กึก!
เสียงแก้วเหล้ากระทบกับโต๊ะไม้ เหล่าเสนาบดีหลายคนสะดุ้งเฮือกเมื่อเจ้าบ้านอย่างเสนาบดีชินเรียกประชุมพันธมิตรทั้งห้าคนโดยกระทันหัน
“ใต้เท้า ที่เรียกพวกเรามาในวันนี้...”
“เรือสินค้าของเราถูกทางการตรวจค้น”
“.....!!!!”
น้ำเสียงของเสนาบดีชินเต็มไปด้วยความอดทนอดกลั้น ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่าอย่างไรเสีย การลักรอบสินค้าส่งออกให้แก่พ่อค้าจีนโดยไม่ผ่านทางการจะไม่สามารถสาวถึงตัวเขาง่ายๆ แน่ เพราะได้รับความไว้วางใจจากฝ่ายพันธมิตร แต่ถ้าเทียบกันที่มูลค่าแล้วก็ทำให้การค้านี้เสียหายมากเกินกว่าจะรับได้ อีกทั้งหลายฝ่ายเริ่มไม่มั่นใจและหวาดกลัวที่จะทำการค้ากับเขา
“เป็นไปไม่ได้ เราทำการค้านี้มานานไม่เคยเป็นที่สงสัย”
เสนาบดีท่านหนึ่งพูดขึ้น
“เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?”
“พวกท่านก็กระวนกระวานเกินไป เรือเพียงไม่กี่ลำที่ทหารค้นเจอ ไม่ทำให้เดือดร้อนได้หรอกท่าน”
ทุกคนต่างก็หันมองที่เสนาบดี มุลยอง พูดอย่างไม่รู้สึกรู้สา แต่ก็ทำให้หลายคนใจชื้นขึ้นได้จริง
“ผู้ที่มีอิทธิพลไปทั่วทั้งโชซอลอย่างใต้เท้าชิน ย่อมมีทางออกเสมอ”
“.....”
สายตาของเสนาบดีทั้งห้าคนจับจ้องไปยังเสนาบดีชินที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่หัวโต๊ะเงียบๆไม่ได้ออกความคิดเห็นใดๆ
“ข้าไม่คิด ว่าการค้นพบในครั้งนี้จะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ”
“.....!!”
“มีเพียงไม่กี่คนที่พยายามจะขัดแข้งขัดขาข้าไปเสียทุกอย่าง”
“ใต้เท้า ท่านกำลังพูดถึงใครกัน?!”
“ท่านกำลังจะบอกว่า ท่านรู้อยู่แล้วว่าเป็นฝีมือของใครอย่างนั้นหรือ?!”
“พวกท่านย่อมรู้กันดี ว่าข้าหมายถึงใคร”
เป็นอีกครั้งที่เหล่าเสนาบดีหันมองหน้ากันโดยไม่พูดไม่จา แม้จะรู้ถึงความหมายว่าเสนาบดีชินตั้งใจจะพูดถึงองค์รัชทายาท แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่จะพูดได้หากไม่มีหลักฐานไม่อย่างนั้นอาจมีชะตากรรมที่ไม่สวยนัก
“หากเป็นเช่นนั้น ท่านจะทำอย่างไร?”
“ยองมู”
เสนาบดีชินขานชื่อของใครบางคนที่ไม่ได้อยู่ในที่ประชุม ชายหนุ่มร่างสูงในชุดดำปิดหน้าปิดตา เปิดประตูห้องโถงเข้ามาพร้อมกับคุกเข่าลงข้างหนึ่ง
“ขอรับนายท่าน”
“ข้าต้องรู้ให้ได้ ว่าองค์รัชทายาทจะมาไม้ไหน หากใช้ไม้อ่อนไม่ได้ ข้าจะต้องเป็นคนเริ่มใช้ไม้แข็ง”
“ใต้เท้า!! นี่ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่?”
“สหาย หากทุกอย่างที่เราทำร่วมกันมากลายเป็นเพียงเรื่องเล่าที่ไร้ลมหายใจ นี่คือจุดเริ่มต้นที่เราจะต้องเป็นฝ่ายช่วยกันเขียนเรื่องเล่านั้นขึ้นเอง”
“ท่าน ท่านหมายถึง กบฏ อย่างนั้นหรือ?!!”
“!! ท่านเสนาบดีโจ!!”
