Episode 1
กาลครั้งหนึ่ง...
[All]
กาลครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว มีเด็กอ้วนดำตัวกลมที่ไม่ว่าจะมองตรงไหนก็หาความน่ารักน่าเอ็นดูไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว เด็กน้อยวัยไม่เต็มสิบสามขวบดีกลายเป็นแกะดำที่มักจะถูกเพื่อนในวัยเดียวกันและรุ่นพี่ปีสูงคอยกลั่นแกล้ง พูดจาบูลลี่กับปมด้อยที่มีติดตัวมาตลอดจนเด็กคนนั้นเองก็แทบไม่อยากไปโรงเรียนเลยสักวัน
ทุกครั้งที่ต้องเดินทางไปโรงเรียนพร้อมพี่สาวแสนสวยใบหน้ารูปไข่ ดวงตากลมโตที่ไม่ว่าใครเห็นเป็นต้องชื่นชมผิดกับเขาที่มักจะถูกเปรียบเทียบอยู่เสมอ
ไอ้เด็กนอกคอก...ไอ้ลูกคนละพ่อหรือแม้แต่การถูกพวกรุ่นพี่เอาไข่มาปาใส่หรือแม้กระทั่งเคยโดนสาดด้วยกะปิ น้ำที่ใช้ล้างบรรดาอาหารทั้งทะเลจนเหม็นคลุ้งไปทั้งตัวจนต้องแอบไปนั่งร้องไห้หรือซ่อนตัวตามโรงเก็บอุปกรณ์กีฬาอยู่บ่อยครั้ง
...หลายคนมองเด็กหนุ่มเป็นแค่ขยะ ที่มีไว้ใช้เพื่อโชว์ความเจ๋ง ความแมนของตนเองเท่านั้นแม้แต่พี่สาวที่โตกว่าเพียงแค่หนึ่งปีจะไม่เคยแกล้งเขาเลยก็ตามแต่ก็ไม่เคยยื่นมือเข้าปกป้องน้องชายเลยสักครั้ง บางครั้งก็ทำเป็นไม่รู้จักทำเป็นมองไม่เห็นเวลาที่เด็กน้อยถูกแกล้งก็มี
วันนี้เป็นอีกครั้งที่เด็กตัวเล็กถูกทำร้ายจนต้องหนีมาหลบหลังห้องน้ำเก่าอาคารห้องพักครู เขาอยากจะออกไปจากที่นี่ไม่อยากต้องทนอยู่ในสภาพแบบนี้อีกแล้ว ยิ่งเขาสู้กับพวกที่กลั่นแกล้งเขามากเท่าไหร่เขากลับถูกกลั่นแกล้งรุนแรงกว่าเดิมขึ้นทุกครั้ง
ความอัดอั้นที่ต้องทนมานานแสนนานกู่ร้องออกมาสะอึกสะอื้นด้วยความเสียใจ “ฮือ...” ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่เขาต้องโดนแบบนี้เนื้อตัวมอมแมมเต็มไปด้วยร่องรอยรองเท้าย่ำอยู่บนเสื้อสีขาว เพื่อนในห้องและรุ่นพี่หลายคนจับเขากดไปกับพื้นใช้เท้าเหยียบแขนขาและหน้าอกเพื่อไม่ให้ดิ้นหนี หนำซ้ำยังพากันเหยียบเท้ามาที่หน้าแล้วถ่ายรูปหัวเราะสนุกสนานกันอย่างสะใจ
วันนี้เขาเหนื่อยจนถึงที่สุดไม่อยากจะต้องพบเจอกับเรื่องแบบนี้อีกแล้ว ความคิดครอบงำมากมายหลั่งไหลเข้ามาภายในหัว
...ถ้าเขาตาย ๆ ไปซะจะได้หลุดพ้นจากเรื่องบ้า ๆ แบบนี้เสียทีนอกจากนั้นยังได้แก้แค้นเพื่อนสร้างตราบาปให้กับคนพวกนั้น...ครูที่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นมาตลอด เวลาถูกแกล้งทีก็ทำเป็นตักเตือนผ่าน ๆ แล้วสุดท้ายพวกนั้นก็กลับมาแก้แค้น เพื่อนที่คอยผลักไสเขาให้ออกห่างเพราะกลัวจะมีปัญหาตามไปด้วย
แกร็ก...แกร็ก...แกร็ก
นิ้วโป้งดันใบมีดคัตเตอร์จนถูกรูดขึ้นมาจากด้ามจับ สายตาจ้องมองไปยังปลายแหลมคมกริบ
กลัว! แน่นอนว่าความเจ็บปวดมันย่อมต้องน่ากลัวอยู่แล้วแต่ที่เด็กน้อยหวาดกลัวที่สุดคือถ้าเขาตายคุณปู่ที่เลี้ยงเขามาและพี่สาวคงจะต้องเสียใจ นิ้วมือสั่นไหวด้วยความลังเลนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คิดจะทำแบบนี้แต่ทุกครั้งที่ตั้งใจจะทำเขากลับเกิดกลัวจนต้องเลิกล้มไปเสียทุกที
แต่ไม่ใช่ครั้งนี้...
ใบมีดจรดไปที่ข้อมือเพียงแค่ลองกรีดไปเบา ๆ ก็มีเลือดซึมออกมาแล้วมาเจ็บ...เจ็บจนต้องร้องไห้ออกมาเจ็บจนไม่อยากทำ
หมับ!
