“ชายหนุ่มทุกคนในหมู่บ้าน ต้องแบ่งจ่ายส่วยที่นา ท่านจู๋กงบอกว่าพรุ่งนี้ต้องมอบให้...”
แบ่งจ่าย?
นี่มันขูดรีดราษฎรไม่ใช่เหรอ
คนในหมู่บ้านหลิวเหนียนนอกจากปลูกพืชเลี้ยงสัตว์แล้ว ก็ไม่มีเบี้ยงเลี้ยงเพิ่มเติมให้กับชาวบ้าน พวกเขาจนจนเหลือแต่กระดูก แต่ส่วยทุกประเภทกลับสูงลิ่ว ขุดบ่อน้ำยังต้องแบ่งเงินจ่าย บูรณะศาลเจ้าก็ต้องแบ่งจ่าย ตอนนี้กองทหารจำนวนมากขององค์ชายสิบเก้าจะตั้งอยู่ในอำเภอนี้ จะต้องจัดจ่ายจำนวนไม่น้อย
ลำบากแต่ก็พูดอะไรไม่ได้!
เธอครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วยิ้มอย่างว่าง่าย พลางแกล้งทำเป็นใสซื่อ
“อาสะใภ้สาม เช่นนั้นท่านหาข้า...?”
อาสะใภ้สามยังคงยิ้มตาหยี “ต้าจู้น่ะไม่รู้ความ ร่างกายเจ้าก็ดีขึ้นมากแล้ว พรุ่งนี้เข้าเมือง เอาข้าวสารสองตะกร้าในยุ้งฉางไปแลกเงิน แล้วก็...” นางหยุดไปครู่หนึ่งถึงได้พูดต่อ “วันที่สิบห้าเดือนนี้เป็นวันดี เจ้าขายข้าวสารมีเงินเหลือ ซื้อผ้าลายสักสองสามฉื่อ[1] ทำชุดสวยๆ แล้วเข้าหอกับจู้จื่อเถอะ อย่าให้คนอื่นนินทาเอาได้”
เข้าหอ?
เจ้าทึ่มในสายตาเธอก็แค่เด็กน้อยนะ!
สำหรับการแต่งงานที่จัดเองเออเองไม่มีปี่มีขลุ่ยอย่างนี้ ซย่าชูชีไม่ยอมแน่อยู่แล้ว
แต่ก็ใจไม่แข็งพอจะทิ้งเจ้าทึ่มแล้วจากไปได้
อีกอย่าง ในตอนนี้เธอยังไม่มีที่ไป ต่างจากจอมยุทธ์หญิงที่เหาะเหินเดินอากาศในนิยายข้ามเวลาพวกนั้น ระบบขึ้นทะเบียนราษฎร์ของราชวงศ์ต้าเยี่ยนเข้มงวดกวดขัน ไปที่ไหนก็ต้องมีหนังสือผ่านทางของทางการ กับเด็กสาวยิ่งมีข้อจำกัด ผู้หญิงตัวคนเดียวอยากจะออกจากบ้านมาใช้ชีวิต พูดได้เลยว่าทางเดินขรุขระ
เธอรับปากอาสะใภ้สามไปงั้นๆ ตกดึกนอนไปครู่หนึ่ง ก็พลิกไปพลิกมาอย่างกระสับกระส่าย รู้สึกปวดหัวอยู่ตลอด แต่เจ้าทึ่มกลับไม่คิดอะไรมาก ตื่นเต้นเหมือนกับเด็กน้อย แกล้งไปฉี่แล้ววิ่งไปถามข้างนอกห้องของเธอว่าจะเข้าเมืองไปกับเธอด้วย
เสียงวุ่นวายนี้ทำให้ซย่าชูชียิ่งนอนไม่หลับ
กลางดึก จู่ๆ เธอก็นึกถึงพยัคฆ์ทองคำน้อยที่ฉวยได้ที่อยู่ในอก หมาป่าภูเขาน้ำแข็งข้างแม่น้ำชิงหลิงนั่นดูท่าไม่ใช่คนธรรมดา ถ้าเธอบุ่มบ่ามพามันเข้าเมือง คงจะไม่ค่อยปลอดภัยสักเท่าไหร่
ไม่ได้ ทำความเข้าใจสถานการณ์ก่อนค่อยคิดแผนการอีกที
เธอสะลึมสะลือลงจากเตียง เอาผ้าขาดๆ ผืนหนึ่งคลุมพยัคฆ์ทองคำน้อย ฝังในดินร่วนใต้หม้อปั้นมุมกำแพงแล้วเอาเท้าเหยียบให้เรียบอย่างไม่วางใจ แล้วถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก
อำเภอหลิงสุ่ยห่างจากตัวเมืองชิ่งกั่งประมาณยี่สิบลี้ กลางดึกขณะที่ทหารหลวงของแม่ทัพจิ้นอ๋องกำลังพักผ่อนอยู่นั้น ทว่าไฟในกระโจมของท่านแม่ทัพกลับคงจุดอยู่ ทหารเฝ้ายามสวมชุดนักรบสีแดงสดที่มีพู่ห้อยตรงฝักดาบสีดำยาวถือคบเพลิงลาดตระเวนอยู่นอกกระโจม ได้ยินเสียงก้าวเดินเป็นระเบียบท่ามกลางเสียงหวีดหวิวของสายลม
“รายงาน....!”
