นอกจากถ้อยแถลงของทางการที่ร่ายยาวกล่าวสรรเสริญผลการศึกของจ้าวจวินที่อยู่เบื้องหน้าแล้ว จุดประสงค์ที่สำคัญอีกอย่างคือ... การเร่งให้เขากลับเมืองหลวงเพื่อรายงานผลในวันนี้
นี่คือพระราชโองการเร่งด่วนลำดับที่สอง
ความเงียบเข้าปกคลุมไปชั่วขณะ จ้าวจวินยื่นพระราชโองการให้เจิ้งเอ้อร์เป่าถือไว้ ส่วนตนก็เดินไปนั่งบนเก้าอี้อรหันต์ไม้จันทน์แดงข้างบานหน้าต่างด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อน เย่ว์อวี้ที่ยืนคอยตรงบริเวณด้านข้างจึงรีบนำหมอนเข้ามา จัดวางในตำแหน่งที่เหมาะสมให้กับเขาก่อนจะก้าวถอยหลังกลับไปด้านข้างดังเดิม
ซย่าซูชีสามารถสัมผัสได้ถึงบรรยากาศภายในห้องโถงที่เงียบสงัดวังเวง
ทว่าเรื่องภายในราชวงศ์ดูไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับเธอเสียเท่าไรนัก ถึงแม้เธอจะกินข้าวบ้านเขาก็ตาม
เป็นเวลาเนิ่นนาน พลันได้ยินน้ำเสียงทุ้มต่ำของจ้าวจวินดังขึ้น “เสี่ยวหนูเอ๋อร์”
ซย่าชูซีชะงักงันเมื่อถูกเขาเรียกขาน “ขอรับ”
จ้าวจวินขมวดคิ้วมุ่นเบาๆ สะบัดมือไล่คนอื่นที่เหลือ จนกระทั่งพวกเขาพากันถอยออกไป จึงให้เธอเดินเข้ามาแทน
“ข้าอยากทดสอบเจ้าเสียหน่อย”
ทดสอบเธองั้นหรือ ซย่าชูซีเม้มปากน้อยๆ แล้วตอบรับ “อือ” เสียงบางเบาด้วยความห่อเหี่ยวไร้จิตวิญญาณใดๆ
เขาเอ่ยถามเสียงเรียบ “มีภูเขาสูงตระหง่านฟ้าอยู่หนึ่งลูก บรรดาสัตว์ดุร้ายบนภูเขาต่างต้องการที่จะเป็นราชาแห่งสัตว์ป่าเพียงหนึ่งเดียว ด้วยเหตุนี้ พวกมันจึงเกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวก ฆ่าฟันกันเอง ก่อความวุ่นวายด้วยความอุบาทว์โจ่งแจ้ง หากเจ้าเองก็เป็นหนึ่งในสัตว์ป่าที่อยู่บนภูเขาลูกนี้ ด้านหน้ามีสุนัขจิ้งจอก ด้านหลังมีเสือที่ดุร้าย เจ้าจะจัดการเยี่ยงไร”
เป็นการยกตัวอย่างได้ค่อนข้าง....
ซย่าชูชีขบคิดแล้วแย้มยิ้มบางๆ “นายท่าน สัตว์ที่ไม่ต้องการเป็นราชาสัตว์ป่า มีสิทธิ์เลือกได้เสียที่ไหนกัน”
จ้าวจวินชายตามองเธอแวบหนึ่ง “อย่างไร”
ซย่าชูชีหยัดริมฝีปากน้อยๆ นัยน์ตาสุขสกาวคู่นั้นฉายแววเจ้าเล่ห์
“ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีเพียงผู้ที่กุมอำนาจไว้ในมือเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ออกเสียง อย่างตัวท่านกับข้า หาใช่ตัวข้าที่โง่เขลากว่าท่าน หรือตัวท่านที่แข็งแกร่งกว่าข้า กล่าวโดยสรุปก็คือ ข้าไม่มีสิทธิ์ไม่มีอำนาจเช่นท่าน ไร้ทหารไร้นายพลไร้หูตาเท่าท่าน ถึงมาตกมาอยู่ในสภาพนี้”
หลังจากที่เงียบเสียงลงสักพัก ก็ไม่เห็นเขาเปล่งเสียงพูด หรือแสดงสีหน้าคร้ามเข้มแต่อย่างใด เธอจึงเริ่มกล่าวต่ออย่างนุ่มนวล “มีประโยคนึงที่ท่านน่าจะเข้าใจดีกว่าข้า ในราชสำนักสมัยโบราณนั้นพ่อกับลูกเปรียบเสมือนกษัตริย์กับขุนนาง... หรือวิหคสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน กระต่ายม้วยย่างสุนัข”
“บังอาจ!”
