เหมยจื่อได้ฟังดังนั้นก็ร้อนรน ออกแรงรั้งแขนเสื้อของเธอไว้ไม่ยอมปล่อย
“ท่านพี่คนดี ช่วยข้าเถิดนะ ต่อไปนี้ข้าจะเชื่อฟังแต่เจ้า”
“อย่างนั้นหรือ” สายตาเหลือบมองบริเวณที่พักแรมรับรองครู่หนึ่ง จึงพยายามถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความยากเย็น “แต่ข้าคงเชื่อใจเจ้าไม่ได้หรอก เพราะนายท่านของเจ้าเป็นจอมหลอกลวง เจ้าก็ย่อมเป็นจอมหลอกลวงแน่นอน”
หลังจากประโยคนี้หลุดออกจากปาก เหมยจื่อพลันตกใจจนใบหน้าซีดขาว ยกนิ้วชี้แสดงท่าทาง ‘ชู่’ ขึ้นมา “ฉู่ชี อย่าได้กล่าวเช่นนี้ ไม่เยี่ยงนั้นหัวได้ขาดเป็นแน่แท้” เมื่อครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ นางก็รู้สึกว่าฉู่ชีมักหยาบคายใส่ท่านอ๋องเสมอ ทั้งจิกกัดทั้งด่าทอทั้งลงไม้ลงมือก็ยังไม่ถูกกุดหัว จึงเม้มริมฝีปากล่างด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจโดยไม่รู้ตัว “ท่านอ๋องไม่ต้องการหัวเจ้าหรอก แต่น่าจะต้องการหัวของข้ามากกว่า...ท่านพี่คนดี เจ้าลองบอกข้าเถิดต้องทำเยี่ยงไรถึงจะเชื่อใจข้า”
ซย่าชูชีกอดอก หัวเราะคิกคักหยอกเย้านาง “ได้ ข้าจะเชื่อก็ต่อเมื่อเจ้าด่าจ้าวจวินว่า คนสารเลว”
“ห๊า!” เหยมจื่อกระทืบเท้าด้วยความโมโห จวนร่ำไห้เพราะความเป็นเดือดเป็นร้อน “ไม่ ไม่ได้หรอก ข้าเป็นข้ารับใช้ของท่านอ๋อง เป็นคนของท่านอ๋อง ข้ารับใช้ที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อเจ้านายจะถูกสายฟ้าจากสวรรค์ผ่าร่างเอาได้ ท่านพี่คนดี เปลี่ยนเป็นสิ่งอื่นได้หรือไม่ เปลี่ยนเป็นเหมยจื่อสารเลว ดีหรือไม่เจ้าคะ”
เมื่อเห็นท่าทางน่าสงสารระคนออดอ้อนของนาง ซย่าชูชีก็พลันใจอ่อนยวบ
จารีตและศักดินา ช่างทำร้ายผู้คนเสียจริง
ถ้าหากยังดูถูกเหยียดหยามกันต่อไป เธอเองก็จนปัญญาที่จะปรับเปลี่ยนมุมมองทั้งสามด้านของเหมยจื่อเช่นเดียวกัน
เธอทำปากเบ้อย่างชั่วร้าย พร้อมทั้งโอบกอดท่อนแขนของเหม่ยจื่อ พาสาวเท้าเดินแล้วเอ่ยพูดไปพลางๆ “ดูเจ้าช่างน่าสงสารนัก ครั้งนี้ข้าช่วยเจ้าก็ได้ แต่เจ้าจะเป็นหนี้ทางใจอันใหญ่หลวงกับข้า ต่อไปนี้เจ้าเป็นคนของข้าแล้ว หากมีข่าวคราวเล็กๆ น้อยๆ อันใด ต้องบอกข้าเป็นคนแรก เข้าใจหรือไม่”
