6
เขามีตัวตนอยู่จริงๆ
น้ำเพชรมองใบหน้าของเขานิ่ง เธอจดจ้องดวงตาคู่นั้นราวกับว่าเวลาหยุดเดินไป ยิ่งได้มองเขาใกล้เท่าไหร่ก็ยิ่งมั่นใจว่าเขาคือคนที่อยู่ในความฝันของเธอทุกค่ำคืนและเป็นคนเดียวที่อยู่ในความทรงจำอันเลือนลางของเธอ
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับคุณ!?” เจ้าของรถยนต์คันนั้นวิ่งลงมาจากรถพร้อมตะโกนถามทั้งคู่ที่ค่อยๆ ลุกขึ้นมาจากพื้นถนนและเรียกสติของตัวเองกลับมา “ขอโทษนะครับ ผมขับรถไม่ระวังเอง เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันก็เดินไม่ระวังเหมือนกัน” น้ำเพชรตอบเจ้าของรถคันนั้นไป ก่อนจะหันมามองผู้ชายคนนั้นที่ยังยืนอยู่พร้อมกับปัดฝุ่นออกจากเสื้อ “คุณ...เป็นอะไรไหมคะ”
เขาหันมามองเธอพร้อมกับส่ายหน้าก่อนจะมองลงไปยังข้อศอกของเธอที่ถลอกจากการกระแทกกับพื้น น้ำเพชรไม่ได้สนใจรอยแผลหรือความเจ็บแสบอะไรสักนิด เธอยืนมองเขานิ่งไม่วางตาและไม่กล้าพูดอะไรต่อไป พร้อมกับพยายามทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ขอบคุณนะคะ” น้ำเพชรพูดกับเขาที่เอาแต่ยืนเงียบ เจ้าของรถคันนั้นเห็นว่าทั้งคู่ไม่เอาความอะไรจึงรีบขับรถออกไปพร้อมกับกลุ่มคนไทยมุงหน้าห้างที่สลายตัวกันไปคนละทาง
“...”
“ขอบคุณที่ช่วยฉันไว้ ถ้าไม่ได้คุณคงแย่แน่”
“ดูคุณจะชอบวิ่งนะ วิ่งจนรองเท้าขาด” ร่างสูงพูดกับเธอพลางก้มมองรองเท้าของน้ำเพชรที่สายรัดส้นขาด น้ำเพชรจึงหันไปมองตามเขาก่อนจะถอดรองเท้าออกทั้งสองข้าง
“อะ เอ่อ ฉันไม่ทันสังเกตเลย ขอบคุณนะคะ” น้ำเพชรทำได้เพียงเอ่ยขอโทษเขาไปอย่างนั้นทั้งที่มีคำถามท่วมท้นอยู่ภายในใจ เธอลอบมองใบหน้าของเขาแล้วพยายามรวบรวมความกล้าที่จะถามออกไปแต่มันก็ยากเหลือเกิน “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉัน...”
“ผมรู้แล้ว”
“?”
“ผมรู้จักคุณ” คำพูดนั้นทำให้หญิงสาวใจเต้นขึ้นมา ทั้งความหวังและความกลัวทำให้เธอเริ่มทำตัวไม่ถูก
“รู้จักฉัน?”
“ผมจอมทัพครับ” ชายหนุ่มพูดตัดบทพลางยื่นมือมาทางเธอก่อนที่เธอจะยื่นมือไปจับเพื่อเป็นการทำความรู้จักกัน น้ำเพชรกระตุกคิ้วพร้อมมองเข้าด้วยสีหน้าไม่เข้าใจนักกับรอยยิ้มที่มุมปากของเขาซึ่งผุดขึ้นเหมือนคิดบางอย่างอยู่ในใจ
“...”
“ผมว่าคุณคงต้องไปซื้อรองเท้าคู่ใหม่แล้วก็ทำแผลสักหน่อยนะ”
“อ่า... ฉันก็คิดว่าอย่างนั้นค่ะ ว่าแต่คุณบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ?”
“ผมไม่เป็นไร”
“อ่อ...”
“คุณมาคนเดียวหรือ?” เขาเริ่มถามเธอก่อนเมื่อเห็นว่าไม่มีใครมาหาเธอ
“ฉันมากับเพื่อนน่ะค่ะ เอ่อ...”