ใบหน้าจ้าวจวินพลันเปลี่ยนสี ชายตามองเธอด้วยสายตาเย็นยะเยือก
ซย่าชูชีเชิดคางขึ้นเล็กน้อย มองเขาอย่างไม่สะทกสะท้านเช่นกัน ทว่าดวงตาของเขาทั้งลุ่มลึก ซับซ้อนและเข้าใจยาก ทำเอาเธอไม่รู้เลยว่าคำสอพลอเยินยอของตนนี้ถูกต้องหรือไม่
หรือว่าเขาไม่ได้ต้องการเหตุผลที่ดีพอในการชิงตำแหน่งองค์รัชทายาท
คนทั้งคู่มองตากันอยู่สักพัก สีหน้าเย็นยะเยือกดุจผลึกน้ำแข็งของจ้าวจวินก็ค่อยๆ คลายลง หลับตาแล้วเอนศีรษะหนุนลงบนหมอน
“ออกไปเถอะ ต่อไปนี้ห้ามเอ่ยพูดเช่นนี้อีก”
“เจ้าค่ะ...”
ซย่าชูชีจ้องมองเขาด้วยสายตาโกรธเคือง ทั้งแยกเขี้ยวใส่อย่างแรงโดยไม่คิดว่าเขาจะลืมตาขึ้นมามองอย่างฉับพลัน ทำเอาความรู้สึกที่เธอแสดงออกมาถึงกับแช่ค้างอยู่บนใบหน้า โชคดีที่เขาชินกับความอวดดีของเธอแล้ว
“ออกไปบอกเจิ้งเอ้อร์เป่า ให้ซุนเจิ้งเย่นำประวัติการรักษาของข้ามอบให้แก่ม้าเร็วเพื่อส่งไปยังเมืองหลวง ใจความว่าข้านำกองทัพทหารโจมตีทางไกล อาการป่วยทางร่างกาย และจิตใจเรื้อรังจนยากแก่การรักษา แม้เพียรพยายามกลับไป หัวใจฮึดสู้หากแต่กำลังแรงกลับอ่อนล้าเต็มที แบกรับบุญคุณอันล้นพ้นขององค์ฮ่องเต้ ขอทรงดำเนินบทลงโทษอีกคราหลังกลับถึงเมืองหลวง”
เขากล่าวร่ายยาวอย่างสุภาพ ซย่าชูชีฟังแล้วจับใจความได้ว่า เขาต้องการแสร้งป่วยและหยุดพักที่ชิงกั่ง
เหอะ เขานับว่าฉลาดจนเกินไป หรือว่าไม่ต้องการต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์จริงๆ กันแน่
มีโอรสฮ่องเต้องค์ใดในประวัติศาสตร์ที่ไม่ต้องการขึ้นเป็นองค์รัชทายาทบ้าง
ซย่าชูชีส่งเสียงตอบรับด้วยความโกรธแค้น แม้รู้ทั้งรู้ว่าเขาคล้ายอารมณ์ไม่ดี แต่ก็อดที่จะซักไซ้ไล่เลียงอีกสักประโยคไม่ได้
“เจ้าทึ่มของข้าล่ะ ตอนนี้ข้าสามารถพบเขาได้แล้วใช่ไหม”
เขานิ่งเงียบโดยไม่เอ่ยไปชั่วขณะ จ้าวจวินก็ปรายตามองอย่างเย็นชา “ได้พบเจ้าทึ่ม เจ้าจะไม่ออกนอกลู่นอกทางได้งั้นหรือ”
ครุ่นคิดสักพักใหญ่ เธอก็ยกมุมปากอย่างร้ายกาจ แล้วกัดสาลี่ในชามผลไม้ซึ่งยั่วยวนใจมาเป็นเวลานาน และเคี้ยวกร้วมๆ ก้มศีรษะลง ขยับเข้าใกล้แล้วยิ้มตาหยีใส่ใบหน้าของเขา พลางเน้นย้ำทีละคำ
“เกี่ยว-อะไร-กับ-เจ้า!”