ครั้งนี้เหมยจื่อไร้การขัดขืน พยักหน้ารับอย่างหนักแน่น “เจ้าค่ะ ข้าจะเชื่อฟังท่านพี่ทุกอย่าง”
“เด็กดี!” ซย่าชูชีบีบแก้มกลมของนาง พร้อมกับยิ้มยิงฟันอย่างลำพองใจ “เดี๋ยวข้าจะกลับไปเอาของที่โรงยา แล้วจะถือโอกาสเตรียมยาให้เจ้าเสียด้วยเลย”
เพื่อให้การปรนนิบัติรับใช้จ้าวจวินสะดวกสบาย ที่ว่าการที่พักแรมจึงได้จัดเตรียมเรือนหลังเล็กไว้สำหรับข้ารับใช้ติดตามของเขา ซึ่งอยู่ทางฝั่งทิศตะวันออกของพลับพลาอวี้หวง เส้นทางที่ซย่าชูชีเดินไปพร้อมกับเหมยจื่อนั้น ต้องเดินผ่านห้องครัว ห้องเก็บฟืน โรงเก็บของ จากนั้นค่อยเดินอ้อมบ่อน้ำไป โดยห้องซีเพ่ยจะปรากฏตรงเบื้องหน้า
ยังไม่ทันได้เข้าเรือน เธอก็เห็นชายรูปร่างสูงใหญ่นั่งอยู่บริเวณประตูเรือน เขาก้มศีรษะลงต่ำ คอยชำเลืองมองทางเข้าเป็นระยะๆ ใบหน้าที่หดหู่และกล้ำกลืนฝืนทน กลับเหม่อลอยจนไม่ทันสังเกตเห็นพวกเธอที่กำลังเดินมาจากด้านข้าง
“เจ้าทึ่ม!”
ซย่าชูชีส่งเสียงเรียกเบาๆ ทำเอาเจ้าทึ่มถึงกับหันหลังเหลียวมองอย่างทันท่วงที ถลึงนัยน์ตาแดงก่ำราวกระต่ายน้อยจ้องมองเธอ เหมือนมีสายลมโชยปะทะร่างจนซวนเซ ก่อนเธอจะเสียหลักล้มลงก็ถูกโอบกอดไว้อย่างแนบแน่น
“เฉ่าเอ๋อร์ เจอตัวเจ้าแล้ว ข้าเจอตัวเจ้าแล้ว...”
เขารู้สึกดีใจอย่างไม่เสแสร้ง ยิ่งท่าทางลิงโลดของเขานั้นก็เป็นสิ่งที่สื่อออกมาจากความรู้สึกที่แท้จริง เธอรู้จักกับชายผู้นี้ได้ไม่นานนัก หรือกล่าวได้ว่าทุกครั้งที่เด็กน้อยด้อยปัญญาผู้นี้พบเห็นเธอก็มักจะแสดงลักษณะท่าทางเช่นนี้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลปกป้อง เป็นที่พักพิง หรือท่าทางอันโง่เขลา ต่างก็เป็นการทำเพื่อเธอด้วยความตั้งใจจริง
เธอรู้สึกเจ็บปวดใจนัก จากนั้นก็ตบบ่าของเขาแผ่วเบาแล้วหัวเราะปลอบใจ
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรนะ เด็กดี”
เจ้าทึ่มสูดหายใจเข้าปอดครู่หนึ่ง คล้ายนึกเรื่องบางอย่างที่น่ายินดีขึ้นมาได้ฉับพลัน จึงปล่อยมือออกอย่างรวดเร็ว รีบร้อนล้วงมือข้างหนึ่งเข้าไปในอก หยิบเอาห่อกระดาษน้ำมันออกมา ก่อนยื่นให้เธอเพื่อเอาใจ
“เฉ่าเอ๋อร์ ข้าให้เจ้า...”