“มีอะไรหรือเปล่า?” จอมทัพมองเธอที่กำลังทำสีหน้าสับสนและอึดอัด ต่างจากตอนที่เธอกับเขาเกือบถูกรถชนเมื่อไม่กี่นาทีก่อน เธอดูพูดอึกอักเหมือนมีคำถามในใจแต่ก็ไม่ยอมพูดอะไรกับเขาไปมากกว่าการถามไถ่ทั่วไป
ดูเหมือนว่าเธอจะจำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ
“ความจริงฉันรู้สึกเหมือนเคยเจอคุณมาก่อนน่ะค่ะ” น้ำเพชรตัดสินใจพูดออกไปตามตรงหลังจากอัดอั้นมานาน “น่าแปลกนะคะที่ฉันรู้สึกแบบนี้กับคุณเป็นคนที่สองแล้ว”
“...”
“เรา...เคยรู้จักกันใช่ไหมคะ?”
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ” เขาเอ่ยถามเสียงเรียบพร้อมมองดวงตาของเธอที่แสดงถึงความไม่แน่ใจ
“ฉันเคยเห็นคุณ...”
“...”
“ในความฝัน ความทรงจำ” เธอพูดเสียงเบาและรู้ดีว่าคำพูดของเธอมันช่างฟุ้งฝันราวกับนิยายน้ำเน่าเสียเหลือเกิน เขาคงไม่มีทางเชื่อคำพูดไร้สาระของเธอเป็นแน่ แต่นี่อาจเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เธอได้เจอเขาก็ได้ เพราะฉะนั้นเธอควรใช้โอกาสนี้ในการพูดความจริงทั้งหมด “คุณไม่ต้องเชื่อฉันก็ได้นะคะ ฉันเข้าใจว่ามันเหลวไหลแต่ฉันรู้สึกแบบนั้นจริงๆ”
“เพชร”
“?” น้ำเพชรรีบเงยหน้าขึ้นไปมองเขาอย่างรวดเร็วทันทีที่ได้ยินเขาเรียกเธอแบบนั้น ภาพความฝันแวบเข้ามาในหัวของเธอทันใด และนั่นทำให้เธอนิ่งค้างไปกลางอากาศจนไม่สามารถควบคุมได้
เขารู้จักชื่อของเธองั้นหรือ...
ดวงตาคู่สวยเบิกโพลงเมื่อได้ยินคนตรงหน้าเรียกเธอแบบนั้นโดยที่เธอยังไม่ทันได้บอกชื่อของตัวเองออกไปสักคำ แต่ทำไมเขาถึงทำท่าเหมือนจะไม่รู้จักเธอ แต่ก็รู้ชื่อและบอกเองว่าเขารู้จักเธอ มันยังไงกันแน่
“เรายังมีเวลารื้อฟื้นทุกอย่างกันอีกเยอะ”
“...”