จ้าวจวินใบหน้าเคร่งขรึม ก่อนตะโกนเสียงเย็น “เหมยจื่อ”
เหมยจื่อที่คอยอยู่บริเวณนอกห้องจึงรีบเดินเข้ามาด้านในอย่างรวดเร็ว “นายท่าน”
เขาสะบัดมือไล่อย่างเย็นชาโดยไม่เหลือบสายตามองซย่าชูชี
“พานางไป!”
เหมยจื่อตกใจตัวสั่นเทิ้มจนต้องหลับตาปี๋ ส่วนซย่าชูชีก็ค่อยๆ ถอยหลังออกไปช้าๆ
เมื่อเดินมาถึงประตูทางเข้าห้องโถงใหญ่ เธอก็เหลียวหลังกลับไปมองบุรุษสูงศักดิ์และเมินเฉยซึ่งเอนกายพิงเก้าอี้อรหันต์ผู้นั้นโดยไม่รู้ตัว เวลานี้แสงสลัวที่สาดทะลุหน้าต่างเข้ามาได้ส่องกระทบเสี้ยวหน้าของเขาอย่างพอดิบพอดี ทำให้เขาเหมือนกำลังเคลิบเคลิ้มอยู่ท่ามกลางบรรยากาศอันน่ามหัศจรรย์ ใบหน้าครึ่งแรกช่างดูสูงศักดิ์สมเกียรติ อีกครึ่งหนึ่งดูเย็นชาและมืดมน แต่เมื่อสิ่งเหล่านี้ปรากฏออกมาเป็นความขัดแย้งอย่างเด่นชัด มันจึงเหมือนเป็นความจนใจภายใต้การบราฆ่าฟันในอำนาจของกษัตริย์
ทั้งยังคล้ายกับว่า เขาเป็นผู้ชายขี้เหงาซึ่งถูกรังแก
พระอาทิตย์เคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตก กระแสน้ำไหลไปยังทิศตะวันออก มันก็เหมือนกับโชคชะตานี้ที่ผลักเจ้าไปข้างหน้า ไม่ว่าเจ้าจะผลัก ขวางกั้น หรือขยับเขยื้อน เจ้าก็ยังต้องก้าวเดินไปข้างหน้า สิ่งที่ซย่าชูชีผู้แสนขี้เกียจคนนี้ไม่ชอบทำที่สุดก็คือ “การดูถูกตนเอง ดูถูกผู้คน และถูกผู้อื่นรังแก” ฉะนั้นในเมื่อเรื่องราวได้ดำเนินมาจนถึงขั้นนี้แล้ว เธอก็ได้แต่ปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตา ไม่ขอให้จารึกชื่อในหน้าประวัติศาสตร์ แค่พยายามรักษาชีวิตน้อยๆ ของตนเอาไว้
“ฉู่ชี ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้องเจ้า...”
