ตอนที่ 15 ไม่ได้น่าเกลียด
อู่เจิ้งซือมองอู่เยวี่ยอย่างพึงพอใจ พยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย “เยวี่ยเยวี่ยใส่ใจน้องดีจริงๆ ที่แม่พูดก็มีเหตุผล ตอนนี้ลูกอยู่มัธยมต้น เรื่องการเรียนจะชะล่าใจไม่ได้ การบ้านของเหมยเหมยพ่อกับแม่จะหาเวลาสอนเอง ลูกตั้งใจเรียนก็พอ”
อู่เยวี่ยแอบได้ใจลึกๆ เธอรู้อยู่แล้วว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่มีทางอนุญาตให้เธอสอนการบ้านเจ้าโง่นี่เด็ดขาด ที่พูดไปเมื่อครู่ก็แค่เสแสร้งพูดไปอย่างนั้นแหละ
“ค่ะ หนูจะตั้งใจเรียนให้พ่อแม่ภูมิใจ”
“เด็กดี แม่รู้ว่าลูกต้องทำได้แน่ๆ ถ้าน้องสาวของลูกได้หนึ่งส่วนสิบของลูก แม่คงยิ้มกระทั่งในฝัน”
เหอปี้อวิ๋นลูบหัวอู่เยวี่ยอย่างรักใคร่ก่อนจะถลึงตาใส่อู่เหมยแรงๆ ลูกสาวคนเล็กเปรียบเสมือนหนามตำใจเธอ ขัดหูขัดตา แค่เห็นก็ปวดไปทั้งใจ
“ยังไม่ลุกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอีก นอกจากสมองไม่พอใช้ แขนขาก็เป็นง่อยไปแล้วหรือไง?” เหอปี้อวิ๋นตะคอก
อู่เหมยลอบถอนหายใจรู้ว่าการตบตีในวันนี้สิ้นสุดชั่วคราวแล้วเลยลุกขึ้นยืนแต่เพราะโดนแผลบนตัวเลยสูดปากครางทีหนึ่ง แต่พอเห็นสายตาตวัดมองมาจากเหอปี้อวิ๋น อู่เหมยจำต้องรีบปิดปาก ค่อยๆ เดินเข้าห้องสำหรับเธอกับอู่เยวี่ย
ห้องของเธอกับอู่เยวี่ยขนาดสิบกว่าตารางวา มีเตียงเดี่ยวสองเตียง โต๊ะเรียนสองโต๊ะรวมถึงชั้นวางหนังสือกับตู้เสื้อผ้าอย่างละหนึ่งตู้ เฟอร์นิเจอร์ไม่กี่อย่างได้กินพื้นที่ห้องไปแทบทั้งหมด
เดิมทีเหอปี้อวิ๋นอยากให้สองพี่น้องนอนยัดเตียงเดียวกันจะได้ประหยัดพื้นที่แต่อู่เยวี่ยไม่ยอม แอบไปอ้อนขอเหอปี้อวิ๋นที่รักเธอเป็นทุนเดิมเลยได้เพิ่มเป็นเตียงเดี่ยวสองเตียง ส่วนอู่เจิ้งซือไม่เคยสนใจเรื่องที่บ้านอยู่แล้ว ทุกอย่างเลยให้เหอปี้อวิ๋นเป็นคนตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียว
เตียงและโต๊ะหนังสือของอู่เยวี่ยอยู่ติดหน้าต่าง แสงสว่างส่องชัด ส่วนเตียงของอู่เหมยกลับอยู่ห่างจากหน้าต่างตั้งไกล แน่นอนว่าโต๊ะหนังสือด้วยเช่นกันเลยทำให้ค่อนข้างมืด เมื่อก่อนอู่เหมยอยากให้เหอปี้อวิ๋นซื้อโคมไฟดวงเล็กแต่เหอปี้อวิ๋นกลับตอบเพียงว่า ‘ซื้อกลับมาแล้วแกจะสอบได้หนึ่งร้อยคะแนนเหรอ?’
เช่นนี้เองอู่เหมยเลยต้องร่ำเรียนภายใต้แสงอันน้อยนิดกระทั่งจบมัธยมปลาย ส่งผลให้ค่าสายตาน้อยลงเรื่อยๆ อู่เหมยกะพริบตามองไปนอกหน้าต่าง เห็นว่าสายตามองเห็นได้ชัดเจนไม่พร่ามัวก็อดดีใจไม่ได้
ตอนนี้สายตาเธอยังไม่สั้น ดีจังเลย!
