ซย่าชูชีไหนเลยจะยอมให้พวกเขาจับจ้องต่อไป เธอซบลงตรงไหล่ของเจ้าทึ่มราวกับไม่ได้รับความเป็นธรรมจากสวรรค์ ‘ร่ำไห้’ ปานจะขาดใจจนผู้คนรอบข้างต่างอดถอนหายใจออกมาด้วยความสงสารอย่างท่วมท้นไม่ได้ ไหล่ทั้งสองข้างนั้นสั่นไหว พร้อมกลั้นรอยยิ้ม...
รอยสักอักษร ‘เจี้ยน’ ตัวนี้แม้ไม่เข้มนัก แต่การกำจัดนั้นก็ไม่ง่าย ในยุคปัจจุบันเองยังต้องใช้วิธีเลเซอร์ในการรักษานับครั้งไม่ถ้วน พึ่งแค่ยาแผนโบราณยิ่งต้องใช้เวลานานกว่านั้น อีกอย่างถ้าหากใช้ยาผิดแขนงก็มีโอกาสมากที่จะทิ้งรอยแผลเป็นไว้ เธอจะกล้าลองมั่วๆ ได้อย่างไรกัน
ดังนั้นเธอจึงหาวิธีปรับไว้แล้ว
เรื่องนี้จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย
ยุคปัจจุบันที่เธออยู่ในชาติก่อนสการ์แว๊กซ์ที่ใช้กันในการแต่งหน้าถ่ายภาพยนต์นั้นไม่ใช่ของหายากอะไรเลย เหล่าสาวๆ ผู้รักสวยรักงามทั้งหลายที่อยากจะประหยัดเงินก็ใช้สการ์แว๊กซ์มาปกปิดขนคิ้วรอยแผลเป็นก็ตั้งมากมาย แต่ตอนนี้เป็นกรณีเร่งด่วนเกินไป เธอไม่มีวิธีที่จะทำสการ์แว๊กซ์ที่ใกล้เคียงกับสีผิวออกมาได้ นอกจากนี้สีดำยังปกปิดได้ดีที่สุด ให้เจ้าทึ่มช่วยเธอหาวัตถุดิบซึ่งหาได้ในท้องถิ่นที่ทำเป็นยางอย่างต้นจ้าวจย๋ากับพืชสมุนไพรที่ใช้ย้อมสีดำอย่างใบพลับกับใบเขียวเหมันต์ เติมขี้เถ้าก้นหม้อ แช่เกลือให้สีไม่ตก เคี่ยวจนกลายเป็นสการ์แว๊กซ์สีดำ ทาให้ทั่ว เพียงเท่านี้มองเผินๆ ก็เหมือนกับปานดำแล้ว
ทว่าของพวกนี้ก็ต้องคิดคำนึงหลายตลบ ถึงแม้ว่าจะทำให้นางฟั่นตกในที่นั่งลำบากได้ แต่เธอก็ยังแสร้งทำเป็นโง่เขลาต่อไป
“ยังไม่ไสหัวไปอีก! น่าขายหน้านัก”
ฟั่นฉงเหลียงตำหนิบุตรสาว เมื่ออยู่ต่อหน้าจ้าวจวินก็เปลี่ยนไปทำหน้าประจบประแจง “องค์ชาย บุตรสาวกระหม่อมช่างโง่เขลานัก ทำให้การเสด็จของพระองค์ล่าช้า กลับไปข้าน้อยจะลงโทษนางให้หนัก”
เขาพยายามที่จะหาทางหนีทีไล่ให้กับนางฟั่น เขากลับคาดไม่ถึงว่าจ้าวจวินจะถามอย่างเป็นจริงเป็นจัง
“ใต้เท้าฟั่นจะลงโทษอย่างไรหรือ”
เมื่อได้ยินดังนั้นในใจของฟั่นฉงเหลียงก็เกิดความวิตก ตามกฎหมายของต้าเยี่ยน ผู้ที่เล่าความเท็จกล่าวหาผู้บริสุทธิ์ต้องได้รับการลงโทษ เพื่อเป็นการชี้แจงแก่จิ้นอ๋อง และคำนึงถึงสายตาของอาณาประชาราษฎร์ทั้งเมือง เขาจึงกัดฟันส่งสายตาเป็นนัยให้ท่านอาจารย์อย่างหวาดหวั่น
“องค์ชาย กระหม่อมจะนำตัวหญิงชั่วช้าผู้นี้มัดกลับไปที่คุกใหญ่ของที่ว่าการอำเภอ ลงโทษให้หนักตามกฎหมายแน่พ่ะย่ะค่ะ”
ลงโทษ? ในใจของซย่าชูชีนั้นเย็นยะเยือก
ที่ว่าการอำเภอสกุลฟั่นเป็นคนริเริ่ม คุกใหญ่ที่ว่านั่นก็เท่ากับห้องรับรองมิใช่หรือ
นายสันติบาลสองคนเข้ามามัดนางฟั่นอย่างรู้งานเตรียมจะนำตัวนางไป
ทันใดนั้น จ้าวจวินกลับเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “ช้าก่อน...”
