“ท่านพี่ ท่านอย่าอยู่รับโทษที่โลกมนุษย์อีกต่อไปเลย กลับโลกใต้พิภพกับข้าเถิด” อาหลัวมองร่างกายของเชียนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสาร
“อาหลัวข้าสละร่างแล้ว ดังนั้นจึงต้องอยู่ที่โลกมนุษย์นี่ เจ้ากลับไปเฝ้าโลกใต้พิภพดีๆ เถิด”
เชียนหยิกแก้มของอาหลัวพลางยิ้มกว้าง
“โลกใต้พิภพที่ไม่มีท่านพี่ อาหลัวต้องเฝ้าที่นั่นอย่างเดียวดาย” อาหลัวเบะปาก ดูแล้วน่าสงสารอย่างยิ่ง
ไม่เพียงแค่อาหลัวเท่านั้น เหล่าวิญญาณที่ตามอาหลัวออกมาก็มองเชียนอย่างน่าสงสารเช่นกัน
“ท่านพี่ ข้าไม่รู้สึกถึงพลังงานของหลินเชียนเชียนแล้ว” น้ำเสียงของอาหลัวค่อยๆ เบาลง
เชียนรู้ดีว่าอาหลัวคงคิดว่านางจะอยู่ที่โลกมนุษย์อีกนาน มนุษย์ธรรมดาเมื่อถอดวิญญาณแล้ว พลังงานชีวิตจะเปลี่ยนไป เรื่องนี้อย่าว่าแต่อาหลัวเลยที่หาไม่เจอ ต่อให้เป็นยมบาลผู้คุมวิญาณของมนุษย์เองก็ไม่มีทางรู้ได้
“เวลาไม่ถึงร้อยปี พวกเจ้ารอไม่ไหวหรือ” น้ำเสียงของเชียนนุ่มนวล ใบหน้าของนางยังคงมีรอยยิ้มจางๆ เวลานี้นางเปรียบเสมือนพระจันทร์ของเมืองใต้พิภพ
“รอ...รอไหว” อาหลัวตอบ
“ในเมื่อรอไหว ต่อไปไม่อนุญาตให้ใช้วิธีการเช่นนี้มาพบข้าอีก” เชียนพูดพลางชี้ไปยังผู้ที่ถูกจับตัวเอาไว้
อาหลัวตกตะลึง เขาก้มหน้าลงแล้วเอ่ยว่า “ท่านพี่มองออกเสียแล้ว”
“ข้าจะมองไม่ออกได้อย่างไร เมื่อครู่นี้ฉือเป่าบอกข้าว่าเจ้าจะมา ข้าก็รู้แล้วว่าต้องมีปัญหาบางอย่าง คนผู้นี้ตายไปแล้วตั้งยี่สิบปีแต่กลับเพิ่งจะกลับมา หากมิใช่พวกเจ้าที่ปล่อยเขาออกมาแล้วจะเป็นอะไรไปได้อีก”
อาหลัวเกาศีรษะแล้วยิ้มออกมาอย่างใสซื่อ “สุดท้ายก็ปิดท่านพี่ไม่ได้ เขาคือหลินซือหยวน มาถึงแดนใต้พิภพเมื่อยี่สิบปีก่อน ชาติก่อนเขาทำบาปกรรมเอาไว้จึงไม่สามารถกลับไปเกิดใหม่ได้ ข้าจึงขังเขาไว้ที่คุกเย็น วันนั้นพอรู้ว่าท่านพี่อยู่ที่จวนตระกูลหลิน แถมเขายังคอยเฝ้าตะโกนทุกวันว่าอยากแก้แค้น ข้าเองก็คิดถึงท่านพี่จริงๆ ก็เลยคิดแผนนี้ออกมา”
“เจ้าคิดว่าที่เขาจะมาแก้แค้นต้องมาที่จวนหลินอย่างแน่นอน เจ้าแค่ส่งคนตามมา เมื่อเขาเริ่มทำชั่วก็แค่ให้คนจับตัวเขากลับไป เช่นนี้ก็สามารถมาพบหน้าข้าได้อย่างถูกต้องแล้ว”
“อาหลัวคิดถึงท่านพี่มาก”
“พวกเจ้าคิดเช่นไรกับข้าเหตุใดข้าจะไม่รู้ เพียงแต่หากปล่อยให้วิญญาณมาที่โลกมนุษย์แล้วทำร้ายชีวิตของมนุษย์เข้าจริงๆ คนจากสวรรค์คงจะไปถามหาความรับผิดชอบจากแดนใต้พิภพ ซึ่งข้าไม่อยู่ที่นั่นแล้วผู้ใดจะปกป้องพวกเจ้า!”