อุ้มมือของใครคนหนึ่งกำเข้ามาที่ด้ามมีดเอาไว้แน่น กระชากคัตเตอร์อันเล็กออกไปจากมือของเด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมองทั้งน้ำตาที่ยังไหลรินไม่ยอมหยุด รุ่นพี่หนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งขมวดคิ้วมองมาที่เขาด้วยสีหน้าตกใจ เพียงพริบตาก็เขวี้ยงปาคัตเตอร์อันเล็กเข้าไปในโพรงป่าด้านหลังอาคาร
“ทำอะไรน่ะ” สายตาของเด็กหนุ่มคนนั้นทอดมองไปตามเสื้อผ้าหน้าผมของเด็กที่กำลังนั่งตัวสั่นเท่าน้ำตานองหน้า ก่อนที่จะมองลงไปที่ข้อมือที่ยังมีเลือดซึมออกมาอยู่เล็กน้อย
“ฮือ...ฮื...อ~~~~~”
เสียงโห่ร้องของเด็กหน้าตาขี้เหร่ดังขึ้นอีกครั้ง ซุกหน้าไปกับเข่าทั้งสองข้างจนคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ก็ต้องนั่งลงไปยังข้างกายโอบแขนผ่านหลังศีรษะลูบไปตามหัวช้า ๆ เพื่อปลอบหัวใจที่อ่อนล้าถึงขีดสุด แค่เพียงมองภายนอกก็รู้แล้วว่าน้องคนนี้ต้องพบเจอกับอะไรมา หลายครั้งที่เคยเห็นเด็กคนนี้ถูกเพื่อนกลั่นแกล้งแต่เขาไม่คิดเลยว่าจะรุนแรงขึ้นทุกวันจนน้องถึงกับคิดจะทำอะไรแบบนี้
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นอกจากมือของปู่ที่คอยลูบหัวเขามาตลอด บัดนี้กลับมีอีกมือหนึ่งที่กำลังปลอบโยนเด็กน้อยอยู่ จากที่เคยรู้สึกสิ้นหวังมาตลอดเด็กขี้เหร่กลับรู้สึกเหมือนมีตัวตนขึ้นมาอีกครั้ง
มีตัวตนในแบบที่คนควรจะมีไม่ใช่เพียงแค่ขยะที่รอวันถูกกลบทิ้ง...
ผ่านไปหลายนาทีเสียงพูดของรุ่นพี่หน้าตาดีดังขึ้นมาอีกครั้งทำลายความเงียบจนเขาต้องหันมอง “พี่ชื่อแมงป่องนะน้องคงเป็นน้อยชายของแซนที่ชื่อเซฟใช่ไหม?” เด็กน้อยพยักหน้ารับทั้งคราบน้ำตาและขี้มูกที่ยังเปอะเปื้อนเลอะไปตามใบหน้า
ผ้าเช็ดหน้าสีครีมอ่อนถูกล้วงออกจากกระเป๋ากางเกงนักเรียนสีน้ำเงินเข้ม ลูบเช็ดไปตามใบหน้าด้วยรอยยิ้มปนขบขัน
“เอาล่ะหล่อแล้ว” นิ้วมือเอื้อมไปลูบหัวด้วยความอ่อนโยนกดอุ้มมือโยกไปมาอย่างแผ่วเบา จนเด็กขี้เหร่ต้องจับมือเขาออก
“ผมมันตัวเชื้อโรค...เดี๋ยวพี่จะสกปรกไปด้วย” เสียงถอนหายใจของแมงป่องดังออกมา เด็กคนนี้คงจะโดนแกล้งมาเยอะจนพูดดูถูกตัวเองแบบนี้
“ไม่เห็นสกปรกตรงไหนเลย ร่างกายน้องก็ครบสามสิบสองดีไม่ต่างจากคนอื่นเลยสักนิด เลิกดูถูกตัวเองได้แล้วเข้าใจไหม?”
“แต่...”
“ไม่มีแต่ทั้งนั้น ถ้าเนื้อตัวสกปรกอาบน้ำก็หายแต่ถ้าจิตใจเราสกปรกมันยากที่จะทำให้สะอาดได้นะ” แมงป่องจิ้มไปที่อกของเด็ก “ในเมื่อเราเปลี่ยนแปลงคนอื่นไม่ได้ เราก็ต้องหันมาเปลี่ยนแปลงตัวเราเองเปลี่ยนคำพูดดูถูกให้กลายเป็นพลังแล้วเอาชนะคนพวกนั้น”
“ผมทำไม่ได้หรอก ในเมื่อผมไม่มีอะไรดีเลย” เด็กน้อยลูบไปตามหน้าขาของตัวเองพูดออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ
“ทำไม่ได้ หรือ ยังไม่ได้ลองทำกันแน่ เซฟยังมีเวลาอีกเยอะค่อย ๆ ทำไปช้า ๆ ก็ได้ส่วนไอ้พวกที่เคยแกล้งเราเดี๋ยวพี่ไปจัดการให้ โอเคไหม?”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเซฟอีกครั้ง เขารู้สึกประทับใจกับคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักเหลือเกิน
“สัญญากับพี่ก่อนนะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะเจอเรื่องหนักหนาแค่ไหนก็อย่าได้ทำร้ายตัวเองอีกเป็นอันขาด” นิ้วมือของแมงป่องจับพลิกข้อมือของน้องที่เป็นแผลบาดเล็กน้อยขึ้นมาดู “สัญญามาสิครับ”
“อืมผมสัญญา” เซฟมองไปตามนิ้วมือขาวที่ยังจับมือของเขา “พี่...ผมควรจะทำยังไงดีคนพวกนั้นมันไม่มีทางหยุดรังแก...”