ฟั่นฉงเหลียงพลันมีเหงื่อเย็นผุดขึ้นที่หลัง “องค์ชาย? หรือท่านสงสัยว่ากระหม่อมจะปกป้องหญิงชั่วช้าผู้นี้”
“ใต้เท้าฟั่นคิดมากไปแล้ว ข้ารู้ว่าท่านเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาเกี่ยวข้อง ถึงแม้ความผิดของแม่นางฟั่นนั้นไม่อาจให้อภัยได้ แต่เด็กในครรภ์เป็นผู้บริสุทธิ์”
ใครจะไปนึกว่าจิ้นอ๋องจะขอความเมตตาให้แก่แม่นางฟั่น ซย่าชูชีนั้นเกลียดจนคันฟันยุบยิบ เธอก็คิดเหมือนกับทุกคนนั่นแหละ ไม่มีทางจะเข้าใจชายผู้ถูกขนานนามว่า ‘มัจจุราชหน้าตาย’ ได้ ว่าด้วยเหตุใดจึงใจดีห่วงใยทารกในท้องของหญิงตั้งครรภ์ จึงคิดปล่อยนางฟั่นไปเช่นนี้...
“ขอบพระทัยองค์ชาย ขอบพระทัยองค์ชาย...”
ฟั่นฉงเหลียงยินดีจนใบหน้าชราเหี่ยวย่นแดงก่ำไปหมด โขกศีรษะด้วยความยินดี
“ใต้เท้าไม่ต้องมากพิธี! ลากนางไปตบปากห้าสิบที กับโบยอีกยี่สิบไม้เพื่อเป็นการลงโทษ เท่านี้ก็พอแล้ว”
การเปลี่ยนแปลงชั่วพริบตานี้ทำให้ทุกคนตกตะลึงจนตัวแข็งเป็นหิน
พ่อลูกสกุลฟั่นพลันรู้สึกเย็นยะเยือกราวกับตกอยู่ในฤดูหนาวเดือนสิบสอง พวกเขาไร้ซึ่งคำพูดใดๆ
จิ้นอ๋อง ช่างโหดร้ายนัก!
มองเผินๆ เหมือนองค์ชายจะไว้หน้าคับฟ้าของฟั่นฉงเหลียง แต่แท้จริงแล้วกลับทำร้ายเขาจนเป็นใบ้รับประทาน องค์ชายช่างโหดร้ายเหนือบรรยาย แต่ถึงอย่างนั้นซย่าชูชีกลับพบว่า แบบนี้แหละถึงจะเข้ากับนิสัยหน้าเนื้อใจเสือของกางเกงชั้นในแดง เธอรู้นานแล้วว่า ภายใต้ความเคร่งขรึมน่าเกรงขามบนใบหน้าที่ตึงเป็นไม้กระดาน มีกลิ่น ‘ชั่วร้ายซึ่งภายนอกเป็นเทพบุตรภายในเป็นปีศาจ’ กล่าวได้ว่าไม่มีผู้ใดเทียบได้
คนต่ำช้าอย่างไรก็ต่ำช้าอยู่วันยังค่ำ!
ใบหน้าของฟั่นฉงเหลียงเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น แต่ยังพยายามต่อรองเพื่อลูกสาว
“แต่องค์ชาย การถูกตัดสินก่อนการพิจารณาคดีตามกฎหมายต้าเยี่ยน ไม่มีความเป็นธรรมนะพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวจวินสาดสายตามองมา แผ่กลิ่นอายของกษัตริย์ที่เกิดมาเพื่อมองดูสรรพสิ่งจากเบื้องบน ทำให้ผู้คนไม่กล้าเงยหน้ามองเขาตรงๆ
“ตัวข้าก็คือกฎ ใต้เท้าฟั่นมีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือ”
“กระหม่อม กระหม่อมมิบังอาจ!” ฟั่นฉงเหลียงกล่าวออกมาอย่างยากลำบาก
นางฟั่นร่ำไห้ยามที่ถูกลากตัวไป เมื่อลงฝ่ามือในคราแรก ฟันสองซี่ก็หลุดออกมา เสียงกรีดร้องนั้นสยดสยองเป็นที่สุด แต่เหล่าผู้คนที่มองอยู่รอบๆ กลับไร้เสียงสนทนาใดๆ นอกจากเสียงลมพัดโบกสะบัดธงเบาๆ แล้ว ตรงข้างถนน ก็มีเพียงเสียงร้องโหยหวนคร่ำครวญของนางฟั่น และเสียงหวดไม้ลงบนผิวเนื้อชวนอึดอัด
เป็นเรื่องยากเกินจินตนาการที่ผู้คนจำนวนมากจะนิ่งเงียบอยู่ในสถานที่เดียวกันได้
แต่ทว่าในตอนนี้นั้นช่างเงียบเชียบเสียเหลือเกิน เงียบจนได้ยินเสียงนางฟั่นกรีดร้องไห้เสียงแหลมทะลุเข้ามาในหู
กลิ่นคาวเลือด ความรุนแรง ช่างสยดสยองสุดจะทนมองได้!