“หึๆ”
เมื่อถูกห้ามปามจากเสนาบดีที่ร่วมโต๊ะ ทำให้ทุกคนต่างก็ตระหนักถึงการตัดสินใจของเสนาบดีชิน บนใบหน้าของเขาบัดนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะชอบอกชอบใจ
จากที่เคยปรึกษาถึงความอ่อนแอต่อการปกครองของกษัตริย์และองค์รัชทายาทที่มักเห็นตนเป็นเพียงขุนนางตัวน้อยๆ มันกลับกลายเป็นแรงแค้นให้แก่เขาและคนอื่นๆ
หากมองให้ดี เสนาบดีชินเป็นที่น่าเกรงขามเสียยิ่งกว่าฝ่าบาทเป็นไหนๆ ทั้งยังเอื้อผลประโยชน์ต่อผู้ทำการค้า ทั้งที่ลับและที่แจ้งโดยไม่ต้องผึ้งพาทางการเรื่อยมา
“กบฏ อย่างนั้นหรือ เสนาบดีโจ ท่านพูดเกินไป หากเป็นกบฏ ข้าจะนั่งอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร....”
“ฮ่าๆๆ!! นั่นสิ ท่านช่างมีอารมณ์ขันยิ่งนักใต้เท้า!”
“แต่ข้าจะนั่งแทนที่กษัตริย์ อี มยองมุน นั่นคือสิ่งที่ข้าจะทำ”
“.....!!!!!”
“...!!!”
“พรวด!!!!!”
“ท่าน! พูดอะไรออกมา!!?”
“ใต้เท้าชิน ท่านแน่ใจแล้วอย่างนั้นหรือที่พูด?!!”
หนึ่งในที่ประชุมลุกพรวดขึ้นจากเบาะรองนั่ง น้ำเสียงไร้ความนับถือ บางคนถึงกับสำลักเหล้าเพราะตกใจคำพูดของเขา เสนาบดีชินเงยหน้ามองไปยังเสนาบดีโจพรางเผยรอยยิ้มออกมา
“พวกท่านอาจหวาดกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง”
“....!!”
“ข้าจะให้โอกาสพวกท่านตัดสินใจ เดินออกจากประตูนั้นไปเสียตอนนี้ ข้านับถือการตัดสินใจของพวกท่านทุกคน”
“ท่านคิดว่า การที่ท่านก่อตัวเป็นกบฏต่อบัลลังก์เช่นนี้ คือสิ่งที่ถูกอย่างนั้นหรือ? รีบเปลี่ยนความคิดเสียตอนนี้เถอะ”
“.....”
แม้จะถูกต่อว่าแต่เสนาบดีชินกลับผายมือให้กับเสนาบดีโจให้เขาได้เดินออกไปจากที่ประชุมด้วยใบหน้ายินดี
เสนาบดีโจในวัยกลางคนผู้ไม่เห็นด้วยกับการประชุมจึงได้แต่หมุนตัวเดินไปที่ประตูโดยไม่พูดอะไรอีก
ฉึบ!!!!
“....จะ เจ้า!!!!!!”
ตึง!!
ชายชุดดำที่ชื่อ ยองมู ชักดาบเล่มเงาออกจากฝักก่อนจะแทงเข้าที่หน้าอกด้านซ้ายของเสนาบดีโจทันทีอย่างไม่ลังเล
ทุกสายตาจับจ้องไปที่ร่างไร้วิญญาณของเสนาบดีโจร่วงลงพื้นทั้งที่ยังไม่ทันได้ก้าวพ้นผ่านขอบประตูอย่างสยดสยอง ทุกคนต่างกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งพราก
“เจ้าทำพื้นบ้านข้าเปื้อนนะ ยองมู”
“ขออภัยนายท่าน”
คนตัวสูงที่เพิ่งจะปลิดชีพคนอื่นไปเมื่อครู่ สะบัดเลือดชุ่มๆ ออกจากดาบก่อนจะเก็บดาบเข้าฝัก เขาก้มหัวกล่าวขออภัยใต้เท้าชินพร้อมกับลงไปนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งเช่นเดิม
กึก!
เสียงจอกเหล้าของเสนาบดีชินวางลงบนโต๊ะ ทำเอาเสนาบดีคนอื่นๆ สะดุ้งหันกลับมามีสติอีกครั้ง ใบหน้าของเขายังคงรอยยิ้มไร้ซึ่งความสำนึกกับสิ่งที่ทำลงไป
“มีใครอีกหรือไม่?”
“....!!”
“ดี...”