อู่เหมยเดินไปหน้ากระจกบานใหญ่ที่ติดตู้เสื้อผ้า สองมือสางผมยาวออกเผยให้เห็นใบหน้าดวงใส ผิวขาวซีดเหมือนคนป่วยขับให้ไฝแดงกลางหน้าผากสีเข้มกว่าเดิม แม้ร่างกายยังไม่เติบโตเต็มที่แต่ก็พอจะเห็นว่าเป็นสาวงามคนหนึ่งแล้ว
“คนขี้เหร่! อู่เหมยเป็นคนขี้เหร่ที่ไม่มีใครเอา!”
คล้ายมีเสียงตะโกนดังข้างหูเรียกให้อู่เหมยยิ้มขมขื่น ก่อนตายเธอคิดว่าตัวเองน่าเกลียดมาตลอดต่อให้คุณหมอกับพยาบาลต่างชมว่าเธอสวยก็ตาม เธอไม่เชื่อ คิดว่าพวกเขาพูดเพื่อปลอบใจเธอเท่านั้น
แต่ตอนนี้เธอมาประเมินหน้าตาตัวเองดีๆ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าความจริงเธอไม่ได้น่าเกลียดขนาดนั้นนี่นา!
บนใบหน้าไม่มีปานน่าเกลียด ผิวค่อนไปทางขาว องค์ประกอบใบหน้าเด่นชัด แม้จะไม่ถึงขั้นสวยแต่ก็ไม่น่าเกลียด ทำไมเหอปี้อวิ๋นถึงว่าเธอน่าเกลียดล่ะ?
หากไม่ใช่เพราะเหอปี้อวิ๋นกับอู่เยวี่ยพูดกรอกหูเธอตั้งแต่เด็กว่าเธอหน้าตาน่าเกลียด เธอไม่มีทางเป็นโรคหวาดระแวงเพราะความรู้สึกผิดหวังในตัวเอง ชาติก่อนเธอไม่กล้าออกไปทำงาน ไม่กล้าไปร่วมงานต่างๆ ทุกครั้งที่ออกจากบ้านมักมีเรื่องชวนให้ตกใจอยู่ทุกครั้ง เพื่อนข้างบ้านต่างคิดว่าเธอแปลก เหมยซูหานเองยังพาเธอไปพบจิตแพทย์
อู่เหมยหลุดขำอย่างขมขื่นใจ ชาติก่อนเธอมันโง่นัก ไม่น่าตายเสียเปล่าเลย!
ตอนที่ 16 เปลี่ยนแปลง
อู่เหมยหยิบหวีสางผมช้าๆ เส้นผมของเธอไม่ดีเท่าไรออกจะค่อนไปทางเส้นเล็กและติดเหลืองบ่งบอกว่าได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ อีกทั้งใบหน้าของเธอขาวซีดเกินไปแม้จะมีสาเหตุมาจากการไม่ได้รับแสงแดดอย่างเพียงพอ แต่ส่วนใหญ่ก็เพราะสารอาหารไม่เพียงพอเช่นกัน เธอมีโรคโลหิตจางที่ค่อนข้างรุนแรง มิน่าชาติที่แล้วกว่าประจำเดือนเธอจะมาก็ปาเข้าไปอายุสิบห้าปีแล้ว
ประจำเดือนอู่เยวี่ยมาตั้งแต่อายุสิบสามปี อีกอย่างอู่เยวี่ยรูปร่างสูงกว่า หุ่นดีกว่าเธอ น่าจะเป็นเพราะเหอปี้อวิ๋นมักเพิ่มเมนูอาหารให้เธอ
อู่เหมยคอยหวีผมอย่างระมัดระวัง ไม่ว่าจะน่าเกลียดหรือสวยงามแต่จะให้ผมปรกหน้าเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้อีกแล้ว นอกจากจะทำให้ดูไม่เรียบร้อยยังดูเสียมารยาท ถึงว่าคุณครูและเพื่อนๆ ที่โรงเรียนไม่ชอบเธอ
ผมยาวมากจริงๆ ยาวไปถึงหลัง อู่เหมยรวบมัดเป็นหางม้าแต่เธอไม่มียางรัดผมเลยตัดสินใจเปิดลิ้นชักของอู่เยวี่ย ข้างในมีกล่องขนมที่เต็มไปด้วยเครื่องประดับหัวกับยางรัดผมของอู่เยวี่ย ช่างกระแทกตานัก
อู่เหมยไม่กล้าหยิบอันที่สวยเลยเอาอันที่ธรรมดาที่สุดมามัดผม คิดไว้ว่าไว้หาเวลาว่างไปซื้อหนังยางกลับมาก่อนจะหาไหมพรมเก่าๆ ของตัวเองพัน คงใช้ได้หลายปี
พอผมถูกรวบมัดทำให้อู่เหมยดูเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างมาก ไม่มีสภาพยุ่งเหยิงหม่นหมองอย่างเดิมกลับดูสดใสมีชีวิตชีวามากขึ้น ถึงกระโปรงจะทั้งยาวทั้งใหญ่แต่ใบหน้างดงามดวงนั้นเพิ่มคะแนนให้อู่เหมยไม่น้อย
ยิ้มโชว์ฟันให้หญิงสาวในกระจก อู่เหมยพูดเสียงเบา ‘ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ชีวิตของเธอจะต้องไม่เหมือนเดิม สู้ๆ!’
