ตอนที่ 53 ฉันจะคืนเงินให้แน่ๆ
“เหมยเหมยสบายใจได้ เงินห้าสตางค์ฉันยังพอมีอยู่ มา ฉันจะไปรอเยวี่ยเยวี่ยกับเธอเอง หลังจากนี้กลับบ้านคนเดียวไม่ได้นะ ต้องกลับพร้อมกับพี่สาว เข้าใจมั้ย?”
เหมยซูหานยิ้มจางๆ รอยยิ้มนั่นอบอุ่นเสียจนใช้ละลายน้ำแข็งในวันหนาวเหน็บได้ แต่อู่เหมยกลับรู้สึกเย็นไปทั้งตัว รอยยิ้มอบอุ่นนี่แหละที่หลอกเธอมาสิบปีเต็ม
ได้ยินคำว่า ‘เยวี่ยเยวี่ย’ ออกจากปากเขา อู่เหมยก็ตีหน้านิ่งกล่าวเสียงเย็น “อยากรอก็ไปรอคนเดียว เงินห้าสตางค์นั่นฉันจะคืนให้พี่แน่ๆ”
พูดจบเธอก็หันหลังวิ่งหนีทันที ไม่นานก็วิ่งออกจากตรงนี้ไปไกล เหมยซูหานไม่ทันตั้งตัวเลยวิ่งตามไม่ทันได้แต่ยิ้มขมขื่นถอนหายใจ ตอนนี้เหมยเหมยเปลี่ยนไปมากเหลือเกิน เหมือนลูกเม่นตัวน้อย
“ซูหาน เอาเงินห้าสตางค์นี้กลับไป ฟังป้านะ” คุณป้าสวี่ยื่นเงินห้าสตางค์คืนให้เหมยซูหาน เงินห้าสตางค์นี้สามารถใช้ประกอบกล่องได้ตั้งห้าชิ้น เธอจะรับเงินนี้ไว้ไม่ได้เด็ดขาด
“ป้าสวี่ เช้านี้ผมเก็บขยะขายได้สามสิบห้าสตางค์ จากนี้ไปต้องได้เยอะขึ้นเรื่อยๆ แน่ๆ”
เหมยซูหานยิ้มอย่างดีใจ เช้านี้เขาตื่นเช้าเป็นพิเศษรีบไปค้นขยะตรงที่ทิ้งขยะแถวบ้านหนึ่งชั่วโมงทั้งที่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง เก็บเศษเหล็กรองเท้าแตะกะละมังพลาสติกต่างๆ มากองใหญ่ ตอนเที่ยงนำของเหล่านี้ไปขายที่โรงรับซื้อของเก่าถึงได้เงินมาสามสิบห้าสตางค์
ชั่วโมงเดียวได้เงินตั้งสามสิบห้าสตางค์ กำไรดีกว่าทำกล่องกระดาษขายตั้งมาก เหมยซูหานรู้สึกมั่นใจมากกว่าเดิม คิดไว้ว่าตกดึกเขาค่อยไปเก็บขยะอีกสองชั่วโมงก็จะได้เงินค่าเทอมกับค่ากับข้าว คุณแม่จะได้ไม่ต้องเหนื่อยกับการทำกล่องกระดาษนั่นอีก
กองภูเขาขยะที่ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่วอาณาบริเวณเปรียบเหมือนภูเขากองเงินกองทองในสายตาเขา ชีวิตของเหมยซูหานจะเริ่มต้นจากตรงนี้
คุณป้าสวี่มองเหมยซูหานอย่างปลื้มใจ ช่างเป็นเด็กดีอะไรอย่างนี้ เสียดายที่มีคุณพ่อแบบนั้นซะได้ เฮ้อ! พระเจ้าช่างไม่ยุติธรรม!
“เด็กดี มีเงินก็เอาไปซื้อเนื้อกินนะ จะกินแต่ผักเค็มไม่ได้ เสียสุขภาพเอา” คุณป้าสวี่ไม่คิดจะคืนเงินห้าสตางค์ต่อแต่ตัดสินใจว่าวันไหนที่ว่างค่อยซื้อของบำรุงไปบ้านตระกูลเหมยสักหน่อย
อย่าคิดดูถูกเด็กยากไร้เชียว เด็กดีอย่างเหมยซูหานเธอมั่นใจว่าอนาคตต้องประสบความสำเร็จ ชีวิตราบรื่นได้ดิบได้ดี ไม่แน่อนาคตครอบครัวของเธอยังต้องพึ่งพาอาศัยเหมยซูหานด้วยซ้ำ!
