ตาขาวปูดโปนตัดกับผิวกายดำสนิทเพ่งมองมาด้วยแววตากระด้าง พานให้เด็กสาวที่กำลังฝืนทำใจดีสู้เสือส่งยิ้มแห้งอย่างจะสร้างความสนิทสนม ไม่ก็เรียกกำลังใจให้กับตัวเอง ระหว่างที่ปากเอื้อนถามเสียงหวานออกไป
“บวนจอร์โน ซิญญอเร” เธอหลุบตาดูนาฬิกาให้แน่ใจในเวลาอีกที “อรุณสวัสดิ์ เอ่อ หนูหมายถึงสวัสดีตอนกลางวันค่ะ คุณสุภาพบุรุษ”
“อยากกินอะไรก็สั่งมา ไม่ต้องมากพิธี” หัวหน้าพนักงานโรงอาหารตัวโตรวบรัดเหมือนกับตนเกิดมาเพียงเพื่อทำหน้าที่ตักอาหารเท่านั้น
“หนูไม่ได้มาสั่งอาหารกับคุณหรอกค่ะ” อลิสาโบกมือเมื่อคู่สนทนาคว้าทัพพีกับจานขึ้นมา “แค่จะมาถามเฉยๆ ค่ะว่ามัตเตโออยู่ไหมคะ”
ชาวแอฟริกันรุ่นพ่อวางภาชนะลง กำปั้นเท้าสะเอวข้างหนึ่ง
“มัตเตโอไหนล่ะสาวน้อย ตั้งแต่ฉันทำงานที่นี่มาสิบห้าปี มีคนชื่อมัตเตโอทั้งหมดสามคน คนหนึ่งเป็นพนักงานทำความสะอาด คนหนึ่งทำครัว อีกคนเป็นทั้งคนทำความสะอาดและทำครัว เธอหมายถึงคนไหน” เขาถามกลับอย่างยียวน คงตั้งใจยั่วประสาทเธอเล่น ด้วยเหตุที่เธอมารบกวนเวลาทำงานเขา
อลิสาได้แต่หัวเราะขื่นๆ ทั้งที่ในใจนึกอยากตบสักป้าบ ถ้าเพียงแต่คนพูดเป็นน้องสาวจอมจุ้นของตน ไม่ใช่ตาลุงผิวสีตัวมหึมาชนิดยืนบังเธอมิดได้สบาย จริงสิ เธอก็เพิ่งนึกได้ว่าชื่อมัตเตโอเป็นชื่อยอดนิยมอันดับต้นๆ ของชายชาวอิตาเลียน รู้อย่างนี้น่าจะถามชื่อนามสกุลมาให้ครบถ้วน จะได้ไม่ต้องลำบากชักแม่น้ำทั้งห้าตอบ
“มัตเตโอคนที่ผอมๆ ไว้ผมหยักศกยาวๆ ฟูๆ เหมือนรูปปั้นเดวิด อบพิซซ่าที่เมนซ่านี้ แล้วก็ทำงานเฝ้าหอพักเวีย เดลเล สเปรันดีเยด้วยน่ะค่ะ” เด็กสาวถือคติกวนมากวนกลับไม่โกง เธอลงรายละเอียดเสียลึก แต่ก็ละที่จะพูดว่าตานั่นว่าหล่อไปด้วย แม้ใจจะเฝ้าย้ำคำนั้นกับตัวเองอยู่ทุกขณะจิตก็ตาม
“เจ้าหน้าหล่อมัตเตโอที่วันๆ เอาแต่ตะลอนๆ ไปซ้อมขี่ม้านั่นน่ะเหรอ”
อลิสาอ้าปากค้าง ถ้าเธอฟังอิตาเลียนสำเนียงประหลาดนั่นไม่ผิด เขาพูดว่า ‘ขี่ม้า’ กริยาที่ได้ยินมันใช่มัตเตโอเดียวกับที่เธอรู้จักจริงหรือ
