เย่ว์อวี้พินิจพิเคราะห์เธออย่างละเอียด
เด็กสาวผู้นี้สวมเสื้อผ้าสีเขียวสำหรับเด็กรับใช้ชาย รูปร่างผอมบาง เครื่องหน้าสวยงามพอใช้ ทว่าหน้าอกแบนราบ บั้นท้ายก็ลีบเล็ก เหมือนไม้กระดานตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า นอกจากดวงตากลมโตใสสกาวดุจลูกแก้วคู่นั้นที่ฉายแววฉลาดเฉลียวพิกลแล้ว ก็ไร้กลิ่นอายชวนเสน่หาของกุลสตรีแม้แต่น้อย
นางยกชาขึ้นดื่มอีกอึก พลันหัวเราะพร้อมกับส่ายหน้า “เด็กน้อย เจ้ารู้จักบุรุษดีงั้นหรือ”
“แหม อย่างท่านคงไม่เข้าใจหรอก” หญิงสาวชายตามองนางด้วยสายตาหยาดเยิ้ม ซย่าชูชีกระซิบข้างใบหูนางแผ่วเบา ทำเอาใบหน้างดงามของเย่ว์อวี้พลันแดงก่ำหลังจากเอ่ยพูดเช่นนั้นแล้ว
“นี่เจ้ากีบเท้าหมู ไม่สำรวมเอาเสียจริง ท่านอ๋องของเราเป็นคนมีเกียรติและเรียบร้อย จะไปทำแบบนั้นได้เยี่ยงไร”
“เรียบร้อยหรือ”
ซย่าชูชีหรี่ตาลง สมองพลันปรากฏภาพดวงตาดำขลับเย็นชาที่ยากจะคาดเดาอารมณ์ นอกจากนี้ในมือเขายังถือหนังสือโป๊อ่าน ‘หน้าท้องแสนสวยกับลูกเถาขาวนุ่ม’ ด้วยท่าทางต่ำช้านั่น เป็นคนใจสุนัขที่รูปลักษณ์ยั่วยวน ทว่าความเรียบร้อยนั้นพูดไม่ถูกจริงๆ เมื่อคิดดูอีกที การจะอยู่กับเขา ต้องได้ใจสาวรับใช้อาวุโสของเขา วันข้างหน้าเธอถึงจะสบายกว่านี้ ฉะนั้นก็จงทุ่มเทพลังอย่างเต็มความสามารถเถอะ
“ท่านพี่ของข้า ท่านนี่โง่จริงๆ ต่อให้ผู้ชายจะเรียบร้อยแค่ไหน อย่างไรก็คงทนผู้หญิงยั่วเย้าไม่ไหวหรอกน่า ท่านก็รู้ ว่าหญิงประเภทไหนที่ยั่วเย้าผู้ชายได้ดีที่สุดใช่หรือไม่”
เธอถามด้วยใบหน้าชั่วร้าย ทว่าเย่ว์อวี้กลับเอาแต่ยิ้มประหนึ่งไม่สนใจ มีเพียงการหายใจที่คล้ายติดขัดเล็กน้อย
ซย่าชูชีดีดนิ้วเสียงดังเปาะอีกหน ก็วางข้อศอกลงบนไหล่ของนางพลางยิ้มตาหยี ท่าทีเหมือนพี่น้องสนิทสนม
“คำตอบคือ สาวเจ้าสเน่ห์ไงละ”
เย่ว์อวี้จ้องมองเธอพร้อมกับหัวเราะออกมา “ไม่เรียนหรอกนะ”
ชูชีนิ่วหน้า ชูชีว่านางอยากฟัง แต่ทว่าผู้หญิงสมัยโบราณมักชอบเสแสร้งแกล้งทำ
“สาวเจ้าสเน่ห์มันเจ้าสเน่ห์เยี่ยงไร เคล็ดลับมีเพียงหนึ่งเดียว ต้องยั่วยวนใจ อันดับแรกสัมผัสร่างกายของเขา จับต้องสัมผัสร่างกายของเขาด้วยการดึงดูดเขาให้เกิดความปรารถนาเสียก่อน รู้ไหมต้องทำเยี่ยงไรจึงจะดึงดูด”
“เจ้ากีบเท้าหมู อย่าพูดไร้สาระอยู่อีกเลย ข้ามาสอนกฎระเบียบให้เจ้า หรือเจ้ามาสอนกฎระเบียบให้ข้ากันแน่”
หลังจากปัดเล็บของเธอทิ้ง เย่ว์อวี้ก็แย้มยิ้มจางๆ หากแต่น้ำเสียงที่หลุดออกมากลับดูเหมือนอัดอั้นอยู่ ทั้งจังหวะก็รวดเร็ว ซย่าชูชีจับ ‘ความสนใจ’ ที่ไม่ทันระวังของนางได้อย่างง่ายดาย จึงกล่าวต่อ “ท่านพี่เยว่ ท่านลองตรองดูสิ หากท่านได้เคล็ดลับจากหมอเทวดาอย่างข้า รับรองมันจะทำให้ท่านอ๋องของท่านปฏิบัติต่อท่านอย่างอย่างไม่ลังเล ใช่ว่าเขาไม่ยินดีเจาะไข่แดงของท่านเสียหน่อย อะไรมันจะสวยงามเหมาะเจาะเช่นนี้”
ช่างเหมือนขายยาทาหนังสุนัข[1] คำพูดของเธอสร้างแรงกระเพื่อมไหวอย่างมาก ซึ่งก็คือ “ดวงดาวนำโชคที่จำเป็นอย่างยิ่งในการแย่งชิงความโปรดปรานของอิสตรี” เย่ว์อวี้พลันเข้าใจทันที ใบหน้างดงามเหมือนแต่งแต้มไปด้วยสีแดงเลือดฝาดขึ้นอีกครา ขณะนั้นเองนางกลับผุดลุกขึ้นยืน
“ฉู่ชี เจ้าฉลาดเฉลียวถึงเพียงนี้ ข้าคงทนไม่ได้หากต้องลงโทษเจ้า...”