“เชื่อผมสิ”
เวลาต่อมา
น้ำเพชรนั่งใจลอยไปนอกหน้าต่างรถยนต์โดยที่โรสไม่ได้กลับมาด้วยเพราะตัดสินใจแยกกันกลับ เธอเลือกจะกลับกับคนของที่บ้านสุริยันโดยให้เหตุผลกับโรสไปว่าเธออยากพักผ่อนเพราะรู้สึกไม่ค่อยสบาย
แต่แน่นอนว่าเรื่องที่เธอเจออุบัติเหตุนั้นคงจะถูกรายงานไปที่คุณธีร์เรียบร้อยแล้ว ลูกน้องของเขาที่มาเป็นการ์ดให้เธอห่างๆ นั้นกล่าวขอโทษเธอใหญ่และพร้อมรับผิดชอบกับความสะเพร่าที่เขาดูแลเธอได้ไม่ดีและไม่ได้ช่วยชีวิตเธอในเวลานั้น แต่เธอไม่ติดใจอะไรเพราะเธอเองก็ผิดที่วิ่งไปโดยไม่สนใจใครแบบนั้น
“เฮ้อ...” เธอถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อยของวัน ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความสับสนพร้อมความกังวลนั้นไม่ได้จดจ้องสิ่งใดเป็นพิเศษเพราะสมาธิของเธอจดจ่ออยู่กับภาพในความฝันและการพบกับจอมทัพในวันนี้
เขารู้จักกับเธอแน่นอน และที่เขาบอกว่า ยังมีเวลารื้อฟื้นทุกอย่างกันอีกเยอะ มันหมายความว่าอะไรกันแน่ เขารู้จักเธอมาก่อนและรู้ด้วยหรือว่าเธอความจำเสื่อม จำเขาไม่ได้ ทำไมเขาถึงพูดแบบนั้น
หากเขาเป็นคนในความฝันที่รู้จักกับเธอจริง แล้วภาพในความฝันนั้นมันใช่เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงมาก่อนหรือเปล่า เขารู้หรือเปล่าว่าตอนนี้เธออยู่กับตระกูลสุริยัน ถ้าเป็นแบบนี้แล้วนายใหญ่จะรู้จักเขาหรือเปล่า เธอควรจะบอกนายใหญ่ไหมว่าวันนี้เธอได้เจอกับเขา หรือควรเจอกับเขาอีกครั้งค่อยบอก
เธอคิดวนเวียนไปมาในหัวตลอดทางกลับบ้าน น้ำเพชรเหม่อมองท้องฟ้าที่สว่างมากกว่าในวันที่ฝนตกแต่ภายในจิตใจของเธอกลับไม่ได้สดใสไปกับมันเท่าไหร่นัก สุดท้ายแล้วเธอก็เดินทางมาถึงยังคฤหาสน์สุริยันโดยที่ไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ
สองขาบนรองเท้ารัดส้นคู่ใหม่ย่างกรายลงมาจากรถยนต์ก่อนที่เธอจะเดินเข้ามาในบ้านเพื่อขึ้นไปพักผ่อนยังชั้นบน วันนี้เธอต้องเธอกับเรื่องแปลกๆ และคนแปลกๆ พร้อมกันโดยไม่ทันตั้งตัว จะว่าดีใจก็ไม่สุด จะว่าหวาดกลัวก็ไม่น้อย
“!” น้ำเพชรหยุดเดินทันทีหลังจากได้ยินเสียงไวโอลินออกมาจากห้องรับรองของธีร์ ทั้งที่เวลานี้เพิ่งจะบ่ายกว่าๆ เธอได้ยินเช่นนั้นก็มั่นใจได้เลยว่านายใหญ่คงกำลังสีไวโอลินอยู่ภายในห้องอย่างเคย
แม้จะยังไม่แน่ใจในสิ่งที่จะถามแต่เพราะความอึดอัดในใจ เธอจึงเลือกที่จะเปิดประตูและเดินเข้าไปในห้องนั้นเพื่อลองฝึกซ้อมเชลโล่หรือไม่ก็ปรึกษาบางอย่างกับนายใหญ่บ้าง เมื่อคิดได้ดังนั้นน้ำเพชรก็เงยหน้าขึ้นไปมองชายร่างสูงในชุดสูทสีดำสนิทที่กำลังสีไวโอลินเพียงลำพัง
แต่เขาไม่ใช่ธีร์...
“คนที่เคยรู้จักกัน ก็ต้องวนกลับมาเจอกันจริงๆ สินะครับ” ชายคนนั้นเอ่ยพร้อมกับส่งยิ้มให้เธอแล้วหยุดบรรเลงเพลงนั้นไปก่อน น้ำเพชรเพ่งมองใบหน้าของเขาแล้วก็จำได้ทันทีว่าเขาคือ พระเพลิง ผู้ชายที่เธอทักทายหน้าห้องสมุด
โรสบอกกับเธอว่าพระเพลิงรู้จักกับโรสในวันที่แกลลอรี่ของโรสจัดแสดงจิตรกรรม เขารู้จักกับคุณรสรินด้วยแต่คุณรสรินก็ไม่ได้เล่าอะให้โรสฟัง น้ำเพชรรู้สึกคุ้นเคยกับเขาก็จริงและไม่ขัดคำพูดบอกว่าเราอาจได้พบกันอีก แต่ที่แปลกใจมันเป็นเพราะพระเพลิงมาโผล่ที่นี่ต่างหาก
คฤหาสน์สุริยัน...