“ยิ้มสิ ถ้าถูกแกล้งก็ยิ้มสู้แล้วหัวเราะออกมาดัง ๆ นี่ก็เหมือนกัน” แมงป่องชี้มือไปตามรอยเท้าบนเสื้อที่ยังคงเห็นได้อย่างเด่นชัด “ไม่ต้องกลัวคนจะมองว่ามันสกปรก ให้ทุกคนเห็นไปเลยว่าเราน่ะโดนทำร้ายมามากแค่ไหนให้ครูเห็นถึงสิ่งที่พวกนั้นมันทำเอาไว้ พี่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าคนพวกนั้นมันจะเลวจนไร้จิตสำนึกรึเปล่า”
“แม้แต่เวลาที่พวกชั่วนั่นมันเอาไข่มาปาเอาขยะมาสาดใส่ผมเนี่ยนะ”
“อืม...” แม่งป่องพยักหน้าอีกครั้ง “ก็ให้มันรู้ไปสิว่าพวกผู้ใหญ่พวกครูมันจะทำเป็นมองไม่เห็น พี่เชื่อนะว่าต้องมีคนที่ยังเป็นห่วงเซฟแน่เหมือนพี่นี่ไง”
“จำเอาไว้ให้ดีเวลาที่พวกนั้นอยากให้เราโกรธแล้วเราไม่โกรธ อยากให้เราอายแล้วเราไม่อาย เดี๋ยวไอ้พวกนั้นมันก็เลิกบ้ากันไปเองนั่นแหละและสุดท้ายคนที่ชนะก็คือตัวเราเอง อย่างน้อยตัวเราก็ก้าวข้ามปัญหาไปได้อย่างเข้มแข็ง”
ถึงแม้เซฟจะไม่เข้าใจความหมายของรุ่นพี่ที่ชื่อแมงป่องพูดทั้งหมดแต่เขาก็พยักหน้ารับอีกครั้ง
“งั้นพี่ไปเรียนก่อนนะ จะให้พี่พาไปส่งที่หน้าห้องเรียนไหม?”
“ครับ”
เด็กชายพฤศจิกาคว้าข้อมือคนน้องให้ลุกขึ้นตาม ส่วนมืออีกข้างก็กำเอาไว้แน่นจนเซฟสังเกตเห็นหยดเลือดที่ซึมหยดลงมาช้า ๆ จากมือข้างนั้นตอนที่แมงป่องคว้ามีดคัตเตอร์ออกจากแขนเขาปลายคมของใบมีดคงบาดมือรุ่นพี่จนเป็นแผลลึกแต่แมงป่องกลับพยายามทนเก็บเงียบไม่แสดงออกให้เขารู้ด้วยซ้ำ
...อยากเป็นอย่างพี่คนนี้นอกจากจะหน้าตาดียังมีจิตใจที่เข้มแข็งและอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน นั่นคือสิ่งที่เด็กน้อยอาคมคิด
...
Rrrrr…
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจนเซฟหลุดออกจากความทรงจำในวัยเด็ก เขาหยิบมือถือขึ้นมาดูเบอร์โทรที่ตัวเองก็ยังไม่ไม่คุ้นเคยด้วยซ้ำ
“ฮัลโหล...ใครครับ?”
[ไอ้เซฟมึงอยู่ไหนเนี่ย ไหนบอกว่าจะไปห้องน้ำแป๊บเดียวไงตอนนี้พวกกูกำลังจะย้ายฐานไปที่คณะแพทย์แล้วนะ] เสียงของเพื่อนใหม่ดังขึ้นอย่างเป็นห่วงจนเด็กหนุ่มเองยังเผลอยิ้มออกมา เพื่อนที่เขาไม่ค่อยมีมากนักตั้งแต่เปิดเรียนมาไม่กี่วันเขาเองก็สนิทอยู่เพียงไม่กี่คน หนึ่งในนั้นก็มีไอ้หินผู้ชายเพียงคนเดียวในภาค
“กำลังจะเดินไปแล้ว”
[เซฟมึงเป็นอะไรรึเปล่า? น้ำเสียงมึงไม่ค่อยดีเลย]
“ไม่มีอะไรหรอกพอดีเจอรุ่นพี่ที่เคยเรียนด้วยกันน่ะ ก็เลยคุยกันนิดหน่อย”
[เออ งั้นก็รีบตามมาละกันเดี๋ยวกู คะน้ากับข้าวจี่จะรอมึงตรงนี้แหละจะได้ไม่หลง รีบ ๆ มาเลยนะอยู่ตรงบันไดตึกคณะเกษตร...กึก]
นายอาคมปรายตามองชายหนุ่มที่ยังคงยิ้มแย้มทำกิจกรรมกับรุ่นน้องต่างคณะก่อนที่จะเดินหันหลังกลับออกจากตึกนิเทศเพื่อไปพบเพื่อนใหม่ที่รออยู่ แต่หลังจากเขาเดินออกมาไม่กี่ก้าวก็มีมือของนักศึกษาคนหนึ่งคว้าท่อนแขนเขาไว้
“น้องคะ” อาคมหยุดหันไปมองตามเสียงรุ่นพี่หญิงคนหนึ่ง
“ครับ?”