น้ำเสียงเหมยจื่อทุ้มต่ำประดุจยุงบินว่อน ทว่ากลับหยุดยั้งทฤษฎีข้ามเวลาที่เธอกำลังขบคิดอยู่
“อะไรหรือ”
“ข้า...” นางชำเลืองมองเธอแวบหนึ่ง เหมยจื่อก็เอ่ยอย่างอ้ำอึ้งซึ่งไม่รู้เหตุผลว่าทำไมเช่นกัน ความจริงแล้วฉู่ชีนั้นไม่แตกต่างอะไรกับข้ารับใช้ข้างกายคนอื่นๆ ของท่านอ๋องมากนัก สวมชุดเนื้อผ้าเขียวเหมือนกัน ใส่รองเท้าผ้าเหมือนกัน ทว่านางกลับสัมผัสได้ว่าฉู่ชีดูต่างออกไป ท่านอ๋องไม่เพียงปฏิบัติต่อเธออย่างแตกต่าง แม้แต่กลิ่นอายที่เธอส่งออกมานั้น ยังเหมือนกับสามารถทำให้นางเกิดความรู้สึกต่ำต้อยลงไปอีกหลายส่วน
ซย่าชูชีหรี่ตามอง “พูดยากขนาดนั้นเลยหรือ”
เธอเว้นจังหวะแล้วส่งเสียงหึออกมา พลางสะบัดแขนเสื้อ ประกอบกับเพิ่มความเร็วในการสาวเท้าเดิน “งั้นก็ไม่ต้องพูดแล้ว”
“นี่ ฉู่ชี....” เหมยจื่อดึงแขนเสื้อเธอไว้ พลางกัดริมฝีปากล่าง “ข้าจะพูดแล้วๆ”
ซย่าชูชีไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้หรือหัวเราะดี ช่างเป็นเด็กน้อยเสียจริง
แน่นอน เธอก็ลืมไปเช่นกันว่าตนเองในสายตาของผู้อื่น ที่จริงแล้วก็เป็นเพียงแค่เด็กสาวคนหนึ่งเท่านั้น
“ฉู่ชี เจ้าดูหน้าข้าสิ ไม่กี่วันมานี้ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใดตุ่มแดงถึงได้ขึ้นมามากมาย... ข้ากลัวว่าพี่เย่ว์อวี้จะรังเกียจที่ข้าน่าเกลียด จนไม่อนุญาตให้ข้าเข้าปรนนิบัติรับใช้ข้างกายท่านอ๋อง ข้า ข้าเลยอยากขอร้องให้เจ้าช่วยข้าหน่อย...”
ซย่าชูชีพินิจมองอย่างละเอียด เหมยจื่อผู้นี้เกล้าผมมวยขึ้นสองข้าง สวมเสื้อคลุมสีเขียวอ่อน ใบหน้ากลมปะแป้งขาวนวล ช่างน่ารักน่าเอ็นดูเสียเหลือเกิน ทว่าตุ่มแดงเม็ดใหญ่เม็ดเล็กมากมายที่เกิดขึ้นบนใบหน้ากลับส่งผลกระทบต่อความงดงามอย่างแท้จริง
ดวงตาเธอฉายแววเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ข้าช่วยเจ้าได้ที่ไหนกันเล่า”
เหมยจื่อบุ้ยปาก “ข้าเคยไปหาหมอซุนมาแล้ว ดื่มยาจีนตุ๋นมาไม่น้อยแต่ก็ไม่เห็นผล ซ้ำตุ่มแดงยังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อีก หมอซุนบอกว่าเขาไม่ชำนาญการทางด้านนี้นัก ยังบอกอีกว่าฝีมือการแพทย์ของฉู่ชีอยู่ในระดับดี เจ้า เจ้าต้องมีวิธีรักษาอย่างแน่นอนใช่หรือไม่”
วิธีรักษานั้นมีแน่นอน
หากแต่ ใช่ว่าจะใช้วิธีการรักษาได้ตามใจชอบ...
ครุ่นคิดสักพัก เธอก็เกาศีรษะราวกับรู้สึกลำบากใจอย่างหนัก แล้วกล่าวด้วยความขมขื่น “นี่คือโรคผิวหนังที่พบเห็นได้ยากชนิดหนึ่ง เกรงว่านอกเสียจากข้าแล้วคงไม่มีผู้ใดสามารถรักษาได้ แต่เรื่องที่น่าทรมานแรงกายแรงใจเช่นนี้ จะมีประโยชน์อันใดกับข้าหรือ”