ท่านเน่ยซื่อ[2]เจิ้งเอ้อร์เป่ารีบเปิดม่านกระโจม ในเวลาเดียวกันก็เห็นองค์ชายกำลังเล่นหมากล้อมอยู่คนเดียว เขารีบกุมมือคุกเข่าลง
“ท่านอ๋อง หากจะไปเมืองหลวงให้ทัน ระยะทางอยู่ที่แปดร้อยลี้...”
วางหมากสีดำตัวหนึ่งลงไป จากนั้นจ้าวจวินก็รับหนังสือราชการแล้วอ่านจบในรวดเดียวด้วยท่าทีที่ไม่เปลี่ยนแปลง จากนั้นสั่งให้เจิ้งเอ้อร์เป่าจุดไฟเผา แล้วจ้องหมากล้อมอีกครั้ง หยิบหมากสีขาวมาถือในมืออยู่นานโดยไม่พูดอะไร
บรรยากาศรอบตัววังเวงยิ่งขึ้น
แม้ว่าเจิ้งเอ้อร์เป่ารับใช้เขามาหลายปี ก็อดตัวสั่นกลัวไม่ได้
องค์ชายสิบเก้าผู้นี้ นิสัยสันโดษและเอาแต่ใจนัก ยามปกติก็ไม่ได้แสดงว่าอารมณ์ดี เวลาโมโหก็ไม่ได้แสดงอารมณ์ ยิ่งนิ่งยิ่งทำให้รู้สึกกลัว โดยเฉพาะสองสามวันมานี้ เขาส่งให้ทหารไปตระเวนหาหญิงสาวคนหนึ่งในอำเภอหลิงสุ่ยและชิงกั่ง เมื่อไร้วี่แวว สีหน้าของเขายิ่งเย็นเยียบเกินบรรยาย เวลานี้ไม่มีใครกล้าแหย่หนวดเสือ
“ท่านอ๋อง ยังมีอีกเรื่อง...”
จ้าวจวินไม่ได้เคลื่อนสายตา หมากขาวหมากดำตรงหน้าครองอาณาเขตครึ่งๆ ต่างฝ่ายตามไม่อ่อนข้อไม่อาจครองพื้นที่อีกฝ่ายได้ และดูเหมือนเขาไม่ได้ยินคำพูดของเจิ้งเอ้อร์เป่าเลยเอาแต่ขมวดคิ้ว
เมื่อสำรวจใบหน้าและสีหน้าของเขา เจิ้งเอ้อร์เป่าที่เป็นคนปากไวเสมอวันนี้กลับลังเลเล็กน้อย
“ท่านอ๋อง คนส่งสารฝากถ้อยคำของนัดดารัชทายาทมาให้ท่าน...”
จ้าวจวินชะงักไปครู่หนึ่ง ใช้สายตาเย็นเยียบมองเขา “เรื่องใด”
“ระหว่างทางกลับเมืองหลวงขอให้ท่านอ๋องสืบหาคนคนหนึ่ง”
“ใคร”
“บุตรสาวของเจ้าแคว้นเว่ยกั๋วคนก่อนซย่าถิงกั้น พระชายาที่ฮ่องเต้พระราชทานให้กับนัดดารัชทายาท...”
ฤดูใบไม้ผลีปีที่ยี่สิบสี่ของหงไท่จ้าวจวินไปรบที่อูน่าไปัจจุบันคือฤดูหนาวที่ยี่สิบห้าของหงไท่ เขาต้องใช้ชีวิตอยู่ชายแดนเกือบสองปี แต่ความเคลื่อนไหวในราชสำนักก็ไม่อาจปิดหูปิดตาได้ หนึ่งปีก่อน เมืองหลวงเกิดเหตุครั้งใหญ่ที่ราชสำนักและประชาชนต่างตกตะลึง ซย่าถิงกั้นเจ้าแคว้นเว่ยคนก่อนถูกแฝดน้องซย่าถิงเต๋อเปิดโปงว่าขายชาติสมคบคิดกับศัตรู ครอบครัวที่ยังเหลืออยู่เจ็ดสิบคนถูกประหารทั้งหมด เหลือเพียงคุณหนูเจ็ดไม่รู้ว่าลงเอยอย่างไร
เขาไม่เคยเจอหลานสะใภ้ที่ฮ่องเต้เป็นคนเลือกเลย แต่รู้ว่าชื่อเสียงของนางไม่ค่อยดีนัก
เพียงแค่หลังจากเกิดเรื่องนี้ได้ไม่นาน จ้าวเหมียนเจ๋อก็แต่งกับคุณหนูสามบ้านของซย่าถิงเต๋อเพราะมีคุณงามความดี เปิดโปงแฝดพี่และเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าแคว้นเว่ย ว่ากันว่าทั้งสองสนิทสนมและเหมาะสมกัน แล้วตอนนี้เหตุใดยังปรารถนาอีก
ไส้ตะเกียงแตกเปรี๊ยะเบาๆ เขาลงหมากอีกตัวอย่างสงบนิ่ง
“วันพรุ่งยามเหม่า[3] เคลื่อนกำลังไปจุดพักแรมชิงกั่ง”
“ขอรับ!” เจิ้งเอ้อร์เป่าลอบถูมือ “เช่นนั้น จะให้ตอบนัดดารัชทายาทว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวจวินกุมมืออย่างเคร่งเครียด เอ่ยเนิบนาบ “ตอบกลับไป...กลับเมืองหลวงค่อยว่ากัน”
“หา? แต่ท่าน...”