เจลประคบเย็นสีฟ้าในห่อใสถูกหยิบยัดเข้ามาในมือเขา “มีคนฝากให้พี่เอามาให้ประคบที่แผลสักวันสองวันหลังจากนั้นถ้าอาการดีขึ้นแล้วมีอาการบวมหรือฟกช้ำค่อยประคบร้อนเอานะคะ” ว่าจบรุ่นพี่หญิงก็หันหลังกลับไปในทันทีโดยที่นายอาคมยังไม่ได้แม้แต่ขอบคุณเธอด้วยซ้ำ
กว่าจะเดินกลับมาถึงหน้าตึกเกษตรก็เสียเวลาไปหลายนาที เหล่าบรรดาเพื่อนสนิทในภาคถึงกับขมวดคิ้วหน้ายับย่นไปตาม ๆ กันโดยเฉพาะหิน ผู้ซึ่งบัดนี้มีสายสะพายหลากสีพันแน่นอยู่รอบตัวไม่ต่างอะไรกับต้นตะเคียนก่อนวันหวยออกแถมยังถูกอธิการบดีแกล้งจับแต่งหญิงไปทั้งวันอีกต่างหาก
“ช้ามาก...รอนานมาก...ลมบ่อจอยมาก” หินมันบ่นงุบงิบออกมาไม่หยุดในขณะที่สองสาวพากันเติมแป้งไปที่หน้าของมันจนขาวเนียนประดุจตูดทารก “แล้วไปทำอะไรมาวะเซฟเสื้อมึงถึงได้เขรอะขนาดนั้น” หินจ้องมองมาที่เสื้อของอาคมไม่วางตาแต่จุดที่หินจะสนใจมากที่สุดคงหนีไม่พ้นเจลเย็นที่ยังหนีบอยู่ใต้รักแร้
“ขอโทษทีนะที่มาช้า รีบไปกันเถอะ”
“ไม่เป็นไรหรอกมึงพวกกูเองก็เหนื่อยจะแย่ได้พักบ้างก็ดี” ข้าวจี่หันขึ้นมาตอบ “งั้นไปเข้าฐานต่อไปกันเลยเนอะ” สองสาวพยักหน้าลุกขึ้นยืนแล้วออกตัวเดินนำกันไปก่อนในขณะที่หินเองกลับดึงชายเสื้อของอาคมเอาไว้แน่น
“เจ็บรึเปล่า?”
“ทำไมมึงถึงถามอย่างนั้นวะ”
เพื่อนชายหน้าหวานจิ้มนิ้วมือไปที่ชายโครงจนเซฟต้องสะดุดตัวออกมาเล็กน้อย “ก็มึงโดนเตะมานี่ รอยตีนเด่นขนาดนั้นใครมันก็ดูออกทั้งนั้นแหละ ถ้ามึงไม่ไหวกูพาไปนอนพักที่ห้องพยาบาลเอาไหม?”
“ไม่เป็นไร...กูสมควรโดนแล้วล่ะ” เซฟเสียงแผ่วลงด้วยสีหน้าสำนึกผิด
“งั้นเอาไว้ตอนเย็นกูทายาให้นะถึงทาตอนนี้ไปก็ไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่ประคบเย็นไปเรื่อย ๆ น่ะดีแล้ว” หินมันถอนหายใจแล้วเดินนำไปได้ไม่กี่ก้าว
“...”
“หินมึงไม่คิดจะถามหน่อยเหรอว่ากูไปทำอะไรมา” คำถามของอาคมทำให้คนที่เดินนำหยุดคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
“เซฟถ้ามึงอยากจะบอกให้พวกกูฟังมึงคงเล่าไปนานแล้วล่ะแต่ที่มึงไม่พูดแปลว่ามันคงเป็นเรื่องส่วนตัวสินะแล้วตั้งแต่หลังจากที่มึงโทรคุยกับพี่สาวตอนพากูไปเข้าห้องน้ำมึงก็ดูเครียดมาตลอด...เอาไว้ถ้ามึงต้องการให้พวกกูช่วยก็บอกละกัน” คำตอบของหินทำให้อาคมยิ้มออกมาบนใบหน้าถึงเพื่อนใหม่กลุ่มนี้จะรู้จักกันเพียงไม่กี่วันแต่เขามั่นใจว่าเลือกคบคนไม่ผิดจริง ๆ
ถ้าจะบอกว่าตอนนี้อาคมรู้สึกสบายใจขึ้นก็คงไม่ผิดแต่สิ่งที่ยังกังวลและติดค้างภายในใจคงเป็นเรื่องที่ตัวเองหุนหันเข้าไปต่อยแมงป่องเสียมากกว่า
“พวกมึงเดินกันเร็ว ๆ สิมัวแต่ยืนคุยกันอยู่นั่นแหละ” คะน้าวิ่งกลับพร้อมกับขวดน้ำสีเขียวในมือ “แดกซะจะได้มีแรงทำกิจกรรมต่อยังเหลืออีกสองฐานนะไอ้เซฟ” น้ำใบบัวบกถูกหยิบยื่นส่งให้
“เห็นไหมกูบอกแล้วถึงพวกคะน้ากับข้าวจี่จะไม่ถามมึงก็ไม่ได้หมายถึงไม่ห่วงมึงนะเซฟ ทีหลังจะทำอะไรก็คิดให้มันเยอะ ๆ หน่อยเถอะยิ่งปากหมาแบบมึงเนี่ยโคตรดึงดูดตีนอะ”
“อืมกูรู้แล้ว”
กว่าจะจบฐานสุดท้ายที่คณะวิศวะก็ปาเข้าไปมืดค่ำพอดีข้าวจี่กับคะน้ามันของตัวกลับไปอาบน้ำกันก่อน ส่วนไอ้หินก็ยังนั่งรอเพื่อนอีกคนที่ชื่อเพลงทั้งที่เนื้อตัวเปียกโชกเพราะโดนรุ่นพี่จากคณะวิศวะมันแกล้งเอา