“ดูเอาเองแล้วกันว่ามันอยู่มั้ย ถ้าอยู่มันก็คงเฝ้าประจำที่ที่หน้าเตาอบแล้ว” หนุ่มใหญ่ประชดและตั้งท่าจะหันกลับไปรับออเดอร์จากนิสิตอิตาเลียนที่เพิ่งมาถึง แต่แล้วฝ่ามือที่คุ้นเคยก็ตบเข้าที่ต้นแขนมหึมาของเขาอย่างจัง
“โอ๊ย ไอ้มัตเตโอ” หัวหน้าคนงานโพล่งขึ้นด้วยความหงุดหงิด
“ตะกี้นี้พูดถึงผมว่าไงนะ น้าโรแบร์โต”
“ไม่รู้ไม่สนแล้วโว้ย ลูกค้ามารอแล้ว มีอะไรก็คุยกันเองแล้วกัน” โรแบร์โตตัดรำคาญด้วยการหันไปตักสปาเก็ตตีให้เด็กสาวอีกคนที่รออยู่
ชายหนุ่มทอดสายตาดูหัวหน้างานกุลีกุจอส่งจานด้วยสายตาแสดงอารมณ์ขบขัน ก่อนที่ตาคู่นั้นจะเลื่อนมองคนที่ดั้นด้นมาหาตนโดยเฉพาะ
“เธอมาหาฉันเหรอ” คนในชุดเครื่องแบบสีขาวถามขึ้นขรึมๆ “จะมาทำไม ฉันจะเก็บครัวอยู่แล้ว มาเอาป่านนี้ ไม่มีพิซซ่าหน้าดีๆ ให้กินหรอกนะ”
“ฉันมาหาแกเพราะจะซื้อพิซซ่าซะที่ไหนล่ะตาบ้า” เธอเรียบเรียงคำด่าเป็นภาษาไทยเสร็จสรรพ แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป นี่ไม่ใช่เวลามาต่อล้อต่อเถียง
“เธอว่างแล้วก็ดี ฉันมีเรื่องจะขอให้ช่วยหน่อย”
“ช่วยอะไรอีก” ชายหนุ่มถามก่อนจะเอ่ยขัดจังหวะ “กินอะไรมารึยัง ฉันเหลือพิซซ่ามาร์เกริตาอีกถาด ไม่อยากจะเก็บข้ามคืน เสียดายของ”
เจอมัดมือชกเสียขนาดนี้ อลิสาไม่มีทางเลือกใดนอกจากยอมรับ
“เอามาก็ได้ค่ะ” เธอกระแทกเสียง ข่มใจไม่ให้นึกถึงตัวเลขบนเครื่องชั่งที่จะเพิ่มขึ้นมาอีกกี่ขีด ค่าที่กินพิซซ่ากับเจลาโตแทบจะวันเว้นวัน
“ดี ฉันจะได้ไปอบให้ รอเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ” มัตเตโอที่วันๆ เอาแต่ตะลอนๆ ไปซ้อมขี่ม้ามองตาเธออย่างคาดหวัง แล้วจึงพูดต่อ “ฉันเองก็กำลังหิวอยู่ เธอคงไม่ว่าอะไรนะ ถ้าฉันจะขอปันพิซซ่าถาดเดียวกันกับเธอด้วย”
ถ้าหากว่าตอนนั้นเมนซ่า ซานตากาธา ยังอยู่ในเวลาทำการที่คึกคักด้วยประดานิสิตนักศึกษา ทุกคนที่มาใช้บริการโรงอาหารก็คงตื่นตาตื่นใจกับภาพนิสิตชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่กำลังนั่งรับประทานพิซซ่าถาดเดียวกับพนักงานอบพิซซ่าประจำเมนซ่าแห่งนั้นด้วยท่าทางที่ดูเป็นกันเองจนไม่น่าเชื่อ