ทุกคนก้มหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะต่างก็รู้ว่ามาไกลเกินจะกลับหลัง คนอย่างเสนาบดีชินไม่ยอมให้ภัยมาถึงตน ไม่ว่าใครเขาก็พร้อมจะปิดปากหากไม่เห็นด้วย
เสียงเซ็งแซ่ของผู้คนดังไปทุกบริเวณของเหล่าพ่อค้าแม่ค้ารวมไปถึงคนทั่วไปทำเอาความอยากรู้อยากเห็นขององค์หญิงโซรองมากยิ่งขึ้นไปอีกหลังจากที่ไม่ได้ออกมาจากพระราชวังมาเป็นเวลานานเพราะเกิดเรื่องขึ้นมากมาย
วอนฮีได้แต่หอบหิ้วกระโปรงของตนวิ่งตามองค์หญิงด้วยความร้อนและเหนื่อยแหวกว่ายผู้คนที่เบียดเสียด องค์หญิงเองไม่ได้สนใจนางเสียแล้วกลับแวะร้านนั้นทีร้านโน้นทีอย่างสนุกสนาน
“คะ คุณหนู!! รอก่อนเจ้าค่ะ หลบไปสิ!!!”
“ตามข้ามาเร็วๆวอนฮี”
โซรองหันกลับไปมองวอนฮีผู้เชื่องช้าอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ให้วอนฮีหนึ่งทีแล้วรีบชิ่งวิ่งหนีไปหวังให้นางตามตนไม่ทัน
เมื่อเห็นว่าร่างเล็กละลายหายไปกับฝูงชนจนตนมองไม่ทันจึงได้แต่ร้องเรียกและผลักไสผู้ที่ขวางทางอย่างกระวนใจจนเป็นที่สนใจแก่คนรอบข้าง
กลิ่นหอมๆ จากร้านตรงหัวมุมดูจะน่าสนใจไม่น้อยสำหรับผู้คนที่เข้าไปมุงดู โซรองหยุดมองเมื่อเห็นว่าไร้วี่แววของวอนฮีนางจึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ
“เถ่าแก่ สิ่งนี้เรียกว่าอะไรหรือ?”
“คุณหนู สิ่งนี้เรียกว่า ส้มตำปูปลาร้า ลองชิมดูก่อนสิ”
“ดะ ได้หรือ?!”
เมื่อเห็นว่าตนถูกเชิญชวนให้ลองอาหารน่าตาแปลกๆ ด้วยสีหน้าเต็มใจทำเอาแววตาของหญิงสาวฉายแววอยากลิ้มลองอย่างบอกไม่ถูก
เถ้าแก่ยื่นตะเกียบหนึ่งคู่ให้แก่องค์หญิงสีหน้ายิ้มๆ โซรองทำท่าไม่มั่นใจนักแต่ก็รับมาด้วยความยินดี แม้ว่าตามกฎแล้วจะยังกินไม่ได้หากยังไม่ได้ผ่านการชิมจากนางใน แต่นี่มันคนละเรื่องกันข้าเป็นเพียงเด็กสาวที่ชอบเที่ยวเล่น ไม่ใช่องค์หญิงเสียหน่อย
“เอาๆ รับรองแซ่บนัวฮ่าๆๆๆ”
คิดได้เช่นนั้นมือเรียวไม่รอช้าขยับตะเกียบคู่ใจคีบอาหารจากชามตรงหน้าขึ้นทันที
หมับ!
“.....!!!!!”
“.....”
ยังไม่ทันจะเข้าปากก็ถูกมือหนาคว้าหมับที่ข้อมือไว้เสียก่อน โซรองหันหน้าไปมองผู้ที่มาขัดขวางตนทั้งที่ยังคงอ้าปากค้างกลางอากาศอย่างแปลกใจ
นะ นี่มัน!! ชายผู้นี้ข้าเคยพบเขามาก่อนนี่นา!!!
“เถ่าแก่ นางอาจไม่สบายได้หากกินอาหารแปลกๆเข้า”
“เห!!! อาหารข้าแปลกตรงไหนท่าน?!! ใครๆก็รู้จักส้มตำ ท่านพูดแบบนั้นได้อย่างไร?!!!”
“ต้องขออภัยด้วยหากทำให้ไม่พอใจ ไว้ข้าจะมาอุดหนุนเถ่าแก่ในครั้งหน้าแทน”
“ใครสนใจกันหละ !! มาบอกว่าอาหารข้าแปลกได้ยังไง?!!!!!!”