เหมยซูหานยิ้มรับ เดิมทีเขาคิดจะไปซื้อเนื้อสักครึ่งกิโลกรัมกลับไปต้มน้ำซุปเนื้อให้คุณแม่ เขาไม่หวังได้ทานเนื้อเพราะอู่เจิ้งซือมักเรียกให้เขาไปร่วมโต๊ะอาหารที่บ้านอีกฝ่ายบางครั้งบางคราว ซึ่งทุกครั้งที่ไปก็ได้ทานเนื้อ
“เด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักเมื่อกี้เป็นคนที่ไหนเหรอ? หน้าตาสวยจังเลย แต่ผอมไปหน่อย ที่บ้านต้องยากจนไม่มีเนื้อกินแน่ๆ น่าสงสารจริงๆ” คุณป้าสวี่ถอนหายใจ
เหมยซูหานหลุดเสียงหัวเราะพลางอธิบาย “นั่นลูกสาวคนเล็กของครูประจำชั้นผมครับ พ่อแม่ของเธอเป็นคุณครูทั้งคู่ ฐานะที่บ้านไม่เลว เหมยเหมยผอมแบบนี้มาตั้งเด็ก อาจจะทานยังไงก็ไม่อ้วนละมั้งครับ!”
คุณป้าสวี่หัวเราะ “อย่างนี้นี่เอง ป้าเห็นแม่หนูน้อยใส่เสื้อตัวเก่าเลยคิดว่าฐานะที่บ้านแย่ซะอีก”
เหมยซูหานชะงักกึกถึงนึกได้ว่าไม่เคยเห็นอู่เหมยสวมชุดสวยๆ มาก่อนนอกจากเมื่อวานเพียงครั้งเดียว กลับเป็นอู่เยวี่ยที่สวมชุดสวยงามทุกวัน พอนึกถึงถ้อยคำรวมถึงการกระทำแปลกๆ ของอู่เหมยเมื่อวาน เหมยซูหานก็ยิ่งทำหน้าแปลกใจ
เขาไม่กล้าคิดไปมากกว่านี้ อู่เจิ้งซือเป็นคุณครูที่มีบุญคุณต่อเขาและดีกับเขายิ่งกว่าคุณพ่อแท้ๆ เหอปี้อวิ๋นด้วยเช่นกัน เขาจะสงสัยในตัวอาจารย์ผู้มีพระคุณรวมถึงอาจารย์แม่ไม่ได้
เหมยซูหานมุ่นคิ้วแน่น ตัดสินใจค่อยหาเวลาไปคุยกับอู่เหมย ยายนี่คงเข้าใจอะไรในตัวเขาผิดสินะ?
ต้องรีบปรับความเข้าใจกับอู่เหมยให้เร็วที่สุด เขาไม่อยากให้คนรักในชาติก่อนของเขาเย็นชากับเขาเช่นนี้ แต่ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหาเงิน หากไม่มีเงินก็ทำอะไรไม่ได้
ตอนที่ 54 ตกหลุมพราง
อู่เหมยวิ่งจนหอบแฮ่กและรู้สึกเจ็บไปทั้งคอหอยถึงยอมหยุด ค่อยๆ เดินไปทั้งที่ขนมแพนเค้กรากบัวยังอุ่นร้อน อู่เหมยกัดสองสามคำให้หมดชิ้นถึงรู้สึกสบายท้อง
พอนึกถึงเงินสิบสตางค์ที่หายไปอู่เหมยก็แทบปวดไปทั้งรากฟัน ทั้งที่เมื่อเช้าตอนสวมเสื้อผ้าในกระเป๋ายังมีเงินยี่สิบสตางค์อยู่เลย เงินไม่มีขาสักหน่อย จะบินหายไปเองก็ไม่ได้ และไม่มีทางตกหล่นจากกระเป๋าเองเพราะเหอปี้อวิ๋นมักเย็บกระเป๋าเสื้อไว้ลึกมาก ต่อให้กระโดดโลดเต้นขนาดไหนก็ไม่หวั่น
อู่เหมยมุ่นคิ้วชนกันแน่น คิดไม่ออกสักทีว่าเงินสิบสตางค์นี้หายไปได้อย่างไร สิ่งสำคัญคือตอนนี้เธอติดหนี้เหมยซูหานไว้ห้าสตางค์และจะต้องคืนเงินนี้ให้ได้
ไม่ต้องคิดเลยว่าจะไปขอเหอปี้อวิ๋น เธอไม่อยากรนหาที่ถูกตีเสียเปล่าๆ ดูท่าคงต้องขอจากอู่เจิ้งซือเท่านั้น เหลือบดูกระเป๋าโล่งเปล่าแวบหนึ่งอู่เหมยก็กัดฟันกรอด ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะหาเงินค่าขนมให้ตัวเองมากกว่านี้ บนตัวไม่มีเงินมันช่างไม่อุ่นใจเลยสักนิด
เพิ่งเดินเข้าประตูใหญ่ของโรงเรียนอี้จงอู่เหมยก็ได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวก ไม่ต้องดูก็รู้ทันทีว่าเหยียนหมิงซุ่นกำลังเล่นบาสเกตบอลอีกแล้วแน่ๆ อู่เหมยดูท้องฟ้าทีหนึ่งถึงตัดสินใจเดินไปทางสนามบาสเกตบอล หาตำแหน่งว่างบนอัฒจันทร์ที่อยู่สูงหน่อยแล้วจึงนั่งลง
เพิ่งนั่งลงก็ได้จังหวะที่เหยียนหมิงซุ่นกระโดดโยนลูกบาสเกตบอลเข้าห่วงพอดิบพอดีแล้วยังนอนคว่ำกับพื้นอยู่หลายวินาทีจนเหล่าหญิงสาวข้างๆ กรีดร้องด้วยความตื่นเต้นดังกระหึ่ม อู่เหมยอุดหูเหม่อลอย ไม่เข้าใจถึงความบ้าระห่ำของเด็กสาวพวกนี้จริงๆ
หากไม่ใช่เพราะอู่เจิ้งซือยังไม่กลับบ้าน เธอไม่คิดจะอยากมานั่งรับมลภาวะทางเสียงแบบนี้หรอก!