พิซซ่าสีธงชาติอิตาลีด้วยใบโหระพาสีเขียว ชีสสีขาว และส่วนประกอบจากมะเขือเทศสีแดง พร่องไปจนเกือบหมด สวนทางกับมหากาพย์การติดตามทวงคืนโทรศัพท์มือถือจากโรงแรมที่โรมซึ่งชายหนุ่มได้รับรู้มากขึ้นทีละน้อย
“ก็เลยมาขอให้ฉันช่วยงั้นสินะ” เขาถามขึ้นขณะใช้กระดาษทิชชูเช็ดทำความสะอาดรอบริมฝีปากที่ติดคราบชีสหร็อมแหร็ม
“ฉันไม่รู้จะพึ่งใครแล้วจริงๆ” อลิสาห่อไหล่ด้วยความสิ้นหวัง
“ที่จริงมันของของเธอเอง เธอควรเอามันกลับมาด้วยตัวเอง”
“ก็ถ้าฉันเอามันกลับมาได้ด้วยตัวเอง ฉันจะยอมถ่อมาขอให้เธอช่วยถึงนี่ทำไม” เธอเผลอขึ้นเสียงอย่างลืมตัว เมื่อคิดได้จึงหดตัวลง ก้มหน้าแสดงความสำนึกผิด “ช่วยฉันหน่อยนะคะมัตเตโอ ได้โปรดเห็นใจฉันหน่อยเถอะนะ”
มัตเตโอพ่นลมหายใจออกทางปาก ใจหนึ่งเขาไม่อยากจะช่วยเธอสักเท่าไหร่ แต่พอได้เห็นลูกอ้อนอันไร้มารยาปรุงแต่งของเด็กสาว อีกใจก็ต่อต้านความคิดเดิมทันใด “ก็แล้วทำไมเธอไม่ให้ไอ้หนุ่มญี่ปุ่นคนนั้นช่วยเธอเล่า”
“วันนี้เขาไม่ว่าง และที่ผ่านมาฉันก็เกรงใจเขา” เธอปฏิเสธไปตามเรื่องด้วยยังจับแววหมั่นไส้ในกระแสเสียงนั้นไม่ได้
“แต่ไม่เกรงใจฉันสินะ อืม ดี” ชายหนุ่มแดกดันตามจริตคนชาติเขา แต่คนไม่รู้ทันหวิดจะวางมวย เขาจึงเสหัวเราะกลบเกลื่อน “ฉันล้อเล่นน่า”
“ยังไงก็ช่วยฉันหน่อยเถอะ” เด็กสาวสะบัดหน้าไปทางอื่นพร้อมกับความฉุนเฉียวที่ชักจะพรูขึ้นมา เธอกะจะกองคำวิงวอนนี้เป็นครั้งสุดท้าย หากไม่ได้ก็จะปล่อยเลยตามเลยแล้ว แต่เป็นที่เหนือความคาดหมาย เมื่อชาวอิตาเลียนคนเดียวที่เธอมักคุ้นด้วย ส่งมือที่แบออกให้เธอ พลันสั่งด้วยเสียงนุ่มนวล
“ส่งโทรศัพท์ของเธอมาสิ ฉันจะคุยให้”
อลิสารีบยื่นมือถือเครื่องที่ยังอยู่กับตัวให้เขา แววตาเธอครู่นั้นเหมือนจะบอกเล่าความรู้สึกขอบคุณที่ล้นปรี่หัวใจในชั่วพริบตาที่สมองแปลคำพูดเขาออก
“เปิดแอปซาฟารีดูได้ เบอร์โทรติดต่อโรงแรมอยู่ในหน้านั้น” เธอไม่ลืมกำชับหนักแน่น “แต่ห้ามเปิดดูแท็บอื่นนะ!”