โซรองมองชายที่มาใหม่อย่างไม่เข้าใจแต่ก็ยอมวางตะเกียบลงอย่างเสียดายก่อนจะค่อยๆยกเสื้อคลุมขึ้นคลุมศรีษะรีบย้ายตนออกจากตรงนี้ในระหว่างที่เขากำลังยืนถกเถียงกับเก่าแก่ร้านส้มตำอยู่
หมับ!!
“เอ๋!!!”
“จับได้แล้ว”
ยังไม่ทันได้หายใจหายคอข้อมือเล็กๆ เป็นอันต้องถูกชายหนุ่มดึงเอาไว้อีกครั้ง ใบหน้าหล่อนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มชวนให้หลงไหลเพียงแต่ นี่ดูจะมากเกินไปสำหรับการพบกันเป็นครั้งที่สอง
“ปะ ปล่อยข้านะ!!”
“ชู่.....”
“.....!!”
ฮีวอนยกมือเรียวขึ้นทำท่าจุ๊ปากไม่ให้นางได้โวยวายเสียงดังพรางชี้นิ้วไปทางวอนฮี นางในแสนเชื่องช้ากำลังหอบขึ้นคอแหวกว่ายผู้คนร้องเรียกตนอยู่ไม่ไกล
หากวอนฮีพบข้ากับชายคนนี้ นางจะต้องพาข้ากลับพระราชวังในทันทีแน่ คิดได้แบบนั้นนางจึงยอมเงียบเสียงแล้วรีบหันหน้าหลบวอนฮีทันที
“ผักสดออแกนิกจ้า! ผักสดจากสวนบ้านข้าเอง!!!”
ผลัก!!
“อ๊ะ!!”
“..!!”
ในความลนลานจนไม่ทันระวัง แม่ค้าผักสดที่เดินผ่านมาชนหลังขององค์หญิงจนทำให้ร่างเล็กเสียหลักใบหน้าขาวชนเข้ากับแผงอกของฮีวอนจนคนตัวสูงต้องใช้สองมือโอบประคองร่างเล็กไว้ก่อนที่นางจะล้มลงพื้น
กลิ่นหอมจางๆ จากเสื้อผ้าและการสัมผัสร่างกายของชายหนุ่มโดยตรงเป็นครั้งแรก ทำเอาโซรองยืนนิ่งอึ้งดวงตาเบิกกว้างเสียยิ่งกว่าไข่ห่าน
“เป็นอะไรหรือไม่?!..”
“......”
เมื่อเห็นว่าผู้ติดตามนางได้หายไปอีกทางจึงค่อยๆ คลายอ้อมแขนออกปล่อยให้หญิงสาวเป็นอิสระแต่นางกลับยืนนิ่งเหมือนคนไม่มีสติเสียอย่างนั้น
“ทะ ทำอย่างนี้ มะ ไม่ได้นะ”
“หืม?!”
โซรองพูดตะกุกตะกักสายตายังคงเหม่อลอยไม่ได้มองหน้าของเขานั่นทำให้ฮีวอนไม่เข้าใจที่โซรองสื่อสารนัก
“เจ้าบาดเจ็บหรือไม่?”
“ขะ ข้าต้องไปแล้ว”
“....!”
นางไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองคนตรงหน้ารีบหมุนตัวเดินหนีเขาออกมาทันที
ทำอย่างไรดี ข้าทำอะไรไม่ถูกแล้วไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องพูดอะไร ทั้งที่เกิดเรื่องน่าอับอายเช่นนี้ หากมีคนรู้เข้าต้องเป็นเรื่องใหญ่เป็นแน่
ทำไมชายผู้นี้ถึงได้ทำทีว่าเป็นเรื่องปกติได้ขนาดนี้ อันตรายเกินไป ข้าต้องกลับพระราชวังเดี๋ยวนี้
“รอเดี๋ยว”
“ยะ อย่าตามมานะ!!”
เสียงจากด้านหลังทำให้ต้องหันกลับไปมองเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มยังคงเดินตามตนมายิ่งทำให้ตนตกใจจนต้องวิ่งหนีเขา
อะไรกันนน!! ทำไมข้าต้องวิ่งหนีคนแบบนั้น ข้าเป็นถึงองค์หญิงนะ ไว้ข้ากลับเข้าราชวังข้าจะสั่งประหารชีวิตเขาในทันที ! มะไม่ได้ ทำแบบนั้นเท่ากับทำให้เป็นที่อับอายต่อเชื่อพระวงค์ไปชั่วชีวิตหนะสิ ไม่นะ!!! นี่มันเรื่องอะไรกันนนนนน!!!!