ความโหดเหี้ยม รุนแรงภายใต้ความสงบของจิ้นอ๋องนั้นก็เป็นที่ประจักษ์อีกครั้ง
หญิงตั้งครรภ์ไหนเลยจะสามารถทนการโบยถึงยี่สิบไม้ได้ ซย่าชูชีไม่มีกะจิตกะใจจะไปสนใจแล้ว เธอเพิ่งเห็นการลงโทษอย่างโหดร้ายของสมัยโบราณเป็นครั้งแรก พลันเกิดเป็นภาพหลอนที่องค์ชายต่ำช้านี่แท้จริงแล้วกำลังเชือดไก่ให้ลิงดู
และเธอก็เป็นลิงตัวนั้น
แต่เมื่อเธอลองเหลือบมองไปทางเขา สายตาเฉยเมยของเขากลับไม่ได้มองมายังเธอเลย
หรืออาจจะพูดได้ว่า เขาจำเธอไม่ได้ตั้งแต่แรกแล้ว
“องค์ชายเสด็จ!”
เจิ้งเอ้อร์เป่าตะโกนด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด กองทัพทหารหลวงที่หยุดอยู่นานก็เริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้ง ผ่านไปทีละแถวอย่างเป็นระเบียบไกลออกไป ความยิ่งใหญ่ทรงอนุภาพทำให้ซย่าชูชีตึงเครียดจนเหงื่อซึมที่แผ่นหลัง
ในที่สุด ชายเลือดเย็นผู้นั้นก็ค่อยๆ กลืนไปกับกองทหารที่เคลื่อนจากไปไกล
เขาจำเธอไม่ได้...
ข้อเท็จจริงนี้ทำให้ซย่าชูชีผ่อนลมหายใจยาวด้วยความโล่งอก
จริงๆ เลย เธอผ่านวิกฤตได้เสียที
หญิงสาวลากเจ้าทึ่มที่กำลังครุ่นคิดอยู่อย่างมีความสุข จากนั้นตามกลุ่มคนที่เดินไป มุงดู หรือไล่ตามอยู่บนถนน แล้วก็ค่อยๆ สลายตัว ขณะที่เธอเตรียมจะกลับไปซื้อเนื้อมื้อใหญ่สักสองเหลี่ยงที่ร้านขายเนื้อ ฉลองให้กับชีวิตใหม่สักหน่อย ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังขึ้นข้างหู
“แม่นาง องค์ชายเชิญให้พบ!”
ซย่าชูชีราวกับถูกฟ้าผ่าชวนให้อึดอัด พร้อมกับสันหลังแข็งเกร็ง
เจ้าคนต่ำช้านั่น กลั่นแกล้งเธออีกแล้ว?!
ซย่าชูชีคิดว่าถ้าหากรู้ตั้งแต่แรกว่ากางเกงชั้นในแดงข้างแม่น้ำชิงหลิง ไม่เพียงแต่เป็นท่านอ๋องสิบเก้าองค์ปัจจุบัน และยังได้ชื่อว่าเป็น ‘มัจจุราชเลือดเย็น’ ตีให้ตายอย่างไรเธอก็ไม่มีทางไปขโมยพยัคฆ์ทองคำน้อยของเขาเด็ดขาด ถ้าเป็นอย่างนั้นจะได้ไม่เป็นเช่นดังในตอนนี้ ให้ราชองครักษ์หลายคน ‘เชิญ’ อย่างไม่เกรงใจ แล้วมาถึงในห้องที่เต็มไปด้วยราชื้น เธอโดนคนจับมัดมือมัดเท้าไม่ว่า แต่ยังโดนสาวงามสองคนจับถูลูบคลำตามร่างกายอีกต่างหาก
ถึงจะงามก็เถอะ แต่เธอก็รับไม่ได้กับการค้นตัวเช่นนี้ โชคดีที่เธอเป็นคนฉลาด เอามันไปซ่อนเสียก่อน
แน่นอนว่าเธอก็เคยคิดมอบพยัคฆ์ทองคำน้อยตัวนั้น เพื่อแลกกับความปลอดภัย
แต่ดูท่าทางการ ‘เชิญ’ อันยุ่งยากของพวกเขาก็รู้ได้ว่ามันไม่ใช่แค่เครื่องประดับทองคำธรรมดา
ประสบการณ์บอกเธอว่าของชิ้นนี้เป็นของสำคัญ หากยอมรับว่าขโมยมาแล้วไปตกอยู่ในเงื้อมมือของจิ้นอ๋องเลือดเย็นนั่นละก็ ผลลัพธ์มีเพียงคำว่า ‘ตาย’ เท่านั้น มิหนำซ้ำอาจจะตายอย่างทุกข์ทรมานอย่างที่สุดอีกด้วย