“ฉันไม่เสียมารยาทขนาดแอบดูว่าเธอหมกเม็ดอะไรอยู่หรอกนะ” เขาหัวเราะปานประหนึ่งสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ “โรงแรมบ้าอะไร ทำไมโทรไม่ติด”
“มันไม่เชิงโรงแรม แต่เป็นโฮสเทลเล็กๆ มากกว่า”
“เธอใช้เบอร์บนนี้โทรเหรอ” มัตเตโอพลิกหน้าจอให้เธอดู รอจนเธอทำเสียงรับ เขาจึงโวยกลับ “มันจะโทรติดได้ยังไง ก็เขาเขียนว่าเบอร์นี้เลิกใช้ไปแล้ว”
“อ...อ้าว...เหรอ...” อลิสาหน้าหดเหลือสองนิ้วเมื่อรู้ตัวว่าลืมอ่านตัวหนังสือสีแดงที่อยู่ท้ายเลข สิ่งเดียวที่คนหน้าแตกทำได้ในเวลานี้คืออดทนคอยหนุ่มหน้าตาดีควานหาเบอร์โทรสำรองไปเรื่อยๆ จวบจนหาเจอในที่สุด
“นี่เบอร์เจ้าของโรงแรม ถ้ายังคุยไม่ได้ก็จบเห่” เขาบอกโดยไม่รอลงความเห็น รีบส่งสัญญาณโทรเข้า ก่อนจะยันกายขึ้นยืนเมื่อสัญญาณเกิดเหตุขัดข้อง “ฉันลองไปคุยข้างนอกดูดีกว่า อาจจะได้ยินอะไรๆ ชัดขึ้น” จบคำมัตเตโอก็ผลุบผลับออกไปนอกบริเวณเมนซ่าโดยมีอลิสาติดตามไปไม่ห่าง
เวลาร่วมห้านาทีเสียไปกับการโทรเจรจากับเจ้าของโรงแรมผู้ไม่เห็นหน้าค่าตา ท่ามกลางลมเย็นโชยชายบนเขาสูง เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่อลิสาฉุกใจคิดถึงพ่อซึ่งตอนนี้กำลังพานโมโหเธอเรื่องที่ทำมือถือหายตามแม่ไปด้วยอีกคน
แต่อีกไม่นานหรอก เธอกำลังจะสะสางปัญหานี้ได้แล้ว เพราะเท่าที่เธอฟังรู้เรื่อง มัตเตโอตอบแต่ใช่ๆ ติดต่อกันเป็นพรวน น้ำเสียงเขาดูเป็นไปในทางบวกมากทีเดียว ได้ยินอย่างนี้แล้วเธอค่อยชุ่มชื่นหัวใจขึ้นมาหน่อย
“เป็นไงบ้างคะ” อลิสาถามทันทีที่เห็นมัตเตโอวางสาย หันหลังให้กับวิวมุมสูงของเมือง เบนหน้ามาทางเธอที่นั่งคอยอยู่ข้างน้ำพุประดับสวน
“มือถือเธอยังอยู่ที่นั่น แม่บ้านเขาเจอมันตกอยู่ใต้เตียงตั้งแต่วันที่เธอเช็กเอาท์ ยังเก็บไว้ให้อยู่ ที่อีเมลไปแล้วเขาไม่ตอบเพราะอีเมลนั้นโดนแฮก ฉันบอกให้ส่งมาที่หอพักถนนสเปรันดีเยเรียบร้อยแล้ว เขายินดีส่งคืนเธอโดยไม่คิดค่าส่ง”
“กรัซซีเย มิลเล...กรัซซีเย มิลลีโยเน” เด็กสาวพร่ำบอกเขาด้วยดวงตาที่แทบพร่างพรายด้วยหยาดน้ำตา “ขอบคุณเป็นล้านเท่าเลยค่ะ มัตเตโอ”
“เอาเถอะน่า” นายคนปากร้ายขี้คร้านจะใส่ใจกับคำพูดประดิดประดอยดังกล่าว นาทีนี้เขาอยากจะเฉ่งเธอมากกว่าทุกอย่างในโลก “เธอน่ะหัดสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองบ้างสิ ทำอะไรก็ช่วยมีสติหน่อย อย่าสะเพร่าซะให้มากนัก ลองคิดดูสิว่าถ้าไม่มีฉันคอยช่วยอยู่ทั้งคน ป่านนี้เธอจะเป็นยังไงไปแล้ว”