อาคมรู้สึกกระสับกระส่ายทุกวินาทีในขณะที่กำลังนั่งรอเป็นเพื่อนหิน ในหัวก็กำลังคิดถึงสิ่งที่พลังพูดเอาไว้ก่อนเดินจากไปเขารู้ดีว่าพลังกำลังบอกให้ตนไปเจอแมงป่องที่ร้านเหล้าหลังมอแต่เขากลับกลัวว่าถ้าเจอแล้วจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่มากกว่า
“รอนานเปล่าหิน!” ชายที่ชื่อเพลงจี้ไปที่เอวของไอ้หิน “อ้าวลบหน้าออกแล้วนิ แล้วทำไมมึงตัวเปียกแบบนี้วะ”
“มันโดนพวกรุ่นพี่คณะมึงแกล้งไง” อาคมเงยหน้าตอบออกมาในขณะที่ยังตีหน้ายุ่ง
“รุ่นพี่กูอะนะ คนไหนวะมึงพากูไปหน่อย”
“พอเลยไอ้เพลงกูไม่ได้เป็นไรแค่เปียกนิดเดียวเองพวกพี่มันก็ไม่ได้จริงจังอะไรกับกู มึงก็อย่าหาเรื่องนักเลย ยังต้องอยู่คณะเดียวกันอีกตั้งสามปี” หินพูดตอบเพลงแต่สายตากลับเหล่มองไปทางเซฟเหมือนกับกำลังบอกเป็นนัยว่าเอ็งก็อย่าพยายามหาเหาใส่หัวเหมือนกัน
“งั้นมึงรีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อเลย” เพลงยัดกุญแจห้องอาบน้ำของสโมสรวิศวะใส่มือหิน พออาคมเห็นว่าตอนนี้หินมีคนอยู่เป็นเพื่อนแล้วก็เลยขอตัวกลับก่อนเช่นกัน
“งั้นกูไปก่อนนะหิน ไว้พรุ่งนี้เจอกัน”
อาคมเดินออกมาที่หน้ามอเขาเช่าห้องพักชายราคาย่อมเยาอยู่นอกมหา’ลัยเพราะหอในนั้นเต็มหมดแล้ว นิ้วมือล้วงกุญแจไขเข้าไปภายในห้องพักขนาดเล็กไม่มีแม้แต่ห้องน้ำในตัวต้องใช้ห้องน้ำรวมของแต่ละชั้นแทน ไม่ใช่ว่าอาคมจะจนถึงขนาดอยู่ห้องที่ดีกว่านี้ไม่ได้ ถึงจะไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมายแต่ก็พอมีพอกิน เขาอยู่กับปู่และพี่สาวมาตั้งแต่จำความได้ ไม่แม้แต่จะเคยเห็นหน้าพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด
ปู่เป็นคนที่เลี้ยงดูอาคมกับพี่สาวมาตลอดตั้งแต่เด็กและเนื่องจากปู่ทำบาร์เหล้าเล็ก ๆ อยู่บนเกาะเสม็ดทำให้เวลาของพวกเขาไม่ตรงกันสักเท่าไหร่ ปู่ต้องนอนช่วงกลางวันในขณะที่อาคมออกมาเรียน พอตกเย็นปู่ก็ต้องรีบออกไปอยู่ที่ร้านแทนจนบางเดือนแทบจะไม่ได้เจอหน้ากันด้วยซ้ำ
เด็กหนุ่มถอดชุดนักศึกษาออกมาโยนไว้บนเตียง คว้ากางเกงขาสั้นที่วางเอาไว้บนเก้าอี้พนักพิงภายในห้องขึ้นมาสวม ดึงผ้าเช็ดตัวที่แขวนอยู่ข้างตู้เสื้อผ้ามาพาดไว้บนบ่าพร้อมกับหยิบขันที่ภายในอัดแน่นไปด้วยสบู่ยาสีฟันยาสระผมเดินออกจากห้องมาสุดทางอันเป็นพื้นที่สำหรับอาบน้ำรวมของชั้นนี้ อาคมวางของทั้งลงบนเคาน์เตอร์อ่างล้างมือสำรวจรูปร่างของตัวเองบนกระจกเงาใสขนาดใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้า
ส่วนสูง 180 กว่ากับกล้ามเนื้อที่ไม่หนาไม่บางจนเกินไป รูปอกและหน้าท้องมีร่องสวยกำลังดีแบบคนที่ผ่านการเล่นกีฬามาอย่างสม่ำเสมอ ผิวสีเนื้อที่ไม่ได้ดูขาวจัดแต่ก็ไม่ดำคล้ำ รูปหน้าจมูกปากที่พูดได้ว่าโดดเด่นกว่าคนทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด ทุกสัดส่วนที่กำลังมองผ่านสายตาของอาคมคือความพยายามตลอดหลายปีที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ ต้องผ่านความเจ็บปวดในการทำจมูก ปากและที่เลวร้ายที่สุดคือการตัดกรามและจัดฟันอยู่หลายปี โหมออกกำลังกายอย่างหนักควบคุมการกินให้เป็นวินัยอยู่เสมอเพียงเพื่อ...