เหยียนหมิงซุ่นกระโดดลงหลังจากโยนลูกบาสเข้าห่วงก็เห็นยายหนูบนที่นั่งอัฒจันทร์พอดี ท่วงท่าสองมือเท้าคางอย่างน่าเบื่อ ไม่รู้ว่าเธอกำลังมองไปทางไหนที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่ใช่เขา เรียกให้เหยียนหมิงซุ่นรู้สึกไม่สบอารมณ์หน่อยๆ
ไม่ดูเขาเล่นบาสเกตบอลแล้วจะวิ่งมาที่สนามบาสทำไม?
ภาพทิวทัศน์อย่างอื่นดูดีกว่าเขาเล่นบาสหรือ?
ในสนามบาสความจริงเหยียนหมิงซุ่นค่อนข้างหลงตัวเอง ไม่สิ น่าจะพูดว่าเดิมทีเหยียนหมิงซุ่นก็หลงตัวเองมากพอแล้ว หากใช้คำพูดปัจจุบันมาอธิบายก็คือภายใต้ภาพลักษณ์ที่เย็นชานั่นมีหัวใจดวงหนึ่งที่ ‘ร้อนรุ่ม’
เหยียนหมิงซุ่นอดมองไปทางอู่เหมยอีกครั้งไม่ได้ สองตานั่นกำลังทอดมองตรงหน้าอย่างล่องลอยโดยไม่รู้ตัวว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่น หลายคนเริ่มถูกดึงดูดความสนใจให้มองไปทางอู่เหมยอย่างพร้อมเพรียง
อู่เหมยกลับเหม่อลอย เธอกำลังพยายามคิดโจทย์ที่ปล่อยน้ำเติมน้ำนั่นให้ได้ ปากงึมงำไม่หยุด สมองทื่อ ไม่ว่ายังไงก็คิดโจทย์นี้ไม่ได้สักที ยิ่งคิดยิ่งสับสน
“ระวัง!”
เกิดเสียงแทรกเข้ามาโดยที่ทุกคนต่างก็มองอาวุธลูกนั้น ลูกบาสเกตบอลที่กำลังพุ่งไปหาอู่เหมยอย่างรวดเร็วด้วยความแตกตื่นกันหมด
เหยียนหมิงซุ่นเห็นอู่เหมยยังเหม่ออยู่ลอบสบถในใจ ขายาวกระโดดข้ามอัฒจันทร์เหมือนจิงโจ้ วิ่งเข้าหาอู่เหมยแล้วตะโกนเสียงดัง “หมอบลง!”
อู่เหมยรู้สึกได้ถึงรอบข้างที่ตกอยู่ในความเงียบถึงขั้นได้ยินเสียงหายใจ อดมองไปทางสนามบาสไม่ได้พอดีกับเสียงตะโกนของเหยียนหมิงซุ่นทั้งยังเห็นเขาวิ่งเข้ามาหาอย่างร้อนใจ ท่าทางน่าตลกดีให้หลุดเสียงขำออกมาไม่ได้
เหยียนหมิงซุ่นโกรธแทบตาย สมแล้วที่โง่ ลูกบาสลูกใหญ่ขนาดนั้นไม่เห็นได้อย่างไร?
รออู่เหมยจับสังเกตถึงความผิดปกติลูกบาสก็พุ่งมาถึงตรงหน้าเรียบร้อย เธอไม่ทันป้องตัวด้วยซ้ำลูกบาสก็กระแทกลงกลางหน้าผากเธอทันที
‘พลั่ก’
ผู้คนหลับตาลงอย่างนึกสงสาร ลูกบาสลูกใหญ่กระแทกลงไปขนาดนั้น ไม่ทำเอาหัวของยายหนูคนนี้เละเป็นโจ๊กเลยหรือ!
อู่เหมยล้มตัวหงายหลังโดยไม่ทันหลุดเสียงอุทานด้วยซ้ำ พอดีกับเหยียนหมิงซุ่นที่มาถึงเขาขมวดคิ้วอย่างนึกโกรธเพราะยังช้าไปก้าวหนึ่ง คราวหลังต้องเพิ่มเวลาวิ่งตอนเช้าอีกครึ่งชั่วโมง