“ท่านพี่ เป็นความผิดของอาหลัวเอง” อาหลัวเอ่ยพลางคุกเข่าข้างหนึ่งลงไปบนพื้นเพื่อขอโทษเชียน
เชียนพยุงอาหลัวขึ้น เด็กคนนี้เป็นคนที่นางเก็บมาและเลี้ยงดูด้วยตนเอง นิสัยของเขาเป็นอย่างไรมีหรือที่นางจะไม่รู้ เพียงแต่ระหว่างสวรรค์กับแดนใต้พิภพมีช่องว่างระหว่างกันอยู่ เมื่อก่อนมีนางคอยปกป้อง แดนสวรรค์จึงไม่กล้าเอ่ยอะไร แต่ตอนนี้นางเข้ามาอยู่ในร่างคนธรรมดาแล้ว นางจึงไม่สามารถปกป้องแดนใต้พิภพได้อีก
“ท่านพี่ ที่ท่านเงียบไปเพราะโกรธข้าใช่หรือไม่ อาหลัวรับประกันเลยว่าต่อไปจะไม่ทำอะไรบ้าบิ่นเช่นนี้อีกต่อไปแล้ว อาหลัวแค่คิดถึงท่านพี่มากเกินไป วันนี้ได้พบหน้าแล้วต่อไปจะไม่มาก่อความวุ่นวายอีก” สีหน้าของอาหลัวตื่นตระหนกกลัวว่าเชียนจะโกรธขึ้นมาจริงๆ
เชียนลูบใบหน้าของเด็กผู้นี้อีกครั้งแล้วเอ่ยพลางหัวเราะว่า “เอาล่ะ อายุตั้งห้าพันปีแล้ว ยังทำตัวเหมือนเด็กๆ อยู่อีก พี่ไม่โกรธหรอก และถึงอย่างไรก็ยังไม่ได้เกิดเรื่องวุ่นวายอะไรขึ้นมา”
“ท่านพี่ไม่โกรธก็ดีแล้ว” ระหว่างที่พูด อาหลัวได้หยิบกระดิ่งออกมาจากเอว กระดิ่งอันนี้มีสีม่วงด้านบนมีลวดลายดอกไม้สลักสีเงิน เมื่อลองดมดูดีๆ จะได้กลิ่นหอมเรียบๆ ของดอกกล้วยไม้โชยมาด้วย
“นี่เป็นกระดิ่งที่ข้าทำให้ท่านพี่ ท่านพี่พกติดตัวเอาไว้ หากเจอภัยอันตรายอะไรก็เพียงสั่นกระดิ่ง วิญญาณที่อยู่รอบๆ ตัวของท่านพี่จะรีบรุดมาช่วยท่านพี่ทันที”
เชียนรับกระดิ่งมาสังเกตดูอย่างละเอียด หากพูดถึงความละเอียดลออ ในดินแดนใต้พิภพไม่มีผู้ใดมีฝีมือเกินอาหลัวแล้ว
“ได้ ข้าจะเก็บเอาไว้” เชียนรับกระดิ่งมาผูกไว้ที่ข้อมือคล้ายๆ เป็นกำไล
“ท่านพี่ ท่านให้ข้าอยู่ที่โลกมนุษย์ด้วยดีหรือไม่ ฉือเป่าเป็นสัตว์เลี้ยงของท่านส่วนข้าเป็นน้องชายของท่าน พวกเราจะอยู่กับท่าน เท่านี้บนโลกมนุษย์จะไม่มีผู้ใดรังแกท่านได้อีก” อาหลัวเริ่มออดอ้อน