...อยากเป็นคนที่ถูกใครคนหนึ่งรักสักครั้ง
ภาพซ้อนทับในอดีตหวนคืนมาในความทรงจำของอาคมอีกครั้ง
เด็กน้อยอาคมหลังจากกลับมาถึงบ้านในวันที่เขาได้เจอพี่แมงป่องเป็นครั้งแรก ก็ทะยานตัวเข้าสู่ห้องนอนไปอย่างรวดเร็ว ถอดเสื้อผ้าทุกชิ้นเหลือเพียงกางเกงในที่ยังคงแน่นคับไปกับเนื้อขาที่ล้นทะลักออกมา พุงกลมโตที่บวมเป่งจนอดสังเวชตัวเองไม่ได้ ขนาดอยู่แค่มอหนึ่งเอวยังปาเข้าไปเกือบจะสามสิบแปดแล้วถ้าไม่ใช่เพราะมีรูปร่างสูงกว่าเด็กทั่วไปคงไม่ต่างกับลูกขนุนผลโต
นิ้วมืออาคมดึงไปตามแก้มและชั้นคอที่อุดมไปด้วยก้อนไขมัน เขาหันข้างมองหน้าท้องแล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาเสียงดัง ผิวก็คล้ำดำ ดั้งจมูกก็แบบราบไม่เป็นดังฝันได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าเป็นเพราะกระดูกยังไม่ขึ้นเต็มที่ดี ริมฝีปากหนาสีเข้มที่ไม่ว่าจะมองต้องจุดไหนก็ไม่น่าดึงดูดเลยสักนิด
“ต้องผอม...ต้องผอม...ต้องผอมให้ได้” นี่คือสิ่งแรกที่เด็กน้อยพูดออกมาซ้ำ ๆ หน้ากระจกเหมือนเป็นการสะกดจิตตัวเองเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เซฟรู้ดีว่าอยากผอมต้องออกกำลังกายเพราะเห็นในทีวีชอบแนะนำแบบนี้อยู่เสมอ
ว่าแล้วก็ลองก้มลงไปวิดพื้นสักหน่อยเพื่อเป็นการสนองความมุ่งมั่นอันแรงกล้า
“1…2…3 แอก!” วิดไปได้สามทีเด็กน้อยก็ทิ้งตัวแผ่หลาไปกับพื้นห้อง คิดจะทำมันง่ายแต่พอทำจริงมันกลับไม่ไหวเอาเสียเลย
เขาเอี้ยวแขนไปคว้ามือถือในกระเป๋ากางเกงนักเรียนที่กองอยู่บนพื้นเพื่อหาวิธีที่ง่ายแล้วรวดเร็วกว่า จัดการพิมพ์ข้อความลงไปในกูเกิล...วิธีลดความอ้วน...หลากหลายข้อมูลปรากฏอยู่เต็มหน้าจอแสงสีฟ้าแต่สิ่งที่อาคมสนใจมากที่สุดคงหนีไม่พ้น ยาลดความอ้วน ราคาก็ถูกแสนถูกแค่ไม่กี่ร้อยบาทเองแถมรูปก่อนและหลังของคนที่กินก็แบบสามารถเปลี่ยนฮิปโปให้กลายเป็นนางแบบนายแบบได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ใช่เวลาเพียงไม่กี่วันสินค้าก็มาส่งถึงหน้าบ้าน กล่องพัสดุสีทึบภายในบรรจุไปด้วยขวดพลาสติกสีน้ำเงินเข้ม ติดโลโก้ผู้หญิงเอวเล็กคอดเด็กชายอาคมไม่รอช้ารีบเปิดฝาหยิบขึ้นมากินเช้ากลางวันเย็นก่อนอาหารตามที่เขียนบอกไว้ข้างขวด หลังจากกินไปได้ประมาณสามอาทิตย์เขาก็น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วจนน่าประหลาดใจความรู้สึกหิวอยากอาหารมันก็น้อยลง
แต่สิ่งที่มาพร้อมกับขนาดร่างกายที่เริ่มลดลงคือหัวใจเต้นเร็วขึ้นหน้ามืดตาลายอยู่บ่อยครั้ง นอนไม่หลับ ปวดหัว ปากแห้ง มีอาการอ่อนเพลียจนไม่อยากจะทำอะไรเลยและที่ทรมานตัวเขามากที่สุดคือคลื่นไส้ท้องเสียอยู่บ่อยครั้ง เด็กชายเริ่มมีร่างกายทรุดโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด
เป็นอีกครั้งที่เขาหลบมานั่งอยู่หลังห้องน้ำเก่า อาคมไม่อยากให้ใครรู้ว่าตัวเองกำลังกินยาลดความอ้วนเขาจึงมานั่งหลบที่นี่อยู่เสมอแม้ว่าพักหลังพวกรุ่นพี่จะไม่แกล้งเขาอีกแล้วก็ตาม ในขณะที่เทเม็ดยาลงบนมือเขานั่งจ้องมองยาหลากสีพวกนั้นอย่างหวาดหวั่น
อยากผอมก็อยากผอมแต่พอเวลากินเข้าไปก็คลื่นไส้อยากจะอ้วกทุกครั้ง ความเสียดายเงินที่จ่ายไปกับผลลัพธ์ที่เรียกว่าเห็นผลทันตาทำให้เขามองข้ามทุกสิ่งจัดการกลืนเข้าไปตามด้วยน้ำจำนวนมากแต่ครั้งนี้ดูเหมือนโชคไม่เข้าข้างเด็กน้อยสักเท่าไหร่ จากการที่อดอาหารเป็นเวลานานประกอบกับตัวยาไปกดทับปราสาทส่วนกลางจนทำงานผิดปกติ ระบบไหลเวียนโลหิตเริ่มปั่นป่วนจนเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ไม่เต็มที่จนเกิดอาการช็อก