“คุณ...”
“เมื่อตอนบ่ายผมลืมแนะนำตัวไปเลย ผมพระเพลิงครับ” ร่างสูงพูดพลางยิ้มให้น้ำเพชรแล้วจึงยกไวโอลินออกจากไหล่แต่น้ำเพชรพูดขึ้นเสียก่อน
“เล่นต่อเถอะค่ะ ฉันเข้ามารบกวนเอง” น้ำเพชรพูดด้วยความเกรงใจทำให้เขาถือไวโอลินไว้ดังเดิมพร้อมกับยิ้มให้เธอ หญิงสาวจึงถือโอกาสแนะนำตัวเองบ้าง “ฉันน้ำเพชรค่ะ”
“นั่งก่อนสิครับ”
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวตอบรับพร้อมกับเดินไปนั่งตรงเก้าอี้หน้าเปียโนตัวเดิม
“คุณผู้หญิงอยากฟังเพลงอะไรครับ?” เขาพูดด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า พลางผายมือมาทางเธอดูเป็นงานทางการจนน้ำเพชรหลุดขำออกมา เขามองเธอก่อนจะชวนคุยต่อ “คุณอยู่ที่นี่หรือครับ?”
“ใช่ค่ะ เพิ่งอยู่ได้ไม่นาน”
“งั้นคุณคงต้องปรับตัวกับที่นี่อีกเยอะเลยสิ”
“ประมาณนั้นค่ะ” น้ำเพชรตอบรับพร้อมพยักหน้าก่อนที่หญิงสาวจะเอ่ยถามเขาบ้าง เพราะการพบกันของพวกเขามันดูจะบังเอิญเกินไป “คุณรู้จักกับนายใหญ่หรือคะ?”
“ความจริงก็ไม่ได้รู้จักกันโดยตรงหรอกครับ ผมรู้จักกับคุณนายเพชรรัตน์น่ะ”
“คุณสนิทกับเธอหรือคะ?”
“อืม...” พระเพลิงที่สีไวโอลินไปด้วยกรอกตาแล้วทำสีหน้าเหมือนกำลังนึกถึงบางเรื่องอยู่หลังจากฟังคำถามของน้ำเพชร “ก็ผ่านอะไรมาด้วยกันเยอะนะครับ น่าจะสนิทอยู่ล่ะมั้ง”
“ถ้าอย่างนั้นคุณอาจรู้จักคุณกิ่งแก้ว” น้ำเพชรเริ่มเข้าเรื่องเพื่อไม่ให้เสียเวลา
“รู้จักครับ แต่ก็ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว คุณรู้จักเธอด้วยหรือ?”
“คือ...เธอเป็นน้าของฉันน่ะค่ะ แต่ฉันไม่ได้รับการติดต่อมาจากเธอเลย”
“คุณเป็นหลานของกิ่งแก้ว?”
“ค่ะ” น้ำเพชรพยักหน้ารับ ก่อนที่เธอจะสังเกตได้ว่าพระเพลิงนั้นเหลือบมองเธอเพียงเล็กน้อยและลอบยิ้มพร้อมแค่นหัวเราะเพียงลำพัง นั่นทำให้เธอเริ่มรู้สึกได้ว่าเขาดูแปลกไปหลังจากรู้ว่าเธอเป็นใคร
“เข้าใจคิดนะ” เขาพูดกับตัวเองเสียงเบาแต่น้ำเพชรก็ได้ยินมันทั้งหมด รอยยิ้มของเขามันดูเหมือนว่ามีเรื่องอะไรมากกว่านั้น อีกทั้งยังรู้สึกได้ทันทีว่าเขาดูไม่เชื่อคำพูดของเธอเลย เพียงแต่เขาเองก็ไม่พูดออกมา
น้ำเพชรลอบมองเสี้ยวหน้าของเขายามที่จดจ่อกับไวโอลินในอ้อมแขน เสียงเพลงบรรเลงขึ้นด้วยอารมณ์เพลงเร็วที่ฟังดูแปลกประหลาดและน่าหวาดระแวง แต่แฝงความสนุกสนานไว้ในนั้น แตกต่างกับเพลงที่ธีร์เคยเล่นเพราะธีร์มักจะเล่นเพลงช้าที่ฟังดูรู้สึกเปลี่ยวเหงาและความเศร้า
“คุณน้ำเพชร” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นทำให้หญิงสาวหลุดออกมาจากภวังค์แล้วเงยหน้าไปฟังเขา “พอคุณบอกว่าคุณเป็นหลานของกิ่งแก้ว ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่าเธอเคยพูดเรื่องหนึ่งกับผม”
“...”