“งั้นก็ไม่ต้องลงโทษสิ เราสองคนสนิทสนมกันขนาดนี้”
เย่ว์อวี้ยิ้ม “แต่ท่านอ๋องสั่งไว้แล้ว เจ้าคงต้องหาทางเกลี้ยกล่อมข้า ท่านอ๋องยังบอกว่า หากเจ้าเป็นเด็กดีก็จะไม่ถูกลงโทษ แต่ถ้าหากเจ้าเข้าหาประจบประแจงใครละก็ จากที่ขังในห้องเก็บฟืนสามวันจะเปลี่ยนเป็นเจ็ดวันแทน...”
“เอ๊ะ!” มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย
เย่ว์อวี้กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมลูบไล้ผ้าเช็ดหน้า “ข้ารู้ว่าเจ้าคงรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ หากแต่ข้าเองก็ไม่กล้าทรยศท่านอ๋อง ไปซะ ไปที่ห้องเก็บฝืน”
ใบหน้าซย่าชูชีเขียวคล้ำ
นี่เธอถูกคนชั่วช้าแซ่จ้าวหลอกอีกแล้วเหรอ
ขัง-ใน-ห้อง-เก็บ-ฟืน-อีก-แล้ว...?
เมื่อเข้าสู่ยามราตรีในช่วงฤดูหนาว ท้องฟ้าจึงมืดครึ้มอย่างรวดเร็ว
หน้าท้องแบนราบของซย่าชูชีร้องประท้วงเพราะความหิวโหยอยู่นาน กว่าประตูห้องเก็บฟืนจะถูกเปิดออกพร้อมเสียงที่ดังเอี๊ยดอ๊าด ใบหน้ากลมเล็กเยี่ยมหน้าเข้ามาเมียงมองก่อน จากนั้นนางก็ยกตะกร้าไผ่ที่ถืออยู่ในมือ พลางแย้มยิ้มให้เธอ
“ฉู่ชี....”
“น้องน้อยของข้า ในที่สุดเจ้าก็มา! ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว” เส้นประสาทบนหนังท้องของเธอ หน้าไม่อายยิ่งกว่าเส้นประสาทบนใบหน้ามาตั้งแต่ไหนแต่ไร ซย่าชูชีกลอกดวงตากลมโต แล้วหยิบอาหารที่เหมยจื่อยกมาให้กินอย่างตะกละตะกลาม
เหมยจื่อหย่อนตัวนั่งลงข้างกายนาง “ฉู่ชี ท่านอ๋องดีกับเจ้ามากนะ”
“งืมๆๆ ...”
ดีไม่ดีซย่าชูชีไม่รู้หรอก รู้แต่ว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือต้องกินให้อิ่ม
“ตอนเพิ่งมาที่วังใหม่ๆ ข้าเคยทำความผิดและถูกลงโทษ ตลอดเวลาสองวันอาหารไม่เคยตกถึงท้องเลย... หากไม่ใช่เพราะท่านอ๋องยินยอม พี่เย่ว์อวี้ก็คงไม่กล้าให้ข้าเอาอาหารมาให้เจ้ากินหรอก”
“อือๆๆ ....”