คราวนี้เชียนเอามือตบหน้าผากอาหลัวแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงตำหนิ “เจ้าหน้าเหม็น หากเจ้าอยู่ที่โลกมนุษย์ แล้วแดนใต้พิภพจะทำอย่างไร จะให้อาหลิงกับเฉินชงคอยดูไว้รึ อาคมของเขายังไม่ถึงเศษหนึ่งส่วนสามของเจ้าเลย แล้วจะควบคุมแดนใต้พิภพได้อย่างไรเล่า”
“แต่ท่านพี่...” ตอนนี้อาหลัวแทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว
เชียนสุดจะทน นางเลี้ยงเขาจนโตแต่นับวันเขาก็ยิ่งชอบร้องไห้และขี้อ้อนมากขึ้น และต้องคอยให้พวกเขาคอยปลอบอยู่เรื่อยไป
“เอาล่ะ เอาล่ะ พี่รับปากเจ้า หลังจากที่กลับสู่ร่างเดิมของตัวเองแล้ว ข้าจะไม่ทิ้งแดนใต้พิภพไปอีก รวมถึงไม่ทิ้งพวกเจ้าด้วย”
อาหลัวเช็ดน้ำตาแล้วเงยหน้าขึ้นมาราวกับเด็กน้อย “ท่านพี่พูดจริงหรือ ที่ว่าต่อไปจะไม่ทิ้งแดนใต้พิภพและจะไม่ทิ้งพวกเราไปอีก”
เมื่อเชียนเห็นสายตาของเหล่าวิญญาณที่ตามมามองนางด้วยความคาดหวังเช่นนั้นจึงพยักหน้า “ใช่ ผู้มีคุณธรรมพูดแล้วไม่คืนคำ”
“อย่างนั้น อาหลัวจะพาพวกเขากลับ ท่านพี่จะได้รีบพักผ่อน” อาหลัวเริ่มเกาะนางแน่นราวตุ๊กตา
เมื่อถึงเวลาเช่นนี้ เชียนมักอยากจะถามเฉินชงว่าเขาเลี้ยงอาหลัวเข้มงวดเกินไปหรือไม่ เด็กคนนี้ถึงได้โตมาเพี้ยนๆ เช่นนี้
“ได้” เชียนเอ่ยตอบ
แต่อาหลัวนั้นยังคงมีทีท่าไม่อยากจากไป เขาพาเหล่าวิญญาณเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็หันกลับมามองเชียนและมองฉือเป่าอีกครั้ง สุดท้ายจึงหันมาพูดกับฉือเป่าว่า “ข้าฝากท่านพี่ด้วย เจ้าอย่าให้ท่านพี่ต้องลำบาก มิเช่นนั้นตอนเจ้ากลับไป ข้าจะจับเจ้าแขวนไว้ที่ห้องโถงใหญ่”
เมื่อฉือเป่าโดนข่มขู่เช่นนี้ก็มองไปที่เชียนอย่างขอความเป็นธรรม "เจ้านาย"
ฮ่าๆ
เชียนยิ้มออกมาอีกครั้ง นานมาแล้วที่นางไม่เห็นเด็กทั้งสองทะเลาะกัน จริงๆ เลย...