“หืม มันคืออะไรน่ะ” ซย่าชูชียกห่อกระดาษน้ำมันขึ้นมาดู
“ซาลาเปา ซาลาเปาแป้งสีขาว มีไส้เนื้อ อร่อยมาก”
ซย่าชูชีนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้นโดยไม่พูดไม่จา ทว่าเหมยจื่อกลับเม้มปากกลั้นยิ้ม “ชูชี พอพี่ชายจอมทึ่มของเจ้าได้ซาลาเปาไส้เนื้อมาก็ตัดใจกินไม่ลง วันๆ กอดมันไว้แต่ในอ้อมอก เอาแต่พูดว่าเจ้าชอบกินเนื้อ”
กินเนื้อหรือ....
เขายังคงจำได้
ความรู้สึกตื้นตันอัดแน่นเต็มลำคอ ซย่าชูชีฉีกห่อกระดาษน้ำมันออก เห็นสิ่งที่ถูกทับจนแบนไม่เป็นรูปทรง มองเผินๆ เหมือนรูปร่างของซาลาเปาเนื้อได้เปลี่ยนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอทั้งอยากหัวเราะและร้องไห้ในคราเดียวกัน แต่พอมาคิดดูแล้วก็รู้สึกโกรธไม่ลง จึงได้แต่บิดที่ท่อนแขนเจ้าทึ่มอย่างแรงแทน
“เจ้าทึ่ม ทำไมเจ้าถึงไม่กิน เจ้าดูสิมันเสียหมดแล้ว คราวหน้าอย่าทำอีกนะ ได้ยินหรือไม่”
เจ้าทึ่มกลับยิ้มจนแก้มแทบปริทั้งๆ ที่โดนนางบิดเข้าที่แขน
“เฉ่าเอ๋อร์ ท่านอ๋องเป็นคนดี ซาลาเปาเนื้อที่เจ้าทึ่มกินก็เป็นท่านอ๋องที่นำมาให้”
“คนดีหรือ”
ซย่าชูชีกัดฟัน ออกแรงจิ้มหน้าอกของเขาอย่างแรง “ที่บอกว่าเจ้าทึ่มก็คงทึ่มจริงๆ นั่นแหละ”
หากคนเลวอย่างจ้าวจวินเป็นคนดีจริง บนโลกใบนี้ก็คงไม่มีคนเลวหรอก
ครั้นเธอกวาดสายตามองเหมยจื่อสาวน้อยผู้แสนจงรักภักดีต่อจ้าวจวินแต่เพียงผู้เดียวแล้ว จึงตัดสินใจไม่บอกเจ้าทึ่มไปตามตรงว่า ‘คนดี’ ที่เขาเอ่ยถึงนั้น ความจริงแล้วกลับเป็นคนสารเลวโดยเนื้อแท้
พอคิดมาถึงตรงนี้ เธอพลันตระหนักได้ในทันทีว่า เธอจำเป็นต้องขีดเส้นเว้นระยะห่างกับเจ้าทึ่มเสียก่อน เขาจะได้ไม่กลายเป็นจุดอ่อนที่จ้าวจวินนำมาใช้บีบบังคับเธอได้ เมื่อเป็นเยี่ยงนั้นแล้ว ต่อไปหากซย่าชูชีต้องการไปที่แห่งหนใด ก็ไปไม่ได้งั้นหรือ
“เจ้าทึ่ม เจ้ากลับหมู่บ้านไปก่อนดีไหม”
เจ้าทึ่มนิ่งอึ้งจ้องมองหน้าเธออยู่เยี่ยงนั้น เอียงศีรษะราวกับไม่ค่อยเข้าใจนัก
“เฉ่าเอ๋อร์ เจ้าจะไม่กลับไปด้วยหรือ”
ซย่าชูชีกล่าวตอบด้วยความลังเลใจขณะที่ทรวงอกบีบรัดจนแน่นขนัด “ข้า... เอ่อ...”
หลังจากถูกลูบศีรษะอย่างแผ่วเบา เจ้าทึ่มเหมือนพลอยได้สติไปด้วย จึงหันหลังคุกเข่าลงตรงหน้าเธอ ตบไหล่กว้างของตนซ้ำอีกครั้ง “เฉ่าเอ๋อร์เจ้าคงเหนื่อยล้ามาก ขึ้นมาสิ เดี๋ยวข้าจะแบกเจ้ากลับบ้านเอง...”