“แฮกๆๆ !!!”
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตามมาแล้วความเหนื่อยล้าร่างเล็กจึงพักเหนื่อยพึงหลังกับกำแพงสูงพรางเช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มใบหน้า
“องค์หญิงโซรอง”
“!.....”
เสียงทุ้มที่คุ้นหูดังขึ้นโซรองชักมือที่กำลังปาดเหงื่อลงอย่างชักช้าอย่างไม่แน่ใจนักแต่สิ่งที่เห็นคือ คนที่ตนวิ่งหนีเมื่อครูกำลังยืนยิ้มร่าอย่างสบายใจอยู่ด้านข้าง
“ไม่ใช่นะ! ข้าไม่ใช่องค์หญิงโซรอง!!”
“จากที่ได้พบกันครั้งนั้น ท่านโกหกไม่เก่งเท่าไร นั่นรวมถึงครั้งนี้ด้วย”
“.....!!”
“อย่าพยายามหนีอีกเลย ท่านจะเหนื่อยเสียเปล่า”
“หากรู้ว่าเป็นข้า เจ้าควรจะหยุดตามข้าได้แล้วนะ..!?”
“ท่านยังทำได้ไม่ดีนักสำหรับองค์หญิงที่ต้องการจะหนีเที่ยว”
“คะ ใครขอความเห็นจากเจ้า!”
“ท่านสบายใจได้ ข้าเองก็ต้องปิดบังตัวตนจากคนทั่วไปเช่นกัน”
“.....!”
ฮีวอนถอนหายใจยาวยืดเพราะองค์หญิงดูท่าจะระวังตัวแจจนคนมองจากดวงจันทร์ยังดูออก
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
“ข้าบังเอิญได้ยินท่านกับนาง....คุยกัน”
“วอนฮีหรอ?”
“ข้าไม่ทราบชื่อของนาง อย่างไรเสียข้าเพียงอยากยืนยันสิ่งที่ค้างคาใจเท่านั้น”
“.....”
ฮีวอนก้มหน้ายิ้มเล็กๆ เพราะได้คลายปมในใจไปได้หนึ่งอย่าง โซองมองการกระทำของเขาพรางทำท่าจะวิ่งหนีอีกครั้ง
“ทำไมถึงคิดว่าวิ่งหนีเป็นทางเลือกที่ดี?”
“ในเมื่อรู้ว่าข้าเป็นใครทำไมจึงทำท่าทีกระด้างกระเดื่องกับข้าอยู่อีกหละ?”
“ท่านต้องการแบบนั้นหรอ?”
“ทะ ทำไมถึงถาม มันเป็นสิ่งที่คนทั่วไปต้องปฏิบัติต่อข้ามิใช่หรือ?!”
“ในที่แบบนี้หรือ? ทั้งที่ท่านหนีออกมาแบบนี้ ท่านแน่ใจแล้วอย่างนั้นหรือ? ว่าจะเป็นเรื่องที่ดี”
“.....!!”
เมื่อได้ยินฮีวอนบอก ตนจึงได้รอบมองไปยังผู้คนที่เดินผ่านไปมาโดยที่ไม่ได้สนใจเรามากนัก หากเขาเรียกข้าว่าองค์หญิงขึ้นมาท่ามกลางราษฎร จะเกิดอะไรขึ้น ข้าคงไม่พยายามจินตนาการถึง
“เห็นหรือไม่ ว่าท่านจะเป็นคนทั่วไปตามที่ต้องการอย่างที่ตั้งใจ”
“....”
“แล้วหญิงรับใช้ของท่าน?...”
“วอนฮี!”
ข้าลืมวอนฮีไปเสียสนิท นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าอยู่ห่างจากนางภายนอกพระราชวังขนาดนี้ นางจะต้องกังวลมากแน่ๆ
“มาเถอะ ข้าจะพาไปพบนาง”
“ทำไมข้าจะต้องเชื่อใจเจ้า?”
“ข้าเป็นเพียงคนที่เดินผ่านมาเจอหญิงสูงศักดิ์กำลังหลงทาง”
“.....”