อลิสาทำหน้าเมื่อยพลางฟังคำสั่งสอนของมัตเตโอในร่างคุณปู่ขี้บ่นอย่างไร้ข้อโต้แย้ง จะให้เธอแย้งอะไรได้ในเมื่อเขาพูดถูกทั้งหมด ไม่เห็นจะแปลกเลยสักนิดที่เขาไม่ชอบนิสัยนี้ของเธอ แม้แต่ตัวเธอเองก็เอือมกับมันเต็มแก่
“ฟังฉันอยู่มั้ยเนี่ย” น้ำเสียงชายหนุ่มบ่งบอกว่าเรื่องที่จะพูดมีเท่านี้
“ฟังอยู่ค่ะ” เธอตอบเสียสุภาพ หน้าจ๋อยสนิท “ฉันฟังที่เธอพูดทุกคำ”
“แล้วไป เห็นเธอตาลอยมองโน่นนี่ไปเรื่อย”
ระลอกความรู้สึกผิดเล็กๆ พลิ้วผ่านเข้ามาในหัวใจของหนุ่มอิตาเลียน ความขุ่นข้องหมองใจได้ถูกขับระบายออกไปหมดแล้ว เขาจึงเริ่มมีสติยั้งคิดและไถ่ถามตัวเองว่าควรแล้วหรือไม่ที่ตนบริภาษสาดคำตำหนิจนเธอเสียความรู้สึกขนาดนี้
“วิวเซียน่ามุมนี้สวยดีนะว่ามั้ย” น้ำเสียงเข้มดุคลี่คลายเป็นเสียงนุ่มชวนฟัง “สวยเหมือนยังกับภาพเขียนของจิตรกรเอกยุคเรอเนสซองส์ แม้จะไม่ใช่มุมยอดนิยมของนักท่องเที่ยว แต่เซียน่าก็มีมุมสวยๆ ซ่อนเร้นอยู่อย่างนี้อีกมาก”
อลิสาปรือตาลงเมื่อได้ยินคำว่า ‘ภาพเขียน’ และ ‘มุมสวยๆ อีกมาก’ ภาพเขียนของพ่อทั้งที่ขึงอยู่บนขาตั้งและเรียงรายอยู่ตามพื้นและผนังพราวตา ซ้อนทับด้วยภาพตึกอิฐที่ลดหลั่นตามแนวเขา ต้นไม้เขียวชอุ่มที่โอบล้อมอยู่ทุกทิศทุกทาง ใต้ฟ้าสีครามที่สดใสไร้ใยเมฆของเซียน่า...ในที่สุดเธอก็คิดออก
ชายผู้มากด้วยภารกิจรัดตัวทำท่าจะก้าวจากไปเมื่อนาฬิกาข้อมือบอกเวลาที่เขาต้องรีบไปซ้อมขี่ม้ากับโปรเฟสซอเรที่นอกเมือง ความรู้สึกเสียใจในการกระทำของตนคงเกาะกุมจิตใจไปตลอดทุกโมงยามที่เหลืออยู่ในวันนี้ หากอุ้งมือเรียวเล็กคู่นั้นไม่พุ่งเข้ามารวบมือหยาบกระด้างทั้งสองของเขาไว้ในลักษณาการวอนขอ
“วันเสาร์นี้ว่างมั้ยมัตเตโอ ถ้าเธอไม่ติดขัดอะไร ช่วยฉันอีกทีนะ”
วันที่นัดหมายมาถึงโดยไม่มีหมอกลงยามเช้าเหมือนกับหลายๆ วันที่ผ่านมา เป็นสัญญาณธรรมชาติที่ชี้ชัดว่าเซียน่าเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเต็มตัวแล้ว ต่อแต่นี้ไปเธอคงไม่ต้องลำบากทรมานอาบน้ำทุกเช้าก่อนไปเรียนหรือขดตัวในชุดแจ็กเก็ตระหว่างเดินทางอีก เสียแต่ว่าอากาศที่นี่ไม่ได้ต่างจากประเทศบ้านเกิดซึ่งเธอเบื่อนักเบื่อหนาเลย
คนตื่นตั้งแต่ยังไม่ถึงหกโมงดีคิดพลางป้ายตาคลายความงัวเงีย เรื่องอัศจรรย์แรกของวันก็พลันเกิดทันที เมื่อเธอเหลือบไปบนเตียงของอินซุก แต่กลับไม่พบเจ้าของเตียงนอนอยู่ ทั้งที่เวลานี้รูมเมทของเธอน่าจะนอนสะโหลสะเหลอยู่บนเตียงนั้นหลังจากกรำศึกหนักกับการปาร์ตี้มาตั้งแต่หัวค่ำยันวันใหม่
อลิสาหักความข้องใจนั้นทิ้งไป ฉับพลันที่นึกได้ว่าเวลานี้เธอควรจะให้ค่ากับการดูแลความสวยงามของตนเองมาก่อนสิ่งอื่นใดทั้งปวง...