“เธอเป็นคนที่ทำงานดีและมีหลายคนอยากได้ตัวไปทำงานด้วย แต่เธอก็ไม่เคยไปเลย จนผมสงสัยในความภักดีต่อเจ้านายของเธอ เธอบอกว่าคนส่วนใหญ่อยากได้ฝีมือและความภักดีของเธอ แต่คุณนายเพชรรัตน์เป็นคนมอบฝีมือโดยไม่หวังความภักดีจากเธอ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอตัดสินใจจะอยู่กับเจ้านายคนแรกและคนเดียวของเธอ”
“...”
“ผมก็เลยถามต่อว่าการทำงานแบบนี้ไปทั้งชีวิตมันดีแล้วหรือ ความภักดีมันผูกมัดชีวิตไปหรือเปล่า ซึ่งตอนนั้นเธอก็บอกว่าเธอเลิกคิดเรื่องการใช้ชีวิตตามใจตัวเองไปตั้งนานแล้ว เพราะสังคมของการเป็นช้างเผือก ฝีมือของเธอ เจ้านายของเธอ ในที่สุดทุกอย่างมันทำให้เธอลืมตัวตนของตัวเองไป”
“...”
“ตอนนั้นผมจึงได้รู้ว่าบางคนก็ทำเพื่อคนอื่นไม่ใช่เพียงเพราะรักและผูกพันกับคนนั้น แต่พวกเขาอาจจะตามหาตัวตนของตัวเองไม่เจอจนมันสายไปแล้ว แต่ถึงจุดหนึ่งที่ความสัมพันธ์นั้นพังลง เราก็ต้องกลับมาอยู่ในโลกของตัวเองและเป็นตัวเองอย่างแท้จริง”
“...”
“ถ้าอยากจะหาตัวเองให้เจอ อาจจะต้องตามหาให้เจอว่าเรากำลังเผลอผูกพันกับอะไรจนไม่กล้าทอดทิ้งแล้วกลับไปอยู่ในโลกของตัวเอง แต่ถึงเวลานั้น คุณอาจจะต้องเลือกนะครับ”
“?”
“ว่าจะทำลายมันหรือทิ้งโลกของตัวเองตลอดกาล”
ขายาวก้าวลงจากรถยนต์สีดำสนิท ธีร์ย่างกรายเข้าไปภายในโรงกลั่นไวน์แห่งหนึ่งนอกตัวเมืองหลังจากได้รับข่าวด่วนมาจากฝ่ายการตลอดของเครือข่ายสุริยันเกี่ยวกับการขายหุ้นกะทันหันของนักลงทุนต่างประเทศที่ทำธุรกิจกับไวน์แบรนด์ของตระกูลสุริยันและขายพร้อมกันอย่างไม่ทราบสาเหตุ
เขารู้ได้ทันทีว่าเรื่องพวกนี้มันไม่ชอบมาพากลอย่างมาก เพราะเขารู้จักกับนักลงทุนทุกคน ไม่ได้เป็นเพียงคู่ค้าทางธุรกิจห่างๆ การที่ติดต่อพวกเขาไม่ได้และรับรู้ว่าหุ้นถูกขายไปให้คนอื่นนั้นมันผิดปกติเกินไป เขาจึงต้องมายังโรงงานเพื่อตรวจเช็คเอกสารทั้งหมดและหาข้อผิดพลาด
ธีร์สับขาเดินเข้าไปโดยที่มีเพียงผู้จัดการและเลขาอยู่ที่นี่ เพราะเวลานี้เป็นช่วงเลิกงานพอดี ขุนเดินตามหลังของเขามาตามหน้าที่ซึ่งเห็นได้ชัดว่าคนที่นี่เกรงใจขุนพอๆ กับที่เกรงใจเขาจนไม่กล้าเสียมารยาทด้วย
“ผมรวบรวมเอกสารที่ท่านแจ้งมาแล้วนะครับนายใหญ่ แต่ไม่นึกว่าท่านจะมาด้วยตัวเอง” ผู้จัดการตอบ
“เช็คคุณภาพสินค้ากับข่าวลือหรือยัง?”