“ไป!”
มุมปากของเจิ้งเอ้อร์เป่าเกร็งไม่พูดอะไรอีก
ท่านอ๋อง สืบหาระหว่างทาง...ก็เมืองหลวงแล้ว ยังช่วยหาคนด้วยเหตุใด
ไก่ขัน หมาเห่า
ท้องฟ้ากลับมาปลอดโปร่ง แต่ก็ยังหนาวเย็น
ซย่าชูชีควานหาชุดที่ดีที่สุดในลังเก่าๆ ส่องกระจกไม้ท้อสลักบุปผาแต่งตัวอยู่ในห้องคนเดียวอยู่นาน ถึงได้วางแผนเข้าเมืองกับเจ้าทึ่ม
เจ้าทึ่มเป็นคนโง่เง่า แต่กลับมีแรงมหาศาลแบกข้าวสารหนึ่งต้าน[4]เดินหลังตรงไปข้างหน้า ส่วนร่างกายที่เคยป่วยของเธออ่อนล้าอยู่บ้าง
ใต้ต้นจ้าวหย๋าใหญ่ฝั่งตะวันออกของหมู่บ้าน มีภรรยาหลายคนกระซิบกระซาบยิ้มพูดเสียงเบา แต่ก็ยังลอยเข้ามาในหูซย่าชูชีบ้างบางจังหวะ
“ได้ยินหรือไม่ นางฟั่นคนนั้น...”
“ปกติเห็นนางไม่ใช่คนมีคุณธรรม...ล่อนจ้อนอยู่ในคอกหมูตัวผู้...หมูตัวผู้ตัวนั้นมันคงอยาก...ทำตัวเสื่อมเสียจริง!”
“วันนี้นางรีบร้องไห้ไปตัวเมืองแล้ว ยังด่าทอนานทีเดียว...เหอะ กลัวแต่ว่าจะมีคนโชคร้ายอีกแล้วน่ะสิ นางน่ะเป็นคุณหนูบ้านผู้ว่าราชการอำเภอ...”
ซย่าชูชียกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
ไม่เคยมีใครยั่วโมโหนางแล้วรอดไปได้...
รอดูก็แล้วกัน!
พวกเธอไม่เจอวัวเทียมเกวียนเข้าเมืองเลยตลอดทาง จึงเดินเท้าเปล่ามากว่าหนึ่งชั่วยามจึงถึงตัวเมืองชิงกั่ง
ยังไม่ทันได้เข้าเมือง ก็เห็นกลุ่มคนล้อมกันเนืองแน่นเบียดเสียดอยู่ทางถนนส่งสารนอกเมือง ส่งเสียงเจี้ยวจ้าว...เขย่งเท้า ชะเง้อมอง ทักทายกัน แสดงท่าทีตลกขำขัน...เหล่านี้ดังไม่ขาดสาย คล้ายกับว่าทั่วทั้งเมืองวุ่นวายเพราะเรื่องเรื่องเดียว
จิ้นอ๋องใกล้จะถึงอำเภอชิงกั่งแล้ว
มีคนพูดว่าองค์ชายสิบเก้านำทหารสามแสนคนตีรัฐอูน่าแตกพ่าย แล้วยังจับเป็นองค์หญิงแห่งอูน่ากลับมา ต้มยำทำแกงกษัตริย์อูน่า ตัดหัวหรือเอวทหารอูน่าแสนกว่าคน แต่องค์ชายได้แผ่ความหนาวเหน็บให้กับราษฎรระหว่างกลับเมืองหลวง อยู่พักรักษาตัวอยู่ในอำเภอสองสามวัน
------
[1] ฉื่อ (尺) เป็นคำบอกความยาวของจีน 3 ฉื่อ เท่ากับ 1 เมตร
[2] เน่ยซื่อ (内侍) คำเรียกขันทีอีกแบบหนึ่งของจีน
[3] ยามเหม่า (卯时) การนับช่วงเวลาของจีนสมัยก่อน ระหว่าง 5:00-7:00
[4] ต้าน (石) คือหน่วยตวงของจีน