นิสิตผู้มีภูมิลำเนาอยู่ที่กรุงโซลยืนรอพาสต้าสำเร็จรูปที่อุ่นอยู่ในเตาไมโครเวฟของห้องครัวชั้นใต้ดินด้วยใจร้อนรน ไม่บ่อยนักที่เธอจะสะดุ้งตื่นมาเพราะความหิว เว้นแต่เวลาที่เธอมีความกังวลเหมือนอย่างเมื่อคืนซึ่งเธอมัวเครียดกับความสัมพันธ์ระหว่างตนกับคู่เดทคนเก่าที่ยิ่งวันก็ยิ่งจะระหองระแหง
ท้องที่ว่างเปล่าเริ่มอุทธรณ์หาน้ำดื่มต่อเนื่องจากความหิวหาอาหารที่ปลุกเธอขึ้นมาตั้งแต่ตีห้า อินซุกลุกลนขึ้นมากดน้ำดื่มที่ล็อบบี้ชั้นหนึ่ง โดยที่ยังไม่ได้กดน้ำดังตั้งใจ ความรู้สึกกระหายก็พลันมลาย เมื่อหางตาเหลือบไปเห็นใครสักคนที่ดูละม้ายเพื่อนร่วมห้องของตนแต่งหน้าทาปาก กำลังเดินลิ่วออกนอกหอพัก
ต่อมความอยากรู้อยากเห็นของสาวเกาหลีทำลายความหิวทั้งหมดที่มีเพียงเสี้ยวพริบตา เธอใส่เกียร์หมาติดตามรูมเมทซึ่งตนเหม็นขี้หน้าไปอย่างไม่ลดละ แต่ยังฉลาดพอจะเว้นระยะห่างไม่ให้คนถูกสะกดรอยตามได้รู้ตัว
บนถนนสเปรันดีเยที่ลาดชัน อลิสาในชุดแต่งกายที่ดีที่สุดที่เธอพกมาจากเมืองไทย อันประกอบด้วยกางเกงยีนสีซีดกับเสื้อแขนยาวเข้ารูปปักลายเลื่อม กำลังคอยใครบางคนอยู่ ความที่มีเวลาว่างเหลือเฟือ เธอจึงมีเวลาสังเกตโคมไฟถนนและผืนธงที่ห้อยแขวนอยู่ตามกำแพงบ้านยาวเป็นทิวแถวโดยละเอียด นั่นเองที่ทำให้เธอเห็นว่าโคมไฟทุกอันมีสีขาวกับแดง บนธงมีรูปหอยทากบนโล่สีขาว ซ้อนอยู่บนพื้นหลังตาหมากรุกสีแดงสลับเหลืองโทนเดียวกับสีบนโคมไฟไม่มีผิดเพี้ยน
สาวไทยระลึกถึงคำถามของครูเอนโซ่เมื่อหลายวันก่อนด้วยความรู้สึกขันๆ ที่เพิ่งรู้ว่าตนเป็นคนของหมู่บ้านหอยทาก ให้ความรู้สึกต้วมเตี้ยม เชื่องช้า ผิดจากหมู่บ้านอื่นที่ล้วนเป็นสัตว์ปราดเปรียวกว่า
“อุแหวะ...” นักสืบเฉพาะกิจที่ยังสวมชุดนอนแลบลิ้นด้วยความรังเกียจ ในพลันที่เธอจำใจอำพรางตัวหลังถังขยะคอนเทนเนอร์ ไม่รู้ว่าตนลงทุนกับการสะกดรอยมากไปหรือเปล่า แต่ถ้ามันช่วยให้เธอจับได้ว่ายายนั่นแต่งสวยรีบออกจากบ้านเพื่ออะไรได้แล้วล่ะก็ สำหรับเธอมันก็มีแต่คุ้มกับคุ้ม
ป้าย ‘หอเกียรติยศประจำคอนตราดาหอยทาก’ สะกิดสายตาที่กำลังตกอยู่ในห้วงความกระหายใคร่รู้ของอลิสาขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ เธอเพิ่งเห็นว่าบ้านที่อยู่ถัดไปจากหอพักเธอเพียงสองคูหาเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์เก็บสะสมถ้วยรางวัลและเกียรติประวัติของคอนตราดาที่เธออยู่ ทั้งที่มันอยู่ห่างจากเธอไปเพียงไม่กี่ช่วงก้าว แต่ก็น่าแปลกจริงที่เธอไม่เคยล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของสถานที่นี้เลย