“เรียบร้อยแล้วครับ ไม่มีอะไรผิดปกติ”
“แล้วติดต่อนักลงทุนที่ถอนหุ้นไปได้หรือยัง”
“ยังครับ หากยังเงียบไปแบบนี้เราอาจจะต้องติดตามกับบริษัทของเขาอีกครั้งอาทิตย์หน้า” ผู้จัดการพูดพร้อมกับเดินมาพร้อมกับธีร์เพื่อเข้าไปคุยกันด้านใน “เท่าที่เช็คมาสิ่งผิดปกติคงจะเป็นชื่อของคนที่เข้ามาซื้อหุ้นนั้นต่อครับ”
“ทำไม?”
“หุ้นถูกขายต่อไปที่คนเดียวกันทั้งหมด แล้วก็ยังติดตามหาประวัติของเขาไม่เจอเลยด้วย”
“เป็นนักลงทุนของไทยหรือต่างชาติ”
“จากชื่อแล้วเป็นคนไทยนะครับ ถ้ามีข้อมูลเพิ่มเติมอาจจะต้องสอบถามเขาเอง”
“ถ้างั้นก็หาทางติดต่อซะ”
“ไม่จำเป็นแล้วล่ะครับ” ผู้จัดการพูดด้วยสีหน้าเจื่อน ก่อนจะหยุดยืนตรงหน้าประตูห้องรับแขกใหญ่ของโรงกลั่นซึ่งเอาไว้ต้อนรับแขกและนักลงทุนที่จะมา “เขาอยู่ที่นี่ครับ มาก่อนคุณไม่กี่นาทีเอง”
“?” นายใหญ่แห่งตระกูลสุริยันขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนั้นก่อนที่ผู้จัดการจะเปิดประตูให้เขาได้เข้าไป ร่างสูงเดินตรงเข้าไปพร้อมกับจดจ้องไปที่ร่างสูงของชายหนุ่มซึ่งยืนดื่มไวน์สีเข้ม
ชายคนนั้นยกแก้วขึ้นจิบพลางแกว่งแก้วเบาๆ อย่างใจเย็น สันจมูกโด่งดมกลิ่นพร้อมกับหันหน้ามาพบกับนายใหญ่เจ้าของที่นี่ ร่างสูงยิ้มรับพร้อมมองมาทางธีร์ซึ่งยืนค้างทันทีที่ได้เห็นชายตรงหน้า ดวงตาคมจดจ้องชายคนนั้นแล้วแทบหยุดหายใจ คิ้วขมวดแน่นพลางนิ่งอยู่อย่างนั้น
เป็นไปไม่ได้
“สวัสดีครับ ผมจอมทัพ”
ณ คฤหาสน์สุริยัน
ปัง!