หลังจากที่อาหลัวกลับไปแล้ว เชียนได้ให้ฉือเป่าทำให้ความทรงจำของฮูหยินผู้เฒ่าหายไป ให้นางจำได้เพียงอวี้จู๋กับชุนหลานสลบไปเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้นทำให้หายไปหมด เมื่อฉือเป่าใช้อาคมแล้ว เชียนก็ให้ทุกคนหลับอยู่บนรถม้าตลอดทั้งคืน
เช้าวันรุ่งขึ้น เสียงนกร้องปลุกฮูหยินผู้เฒ่าให้ตื่นขึ้น นางลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วมองไปรอบๆ ตัว ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ จากนั้นถึงจะสำรวจตัวเอง
หลังจากถอนใจแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าก็พูดพึมพำกับตัวเองว่า "ขอบคุณฟ้าดิน ขอบคุณฟ้าดิน"
เชียนที่แกล้งหลับอยู่นั้นเมื่อได้ยินเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าก็ค่อยๆ ขยับตัว จากนั้นจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้วพูดเสียงแหบแห้งว่า "ท่านย่า...ข้า...เมื่อคืนข้าฝันร้าย"
เมื่อได้ยินว่าฝัน ฮูหยินผู้เฒ่าก็เริ่มตื่นตะหนกขึ้นมา นางขยับเข้าไปใกล้ๆ เชียน แล้วพยุงนางขึ้นมาแล้วพูดขึ้นว่า "เจ้าฝันว่าอะไร"
เชียนนำมือข้างหนึ่งขึ้นมากุมศีรษะเอาไว้ จากนั้นจึงเอ่ยว่า "หลานฝันเห็นท่านปู่เจ้าค่ะ"
"อะไรนะ เจ้าฝันถึงเขาทำไม" สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าซีดเผือด น้ำเสียงของนางสั่นเครือ
เชียนกุมมือของฮูหยินผู้เฒ่าเอาไว้ แล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า "ข้าฝันเห็นท่านปู่ปรากฏตัวขึ้นที่ป่าแห่งนี้ เขามาเพื่อทำร้ายท่านย่า ยมบาลจากแดนใต้พิภพมานำตัวเขาไปแล้วบอกว่า เขาทำความผิดหนักและจะจับตัวเขาไปขังเอาไว้"
"เอาไปขัง?" ตอนนี้สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังคล้ายมีความหวาดกลัวอยู่ อันที่จริงแล้วก่อนหน้านี้ไม่กี่วันนางเองก็ฝันถึงหลินซือหยวน ในความฝันหลินซือหยวนยิ้มแล้วพูดกับนางว่า จะมาแก้แค้นนาง ดังนั้นครั้งนี้จุดประสงค์ที่แท้จริงที่นางไปสถานปฏิบัติธรรมเพื่อให้นักพรตช่วยนางปัดเป่าผีร้ายให้
"ใช่แล้ว ยมบาลบอกว่าจะไม่ให้เขากลับมาที่โลกมนุษย์ได้อีก ก่อนที่ยมบาลจะไปยังมอบกระดิ่งให้ข้าเพื่อให้ข้าใส่ไว้ที่ข้อมือ" เชียนเอ่ยพลางเลิกคิ้วแล้วยกมือขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ
กระดิ่งที่อยู่บนข้อมือขาวๆ ของเชียนปรากฏออกมา เชียนเบิกตากว้างแล้วพูดกับฮูหยินผู้เฒ่าว่า "ท่านย่าเจ้าคะ ท่านดูนี่เร็ว กระดิ่งนี้นั่นเองเจ้าค่ะ ในฝันข้าฝันถึงกระดิ่งนี้ น่าแปลกใจยิ่งที่บนข้อมือของข้าปรากฏกระดิ่งขึ้นมาจริงๆ"
ฮูหยินผู้เฒ่ามองเชียน สีหน้าของนางไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ราวกับว่านางกำลังร้องไห้และคล้ายกำลังยิ้ม สุดท้ายคนอื่นๆ ก็ตื่นขึ้นมา ฮูหยินผู้เฒ่ากุมมือของเชียน ภายใต้แสงแดดที่สาดส่องเข้ามาในรถเช่นนี้ นางจึงเอ่ยกับเชียนว่า "เชียนเชียน เจ้าคือโชคดีของย่าจริงๆ"
เมื่อได้ยินดังนั้น เชียนจึงเอียงคอราวกับฟังคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าไม่เข้าใจ
"ฮูหยิน บ่าว...เมื่อคืนไม่รู้ว่าบ่าวหลับไปได้อย่างไร ท่านกับคุณหนูใหญ่ไม่เป็นไรใช่หรือไม่"