...หัวใจเต้นแรงอย่างหนัก หน้ามืดหมดสติแบบไม่รู้ตัว
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนอาคมลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้งบนเตียงสีขาวสะอาด สายตายังคงค่อย ๆ ปรับแสงสว่างไปทีละนิดจนสามารถรับรู้ได้ว่าตอนนี้ตนเองกำลังนอนอยู่ในห้องพยาบาลของโรงเรียน เขามองไปรอบข้างก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อเห็นพี่แมงป่องกอดอกนั่งหลับอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง
“เป็นไงฟื้นแล้วเหรอเรา” อาจารย์หญิงท่านหนึ่งเอ่ยปากถามในขณะที่กำลังกดหูฟังสเต็ตโทสโคป (Stethoscope) เพื่อวัดอัตราการเต้นของหัวใจ “โชคดีนะที่พี่เขาไปเจอเรานอนหมดสติอยู่น่ะ เอาล่ะหัวใจกลับมาเต้นเป็นปกติแล้วตอนนี้ก็นอนตะแคงก่อนจะได้หายใจสะดวกขึ้น” อาจารย์ห้องพยาบาลจับท่าให้เซฟนอนตะแคงหันหน้าเข้าหาแมงป่อง
หญิงวัยกลางคนเดินออกไปจากเตียงกลับไปเขียนเอกสารต่อบนโต๊ะทำงานของเธอที่อยู่ไม่ไกลนัก อาคมมองไปที่ใบหน้าของแมงป่องด้วยรอยยิ้มเป็นอีกครั้งที่พี่คนนี้ได้ช่วยเขาไว้ ภายในอกมีแต่ความชื่นชมประทับใจและเหนือสิ่งอื่นใดคือเกิดความรู้สึกหลงใหลชายตรงหน้าโดยไม่รู้ตัว
เพียงไม่นานแมงป่องก็ลืมตาขึ้นมองตรงไปที่น้อง เขากับภารโรงต้องช่วยกันแบกเด็กร่างยักษ์มาที่ห้องพยาบาลและแน่นอนว่าน้ำหนักตัวของอาคมแทบจะทำให้แมงป่องแทบจะเป็นลมตามไปอีกคน เมื่อแมงป่องเห็นว่าเด็กที่ชื่อเซฟได้สติแล้วเขาก็ขมวดคิ้วด้วยแววตาที่โกรธอยู่ไม่น้อย
ยังไม่ทันที่พฤศจิกาเอ่ยปาก อาคมก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาเสียก่อน “ขอโทษครับ” สายตาสำนึกผิดของเด็กที่นอนอยู่ถึงกับทำให้คนพี่ต้องยอมใจอ่อนในทันที
“รู้ด้วยเหรอว่าทำอะไรผิด”
“อืม...รู้” อาคมไม่ได้กลัวคนที่กำลังดุตรงหน้าแต่เขากำลังรู้สึกสำนึกผิดจริง ๆ ที่เป็นต้นเหตุให้คนอื่นต้องมาเดือดร้อนเพราะเขา
“ไหนสัญญากับพี่แล้วไงว่าจะไม่ทำร้ายตัวเอง” แมงป่องล้วงหยิบกระปุกยาสีฟ้าจากกางเกงขึ้นมา “กินเข้าไปได้ยังไงเนี่ยยาพวกนี้อยากตายนักรึไง”
เด็กน้อยส่ายหน้าด้วยดวงตาแดงก่ำ “เปล่านะพี่...ผมแค่” เขาหลบสายตาลงนิ้วมือใต้ผ้าห่มก็เกาะเกี่ยวกันไปมาเขินอายที่จะเล่าถึงเหตุผล
“แค่อะไร?” น้ำเสียงของแมงป่องดุขึ้นจนอาคมถึงกับสะดุงตัว
“ผมแค่ยะ...อยากผอมเหมือนพี่น่ะ” เสียงตอบบางเบาถึงกับทำให้แมงป่องอึ้งไปช่วยขณะ
“เฮ้อ!” เสียงถอนหายใจดังขึ้นไปพร้อมกับการส่ายหน้าเหนื่อยหน่าย ตอนแรกก็กำลังโกรธอยู่นิดหน่อยแต่พอได้ยินแบบนี้แมงป่องถึงกับไปไม่ถูก ใครจะไปคิดว่าที่น้องมันทำทั้งหมดเพราะอยากเหมือนกับตัวเองแต่ถ้ายังปล่อยไว้แบบนี้เด็กที่ชื่อเซฟคงจะหาเรื่องทำอะไรไม่คิดอีกแน่
“อยากผอมก็ต้องรู้จักควบคุมอาหาร หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำไม่ใช่ซื้อยามากินเองแบบนี้”
“แต่ยามันก็ช่วยผมให้ควบคุมอาหารได้นะพี่” คำเถียงที่ออกมาจากปากเด็กทำให้เขาอยากจะเขกหัวเหลือเกิน
“ได้กับผีน่ะสิ! เกือบจะตายแล้วยังไม่รู้ตัวอีก กินแต่ยาจนไม่ยอมกินข้าวแล้วยังกินยาไปพร้อมน้ำอัดลมแบบนั้นกระเพาะไม่ทะลุก็บุญแค่ไหนแล้ว”
“ก็ผมออกกำลังกายไม่ไหวนี่วิดพื้นได้ไม่กี่ทีก็ตายแล้ว ยิ่งถ้าให้อดข้าวแบบไม่กินยาท้องผมมันก็เอาแต่ร้องประท้วงทั้งคืน” คำพูดของอาคมนั้นทำให้แมงป่องต้องกั้นเสียงหัวเราะสุดกำลัง ไอ้เด็กนี่มันทั้งงี่เง่าและติงต๊องในเวลาเดียวกัน
“เออเอาเถอะ” แมงป่องนั่งเท้าคางใช้ความคิดว่าจะช่วยเหลือเด็กคนนี้ยังไงดี ก่อนที่จะหันกลับมาพูดต่อ “ไม่มีกีฬาที่ชอบหรือถนัดบ้างเลยเหรอ?”