บ้าน...
เธอมีบ้านเสียที่ไหนกัน
เมื่อมาถึงโลกใบนี้ ก็โดดเดี่ยวตัวคนเดียว ต้นหญ้าน้อยยังมีรากให้ยึดแต่ตัวเธอนั้นไม่มีสิ่งใดเลย
เจ้าทึ่มรอคอยเป็นเวลานานเธอก็ยังไม่ขยับตัวเสียที พอหันหลังกลับไปมอง พาลรู้สึกหงุดหงิดทันใด จึงเข้าไปแบกเธอขึ้นบ่า ก่อนสาวเท้าเดินออกไปด้านนอกโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
“กลับบ้านของเรากัน กลับบ้าน... เราจะไม่อยู่ที่นี่แล้ว ถึงมีเนื้อให้กินก็ไม่อยู่...”
เจ้าทึ่มยังคงเป็นเจ้าทึ่มเสมอ เขาจะล่วงรู้มูลเหตุได้เยี่ยงไร หรือจะเข้าใจได้เยี่ยงไรว่าการที่อยากจะไปใช่ว่าจะไปได้เลย ไม่ว่าซย่าชูชีจะเอ่ยพูดเช่นไร เขาก็ไม่ยอมปล่อยมือ และไม่สนด้วยว่าเหมยจื่อจะวิ่งตามหลังมาอย่างร้อนใจ เขายิ่งก้าวเท้ายาวขึ้นเรื่อยๆ ด้วยแรงมหาศาลจึงรุดหน้าจากห้องซีเพ่ยไปยังประตูเมืองตะวันตกของที่พักแรม
ยังไม่พ้นประตูเมือง ก็พลันเหลือบไปเห็นกลุ่มคนที่เดินมาจากที่พักแรม
นอกจากจ้าวจวินในเกราะสีทองทมิฬทั้งตัว พร้อมมือที่กำแส้ม้าสีดำขลับ ข้างกายเขายังมีเจิ้งเอ้อร์เป่ากับทหารอารักขาคนสนิทอีกหลายสิบนาย
เขาควบม้าพลางกวาดสายตามองด้วยความเย็นชา
เจิ้งเอ้อร์เป่าเป็นคนฉลาดและขี้เล่น เมื่อเหลือบไปเห็นสีหน้าคร้ามเข้มเอาแน่เอานอนไม่ได้ของท่านอ๋อง เขาจึงกระแอมเสียงต่ำในลำคอ
“ให้ตายสิเจ้าทึ่ม ยังไม่ปล่อยนางลงมาอีกหรือ เป็นคนของตระกูลตัวเองแท้ๆ แต่ไร้กฎระเบียบนัก”
แม้ว่าเจ้าทึ่มจะมองจ้าวจวินด้วยสายตาขลาดกลัว หากยังยืนกรานคอตั้งไม่ยอมปล่อย “พวกข้าจะกลับบ้าน ไม่อยู่ที่นี่แล้ว”
จ้าวจวินเม้มริมฝีปากเงียบอย่างเย็นชา ทำเอาเจิ้งเอ๋อร์เป่ารู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้า
ท่านอ๋องผู้นี้มีนิสัยรักสันโดษและเข้าใจยาก ในใจกำลังคาดคะเนอะไรอยู่เขาก็ไม่อาจรู้ได้ เจ้าทึ่มนั่นก็ยิ่งเป็นคนที่ไร้เหตุผลเข้าไปอีก ควรจัดการเยี่ยงไรดี เขาเอียงศีรษะส่งสายตาให้ทหารคนสนิทสองนาย สองคนนั้นจึงกดดาบคาดเอวแล้วสืบเท้าเดินไปยังเจ้าทึ่มทันที
“หยุด! จะทำอะไร” จู่ๆ จ้าวจวินก็ตวาดเสี่ยงต่ำอย่างเย็นชา