เมื่อชุนหลานตื่นขึ้นมาแล้วเห็นฮูหยินผู้เฒ่ากับเชียนแล้วจึงเอ่ยออกมา
"ไม่เป็นไร เจ้ากับอวี้จู๋ไปด้านหลังรถม้าก่อนเถิด ข้ากับเชียนเชียนมีเรื่องส่วนตัวต้องคุยกัน" ฮูหยินผู้เฒ่าหันไปมองยังชุนหลานพลางเอ่ยขึ้น
เดิมชุนหลานก็เป็นผู้ที่ทำอะไรปราดเปรียวอยู่แล้ว หลังจากที่ปลุกอวี้จู๋ขึ้นแล้วก็รีบลงจากรถม้าไป
ทุกคนต่างไม่รู้ว่าเมื่อคืนเหตุใดจึงเผลอหลับไปได้ แต่เมื่อเห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้เค้นถาม พวกเขาจึงไม่ถามอีก เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ก็ถือเสียว่าระหว่างทางเมื่อคืนนี้ทุกคนเหนื่อยจึงเผลอหลับไปก็แล้วกัน
รถม้าเริ่มขยับ ฮูหยินผู้เฒ่าให้เชียนลดผ้าม่านลง เมื่อแน่ใจแล้วว่าคนบังคับรถม้าไม่ได้ยินเสียงของพวกตน ฮูหยินผู้เฒ่าจึงลดเสียงลงแล้วพูดกับเชียนว่า "เชียนเชียน ย่ามีเรื่องเรื่องหนึ่งอยากจะพูดกับเจ้า"
เชียนพยักหน้า นางเดาได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะพูดเรื่องของหลินซือหย่วน
"ตอนที่ปู่ของเจ้ายังมีชีวิตอยู่ แม่ของเจ้ายังไม่มีเจ้า ข้าจึงเข้าใจว่าเขาจะไม่คิดถึงเจ้า คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะมาปรากฏตัวในฝันของเจ้าด้วย" ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยด้วยคำพูดที่เรียบเฉย แต่กลับแสดงให้เห็นถึงความวุ่นวายใจบางประการของนาง
"ท่านย่า เมื่อก่อนคุณปู่เป็นคนอย่างไรเจ้าคะ" เชียนเอ่ยถาม
"เขาหรือ...เป็นคนไม่เอาไหน" ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยตอบ
เชียนตกตะลึงไป นางคิดไม่ถึงเลยว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะกล้าพูดต่อหน้านางตรงๆ เช่นนี้
"เชียนเชียน เจ้ารู้หรือไม่ว่าปู่ของเจ้าถูกย่าวางยาพิษตาย" ฮูหยินหลินกล่าวเสริม
เมื่อคืนเมื่อได้ยินหลินซือหยวนเอ่ยเช่นนั้น เชียนก็พอรู้ได้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของหลินซือหยวน แต่คิดไม่ถึงว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะเป็นคนวางยาเขาตาย และยิ่งคิดไม่ถึงกว่านั้นคือทั้งๆ ที่นางมีคดีฆาตกรรมติดตัวแต่ชื่อเสียงของนางกลับไม่ได้รับผลกระทบเลยแม้แต่น้อย
"หลังจากที่ปู่ของเจ้ากับข้าแต่งงานกันแล้ว เขาก็มีอนุภรรยาอีกห้าคน เดิมทีข้าคิดว่าแค่นั้นก็คงจะพอแล้ว แต่ไม่นึกเลยว่าเขาจะไม่รู้จักพอ ปีที่พ่อของเจ้าสอบติดจอหงวน ข้ากับปู่ของเจ้ารวมทั้งอนุภรรยาเหล่านั้นก็ย้ายไปอยู่ที่จวนจอหงวนที่เมืองเป่ยอัน ในฐานะย่าทุกๆ วันข้าจึงต้องจัดการเรื่องราวในจวนทุกอย่างจนชีวิตวุ่นยุ่งเหยิง และไม่มีเวลาใส่ใจปู่ของเจ้า วันหนึ่งเขาบอกย่าว่าอยากจะไปซื้อบ้านสักหลังทางทิศเหนือของเมืองเพื่อพาบรรดาอนุภรรยาของเขาไปอยู่ที่นั่น จะได้ไม่เป็นการรบกวนพ่อของเจ้า
วันหนึ่งตอนที่ข้าอยู่บนถนน ข้าพบกับสตรีวัยแรกรุ่นนางหนึ่งที่มีบาดแผลทั่วทั้งตัว นางเอ่ยชื่อปู่ของเจ้าด้วย ข้าเลยไต่ถามด้วยความสงสัยจึงรู้ว่าเขาสร้างห้องมืดเอาไว้ คืนนั้นข้าจึงอาศัยโอกาสที่เขาออกไปต้อนรับแขกแอบเข้าไปในห้องมืด ข้าจึงได้เห็นสตรีวัยแรกรุ่นสิบสามคนถูกมัดเอาไว้อย่างกับหมูอย่างกับหมา"