อู่เยวี่ยผลักประตูเข้ามาเพราะเธอจะมาหวีผมเช่นกันแต่กลับตกใจกับสภาพอู่เหมยหน้ากระจกเฮือกใหญ่ ยืนค้างอยู่ประตูพักหนึ่งถึงตั้งสติได้
เจ้าโง่นี่มัดผมขึ้นได้อย่างไร?
มีใครพูดอะไรกับอู่เหมยหรือเปล่า?
อู่เยวี่ยรู้สึกว่าใบหน้าดวงสวยของอู่เหมยช่างทิ่มแทงตาเหลือเกิน เธอรู้อยู่แล้วว่าอู่เหมยสวย ไม่ได้สวยธรรมดา เรื่องนี้ทำให้อู่เยวี่ยไม่พอใจอย่างมาก
เธอค่อนข้างโตเกินวัยเดียวกันด้วยเพราะรู้จักรักสวยรักงามตั้งแต่อายุเจ็ดแปดขวบ ความอิจฉาริษยาต่อความสวยของอู่เหมย เมื่อเห็นเหอปี้อวิ๋นไม่ได้มีท่าทีที่ดีต่ออู่เหมยเธอจึงพูดถึงอู่เหมยลับหลังให้เหอปี้อวิ๋นบ่อยๆ อย่างจงใจ ให้เหอปี้อวิ๋นทวีความไม่พอใจที่มีต่ออู่เหมย เป็นเช่นนี้มายาวนานเลยทำให้เหอปี้อวิ๋นรู้สึกโกรธทันทีเมื่อเห็นอู่เหมย เบาก็ด่า หนักก็ตีราวกับแม่เลี้ยงก็ไม่ปาน
อู่เยวี่ยพึงพอใจกับความลำเอียงของคุณพ่อคุณแม่อย่างมาก ควรเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว เจ้าโง่อย่างอู่เหมยมีสิทธิ์อะไรที่จะมาเป็นน้องสาวของเธอ?
คุณพ่อคุณแม่ก็เพิ่มภาระ มีลูกสาวฉลาดอย่างเธอแล้วจะมีอู่เหมยอีกคนไปทำไมกัน?
โชคดีที่อู่เหมยค่อยๆ ถูกลดความสำคัญในใจของคุณพ่อคุณแม่ภายใต้ความพยายามของเธอ หากเธอพยายามให้มากกว่านี้บางทีในใจของคุณพ่อคุณแม่อาจเหลือแค่เธอเพียงคนเดียวล่ะ!
แล้วทำไมวันนี้อู่เหมยถึงคิดจะรวบผมล่ะ?
หน้าตาเย้ายวนคนที่ได้พบเจอแบบนี้ไม่แน่คุณพ่อคุณแม่เห็นอาจใจอ่อนได้ ช่างน่ารำคาญ ไม่เจียมตัวเลยสักนิด
“มัดผมทำไม? คิดจะหลอกคนอื่นหรือไง?” อู่เยวี่ยตำหนิเสียงต่ำ มีเพียงเวลาทั้งคู่อยู่ด้วยกันเธอจะไม่เหลือสิ่งที่เรียกว่าความอ่อนโยนอีกต่อไป
อู่เหมยมองเธออย่างใจเย็นแล้วกล่าว “ก็ผมบังตา ไม่สบายตา”
อู่เยวี่ยหน้าเปลี่ยนสีมองอู่เหมยด้วยความตกใจ ใบหน้าเดิมแต่ทำไมเธอรู้สึกว่าน้องสาวคนนี้ไม่เหมือนเดิม อู่เหมยพูดจบก้มหัวลงทำท่าหวาดกลัวเหมือนเดิม อู่เยวี่ยอดพรูลมหายใจไม่ได้ เมื่อกี้ต้องเป็นภาพหลอนของเธอแน่ๆ
อู่เหมยก็ท่าทางเหมือนเดิมไม่ใช่หรือไง น่าจะผมบังแล้วไม่สบายตาจริงๆ สินะ!
ว่าแต่เจ้าบ้าคนไหนมายุให้อู่เหมยมัดผมกัน?