ขวับ! อาคมส่ายหน้าจนแมงป่องต้องเปลี่ยนคำถามใหม่
“แล้วของที่ชอบกินไม่ชอบกินล่ะ?”
“ที่กินบ่อย ๆ ก็ไก่ทอดหาดใหญ่หน้าโรงเรียน หมูกรอบทอดกระเทียมร้านป้าจุ กล้วยแขกสามแยกปากหมา เครปป้าหน้ามึนท้ายตลาดนวลทิพย์ แยมโรลเจ้าดังหน้าหาดแม่รำพึง...”
“พอก่อน” แมงป่องถึงกลับกลอกตามองบนเมื่อได้ยินสิ่งที่น้องพ่นออกมา “ข้ามมาที่ของที่ไม่ชอบเลยละกัน”
อาคมกะพริบตาปริบ ๆ อยู่สองสามที “ผักทุกชนิดกับของที่รสชาติจืดสนิท” คำตอบของเด็กถึงกับทำให้แมงป่องกุมขมับในทันใด
“พี่ว่าตัดใจเรื่องอยากผอมเถอะ”
“ไม่เอาดิพี่ถ้าผมตั้งใจผมผอมได้แน่!”
“ตั้งใจแดกขนาดนี้เนี่ยนะ” แมงป่องหยุดพูดไปพักหนึ่งพอเห็นน้องทำท่าจะร้องไห้ออกมาอีกรอบก็อดใจอ่อนไม่ได้ “งั้นเอาแบบนี้ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปก็เอาเสื้อยืดกางเกงขาสั้นติดมาด้วย ส่วนรองเท้าก็ใส่ผ้าใบนักเรียนนี่แหละพี่จะพาออกกำลังกายเอง ปล่อยทำคนเดียวเดี๋ยวก็เลิกอีกตอนนี้ก็ปาไปเกือบร้อยโลแล้วมั้ง”
“พี่จะช่วยผมจริง ๆ เหรอ?” ความรู้สึกตื้นตันมันอัดแน่นอยู่เต็มอก นอกจากพี่แมงป่องจะไม่รังเกียจเขาเหมือนคนอื่นยังเสนอตัวช่วยในสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้อีกต่างหาก
“อืม แล้วถ้าลดน้ำหนักได้สักสี่สิบกิโลพี่จะให้เราขออะไรก็ได้พี่หนึ่งอย่าง เพื่อให้เรามีกำลังใจที่จะทำให้สำเร็จดีไหม?”
หลังจากวันนั้นแมงป่องก็ทำตามสัญญาตามที่เขาได้เอ่ยปากเอาไว้ ไม่เคยมีสักวันที่เขาจะหยุดช่วยเด็กอ้วนคนหนึ่งให้กลับมามีชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการอีกครั้ง
วันเวลาล่วงเลยไปเป็นปีจนตอนนี้ เด็กที่เคยอ้วนฉุก็กลับมารูปร่างสมส่วนตามวัย จากที่เคยเดินแทบไม่ไหวตอนนี้เขาสามารถวิ่งได้หลายกิโลเมตรโดยไม่ต้องหยุดพัก ความภูมิใจกับความสำเร็จในการลดน้ำหนักทำให้นายอาคมเริ่มหันมาเล่นฟิตเนสควบคู่ไปกับกีฬาอื่น ๆ ที่เขาชอบ
*********
คู่เซฟแมงป่องจะมีบทบรรยายเยอะหน่อยนะครับ สลับไปมากับเหตุการณ์ปัจจุบัน ตัวหนังสือเอียงคือบอกเล่าเหตุการณ์ในอดีต สำหรับคู่นี้จะปากแข็งด้วยกันทั้งคู่โดยเฉพาะเซฟที่ทั้งรักทั้งเกลียดเลยทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่แย่ลงไป
ปล. พี่พลังคือตัวละครสำคัญอีกตัวหนึ่งที่จะได้ไปเจอกันแน่นอนหลังเขียนเรื่อง ตบหลุมรัก และ ตรวนธรณี จบแล้ว