “ในเวลานี้เธอรู้เพียงว่าเธอเป็นคนที่ทำให้ฉันรู้สึกมีค่าในตัวเองมากที่สุด...เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”