ด้วยฐานะเดิมซย่าชูชีเป็นทหารจึงกินข้าวด้วยความว่องไว เมื่อกินอิ่มแล้วก็เรอออกมา ถึงค่อยลูบหน้าท้องด้วยความสบายใจ ชำเลืองมองเหมยจื่อด้วยรอยยิ้มตาหยี “เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ”
“ข้าบอกว่าท่านอ๋องดีกับเจ้ามาก”
“อย่างนี้น่ะหรือ” ซย่าชูชียังแย้มยิ้ม “แล้วข้าดีกับเจ้าไหม”
“เจ้าก็ดีกับข้าเช่นกัน”
รอยยิ้มของนางทั้งสดใสและไร้พิษสง ด้วยความที่เหมยจื่อชอบนางมาก จึงพยักหน้ารับอย่างมุ่งมั่น
“เช่นนั้นก็ถูกต้องแล้ว ข้าน่ะ เป็นคนดีที่หนึ่งในโลกใบนี้เลยละ” ซย่าชูชีถลกแขนเสื้อขึ้นเช็ดริมฝีปาก เท้าข้อศอกลงบนไหล่ของเหมยจื่อด้วยรอยยิ้มระรื่น “เด็กดี ข้ามีฉายาว่าอะไรเจ้ารู้ไหม”
เหมยจื่อส่ายศีรษะ
ซย่าชูชีผุดรอยยิ้มหวานหยดย้อยยิ่งกว่าเดิม เคลื่อนริมฝีปากเข้าไปใกล้ใบหูของนาง ส่งเสียง ‘คิก’ จากลำคอแผ่วเบา “เรียกว่า...หน้าเนื้อใจเสือไงละ”
ปึก!
เมื่อซย่าชูชีลงมือ ร่างกายเหมยจื่อพลันอ่อนยวบลงมาซบบนอ้อมอกของเธอโดยที่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากเปล่งเสียง
ซย่าชูชีชายตามองด้านนอกห้องเก็บฟืนแวบหนึ่ง ถอดเสื้อผ้าสีเขียวบนร่างกายตนเองออกอย่างรวดเร็ว คว้าเอาเสื้อผ้ากับปิ่นปักผมของเหมยจื่อ พลางกระตุกริมฝีปากขึ้นเบาๆ
“เด็กโง่ เป็นเด็กดีนอนหลับให้สบายนะ บาย...”
ปกติเวลาคนทำความชั่วมักขาดความเชื่อมั่นในตนเอง
ทว่าไม่ใช่สำหรับซย่าชูชี
เธอเป็นนักแสดงโดยพรสวรรค์ หิ้วตระกร้าของเหมยจื่อลอยละลิ่ว เลียนแบบท่าทางการเดินเหินของเหมยจื่อ ค้อมศีรษะลงเล็กน้อย ก่อนจะเดินหายลับไปกับแสงไฟอันมืดสลัว
ก่อนหน้านั้นเธอรู้มาจากปากเหมยจื่อว่า เจ้าทึ่มถูกขันทีเจิ้งเอ๋อร์เป่าส่งกลับไปยังหมู่บ้านหลิวเหนียนแล้ว ว่ากันตามหลักการแล้วตอนนี้เธอเป็นอิสระสุดๆ ขอเพียงแค่คิดหาวิธีหนีออกจากที่พักแรมได้สำเร็จก็จะสามารถโบยบินไปไกลได้ น่าเสียดายที่ก่อนถูกขังในห้องเก็บฟืน กระจกไม้ท้อสลักบุปผาที่เธอพกติดตัวนั้นถูกเย่ว์อวี้ยึดไป
เหมยจื่อบอกว่า กระจกอันนั้นเย่ว์อวี้นำไปมอบให้แก่คนชั่วช้าแซ่จ้าว
กระจกอันนั้นสำคัญสำหรับเธอมาก
ไม่เพียงแต่เป็นหลักฐานการมีอยู่ของเธอในภพที่แล้ว หากยังเป็นกระจกที่พาเธอมายังยุคสมัยที่แปลกหน้านี่อีก ไม่แน่วันใดวันหนึ่งเธออาจได้กลับไปสู่ยุคปัจจุบันที่มีอารยธรรมสูงส่งด้วยกระจกบานนั้นก็เป็นได้ ใช่ เธอต้องหามันให้เจอ
เธอสามารถลอบเข้าพลับพลาอวี้หวงได้อย่างราบรื่น
เหมยจื่อบอกว่า คนชั่วช้าแซ่จ้าวจะไปค่ายทหารช่วงกลางวัน ดังนั้นเวลานี้น่าจะยังไม่กลับมา เป็นไปตามคาด ภายในห้องนอนของเขาไม่มีใครอยู่สักคน สบโอกาสให้เธอทำภารกิจสะดวกหน่อย เพราะกลัวทำเสียงดังขึ้นมา จึงเขย่งปลายเท้าเดินรื้อหาจนทั่ว ส่วนใบหูก็คอยเงี่ยฟังความเคลื่อนไหวจากภายนอกอย่างระแวดระวัง
ถึงอย่างนั้น
ไม่ว่าจะรื้อค้นตั้งแต่โต๊ะอ่านหนังสือจนถึงโต๊ะกลม ค้นจากโต๊ะกลมลามไปถึงเก้าอี้เมิ่นฮู่ แม้แต่หมอนไม้หนานมู่กับผ้าห่มผ้าดิ้นบนเตียงจีนโบราณก็ล้วนรื้อหาอย่างถี่ถ้วน กระนั้นก็ยังหากระจกอันเล็กนั้นไม่เจอ
------
[1] ขายยาทาหนังสุนัข เปรียบ คำพูดกระทบใจ แต่ความจริงนั้นหลอกลวง