หน้าต่างห้องแถวคูหานั้นแม้จะหม่นมัว แต่ก็พอให้มองเห็นข้าวของที่ละลานตาอยู่ข้างในอยู่รำไร ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแบบผู้ร่วมขบวนพาเหรด ธงที่พวกเขาใช้โบก กลองแต๊ก ตลอดจนผืนผ้าไหมอันเป็นรางวัลชนะเลิศปาลิโอ...อลิสาส่องต่อไป และพยายามจะแนบดวงตากับกระจกที่ตนเช็ดฝุ่นจนสะอาด
“ทำอะไรอยู่” เสียงที่ดังขึ้นข้างหลังทำเธอขวัญบิน
“ตกใจหมด” เด็กสาวเอามือทาบอก “มาไม่รู้จักให้สุ้มให้เสียงกันเลย”
คนมาตามนัดเกิดใจบางขึ้นมาเมื่อพบว่าคู่นัดของตนโปะแป้งทาลิปสติกจนดูสวยงามแปลกตา ไม่เหมือนเด็กกะโปโลคนเดิมที่หน้าสดไปเรียนทุกวัน “โจทย์ของวันนี้คืออะไรนะ” มัตเตโอถามอย่างจะหาเรื่องกลบเกลื่อนอาการอ่อนไหวที่แล่นพล่านไปทั้งใจตั้งแต่วินาทีที่เธอหน้าเธอ
“ไม่มีอะไรมาก แค่พาฉันไปถ่ายรูปวิวเมืองนี้ที่ไหนก็ได้ที่คิดว่าสวย ฉันจะส่งให้พ่อที่เป็นจิตรกรวาดรูป เป็นการไถ่โทษที่ลืมมือถือ”
ฝ่ายชายกลั้นหัวเราะจนปากบิด แม้นอาลิซ่าของเขาจะดูเป็นสาวขึ้นจากการแต่งองค์ทรงเครื่องวันนี้ ทว่าความคิดอ่านของเธอก็ยังเป็นเด็กน้อยเช่นเดิม
“ฉันจอดมอเตอร์ไซค์เวสป้าไว้ที่หัวถนน ไม่อยากขับลงมาเพราะกลัวรถไถล” ชายหนุ่มเล่าเป็นทีชวนให้เด็กสาวไปขึ้นรถของเขา
“อ้าว เธอมีมอเตอร์ไซค์ขับด้วยเหรอ” เธอไม่อยากเชื่อหูตนเอง
“ทำไมฉันจะมีไม่ได้ เธอคิดว่าฉันจนมากรึไง” มัตเตโอยอกย้อน จงใจไม่จุดประสงค์หลักที่เขาต้องมีรถคันนี้ไว้ขับ “รีบไปเถอะน่า ถ้ายังพูดมาก ฉันจะปล่อยให้เธอเดินตามรถฉันไปแทนนะ”
ถ้อยคำอี๋อ๋อคลอเคลียระหว่างหนุ่มสาวสองสัญชาติสอดประสานรับกันอยู่บนถนนพื้นอิฐภายใต้แสงแดดอ่อนโยนของเช้าวันใหม่ ให้ความรู้สึกสดใส ร่าเริง เบิกบานอย่างหาใดเปรียบ อะไรๆ ก็คงดีกว่านี้ หากสักขีพยานบทสนทนาดังกล่าวเป็นใครก็ได้ที่ไม่ใช่สาวเอเชียอีกคนที่กำลังเล็งฝ่ายชายอยู่เหมือนกัน
ถ้าหากจำเป็นจะต้องเลือกริษยานางคนป้ำเป๋อสักเรื่อง สำหรับคนที่ลอบดูอยู่ เรื่องนั้นก็คงเป็นการที่เธอมีหนุ่มหล่ออย่างมัตเตโออยู่ข้างกายตลอด ในขณะที่เธอซึ่งทั้งสวยและรวยเสน่ห์กว่า กลับไม่เคยมีคนคู่กายที่ดีพร้อมเท่าเขา
“ยายอาลิซ่า” น้ำเสียงภาษาเกาหลีประโยคนั้นเครือด้วยความรู้สึกผูกใจเจ็บ “อย่าหวังเลยว่ามัตเตโอจะเป็นของแกไปตลอด ลงถ้าคนอย่างฉันคิดจะฉกใครมาแล้ว ฉันเล่นไม่เลิกแน่ๆ แล้วเราจะได้เห็นดีกัน!”