ใบหน้าหล่อยังคงยิ้มราวกับนี่คือเรื่องปกติทั่วไปแต่นั่นก็ถือว่าทำให้ข้าสบายขึ้นได้และยอมเดินตามหลังเขาไปโดยไม่ถามไถ่อะไรเขาอีก
มองจากด้านหลังก็รู้ได้เลยว่าไหล่ของเขากว้างขนาดไหน ตลอดทางเขายังคงยิ้มและทักทายคนอื่นราวกับรู้จักไปเสียหมด น่าอิจฉาเสียจริง
“ดูท่า ท่านไม่หลงทางแล้วสิ”
“...!!”
ฮีวอนหยุดเดินเอามือทั้งสองข้างไขว้หลังหันมายิ้มให้แก่หญิงสาวพรางชี้ไปยังวอนฮีที่กำลังชะเง้อคอมองหาข้าอยู่ไม่ไกล
ฮีวอนยิ้มเล็กๆ ก้มหัวคำนับให้แก่โซรองก่อนจะหมุนตัวเดินไปอีกทางด้วยท่าทางสบายใจ
“เพียงเท่านี้หรือ?”
“หืม?”
เสียงเล็กๆ ทำให้สองเท้าของฮีวอนหยุดเดินพร้อมกับหันกลับมามองหน้าหญิงสาวอีกครั้งด้วยใบหน้าไม่เข้าใจ
“ที่เจ้าพยายามตามข้าเพราะอยากพูดเพียงเท่านี้หรือ?”
“ข้าบอกท่านไปแล้ว ข้าต้องการยืนยันความสงสัยในใจ”
“นะ ในเมื่อเจ้ารู้แล้วว่าข้าเป็นใคร งั้นที่เจ้าบอกว่าตัวเจ้าเองก็ปิดบังตัวตนอยู่ หมายความว่าอย่างไร? เจ้าเป็นใคร?”
“......”
“ทำไมจึงไม่ตอบ”
“เทียบกับท่านแล้ว นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ”
“....”
เขาพูดก่อนจะยิ้มให้แต่กลับเป็นรอยยิ้มที่ไม่สดใสเหมือนอย่างทุกครั้ง โอหังนักนะ รู้ตัวตนของข้าแต่กลับทำเป็นบ่ายเบี่ยงข้าอย่างนั้นหรือ
“คะ คุณหนู!!!! ทางนี้เจ้าค่ะ รอตรงนั้นก่อนนะเจ้าคะ!!!”
เสียงตะโกนของวอนฮีเมื่อพบกับองค์หญิงดังมาแต่ไกลทั้งโซรองและฮีวอนหันไปหาเจ้าของต้นเสียงพร้อมกัน
หมับ!!
ร่างสูงเพรียวพาตัวเองมาถึงก่อนจะกุ้มมือทั้งสองข้างขององค์หญิงไว้อย่างหลวมๆ พรางหายใจหอบถี่
“คุณหนู หายไปไหนมาเจ้าคะ? เกิดอะไรขึ้นหรือไม่?!”
“เขา ไปไหนแล้ว?”
“ใครกัน?”
“เมื่อกี้เขายัง...”
โซรองหันมองไปยังที่ที่ฮีวอนเคยยืนอยู่แต่เขากลับหายตัวไปกับผู้คน วอนฮีหันมองตามองค์หญิงแต่ก็ไม่รู้ว่าทรงมองหาใคร
“มองหาใครหรือเจ้าคะ?”
“ไม่มีอะไร คนที่ข้าถามทางหนะ”
“อย่าทำแบบนี้อีกนะเจ้าคะ ไม่อย่างนั้นเราจะไม่ได้ออกมาแบบนี้อีกเด็ดขาด!!”
“ข้าไม่อยากกลับเข้าไป ที่จริง ข้าไม่อยากอยู่ในวังอีกแล้ว”
“โถ่ คุณหนู”
“ตอนที่ข้ามีชีวิตชีวาที่สุด ก็คงจะเป็นการออกมาให้ไกลจากวังมากที่สุด”
“......ไปกันเถิดเจ้าค่ะ”
วอนฮีกุมมือข้างหนึ่งขององค์หญิงไว้พยายามไม่สนใจน้ำเสียงที่หดหู่ของนางอีก ก่อนจะใช้มืออีกข้างของตนแหวกว่ายผู้คนผ่านไป
เขาเป็นใครกัน หายไปทั้งอย่างนั้นได้ยังไงทั้งที่ไม่มีที่ให้หลบด้วยซ้ำน่าสงสัยเสียจริง ข้าจะได้พบเขาอีกไหมนะ.....