เสียงปืนดังขึ้นภายในสนามซ้อมยิงปืนของคฤหาสน์สุริยัน มือเรียวลั่นไกไปยังเป้าหมายอย่างแม่นยำแต่สมาธิของเธอกลับไม่ได้จดจ่อกับเป้าตรงหน้าเสียทีเดียว เพราะมันมีหลายความคิดเข้ามาในหัวจนเธอนอนไม่หลับ
น้ำเพชรลดมือลงก่อนจะถอดปลอกกระสุนแล้วบรรจุกระสุนเข้าไปใหม่ เธอทำแบบนี้ซ้ำๆ มาตั้งแต่หัวค่ำจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถทำให้สมองเลิกคิดฟุ้งซ่านได้ เธอคอยนึกถึงแต่จอมทัพและคำพูดของพระเพลิงที่เหมือนกับว่าพวกเขารู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับเธอและนายใหญ่แต่เลือกที่จะไม่พูดออกมาตรงๆ
มันไม่ใช่เรื่องบ่อยนักที่เธอเลือกจะระบายอารมณ์และความเครียดด้วยการจับปืน ปกติแล้วเธอคงเลือกที่จะเดินตามเสียงไวโอลินและไปนั่งคุยกับนายใหญ่ในห้องรับรอง ราวกับว่านายใหญ่กลายเป็นที่พึ่งพิงและที่ปรึกษาสำหรับเธอไปเสียแล้ว
“ถ้าอยากจะหาตัวเองให้เจอ อาจจะต้องตามหาให้เจอว่าเรากำลังเผลอผูกพันกับอะไรจนไม่กล้าทอดทิ้งแล้วกลับไปอยู่ในโลกของตัวเอง แต่ถึงเวลานั้น คุณอาจจะต้องเลือกนะครับ”
พระเพลิงพูดเหมือนรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร การตามหาตัวเองในแบบที่เขาว่าคงไม่ใช่เพียงแค่การตามหาความเป็นตัวเองอย่างการวิ่งตามความฝัน แต่อาจหมายถึงเรื่องความทรงจำของเธอต่างหาก อดีตที่หายไปเป็นตัวตนของเธอแต่เธอยังไม่อาจตามหาตัวเองได้เพราะความผูกพันกับบางสิ่ง
หญิงสาวถอนหายใจออกมา เธอพอเดาได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือเธอควรทำยังไงกับสิ่งที่เป็นอยู่กันแน่ ควรจะเลือกทางใดระหว่างการลืมตัวตนเก่าไปซะและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข หรือเธอควรจะออกมาจากพื้นที่เก่าแล้วไล่ล่าตามหาความจริงซะ
เธอจำได้ว่าในครั้งนั้นเธอออกวิ่งไปท่ามกลางสายฝนโดยไม่รีรอฟังเหตุผลใด หลังจากเห็นการตายและเสียงปืน สัญชาตญาณสั่งให้เธอหนีออกจากคฤหาสน์หรูซึ่งเพียบพร้อมไปทั้งความสะดวกสบายและคนดูแล
หรือการวิ่งหนีจากที่นี่เป็นคำเตือนจากความทรงจำของเธอ
น้ำเพชรไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเธอไว้วางใจกับสถานที่แห่งนี้และคนที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนไหนกันที่เธอรู้สึกว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับเธอ ทำไมเธอถึงไว้ใจเขามากขึ้นทุกวัน
มันเป็นเพราะเงินกับบ้านที่สวยงามราวกับราชวัง
เพราะกลิ่นสีและเสียงเพลงจากห้องรับรองที่คอยทำให้ใจของเธอสงบทุกค่ำคืน
เพราะอ้อมกอดกับความปลอดภัยที่เขามอบให้
หรือเป็นเพราะทุกอย่างที่นี่ทำให้เธอมีความสุขจนไม่กล้ากลับไปอยู่ในโลกใบเดิมที่ไม่รู้ว่าเคยเป็นเช่นไร
“ยังไม่นอนอีกหรือ?” เสียงเข้มเอ่ยถามน้ำเพชรมาจากทางประตูของสนามยิงปืน หญิงสาวสะดุ้งสุดแรงจนเผลอหันปลายกระบอกปืนไปทางธีร์ที่ยืนพิงประตูอยู่ “ฉันคงทำให้หนูตกใจมากสินะ”
“อะ เอ่อ ขอโทษค่ะ” หญิงสาวรีบลดปืนในมือลงทันทีพลางหอบหายใจลึกเพื่อทำให้ตัวเองสงบลง “คุณมีอะไรหรือเปล่าคะ หนูคิดว่าคุณอยู่ที่ห้องรับรองซะอีก”
นายใหญ่มองมาที่เธอแล้วเห็นแววตาสับสนนั้นแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ขายาวก้าวเข้ามาหาน้ำเพชรก่อนจะดึงกระบอกปืนจากข้างลำเอวขึ้นมาแล้วลั่นไกไปที่เป้าเดียวกันกับที่หญิงสาวเคยยิงไปก่อนหน้า
“คงไม่ได้มีแค่เชลโล่แล้วล่ะมั้งที่ทำให้นอนหลับ” เขาพูดเสียงเรียบ
“ไม่รู้สิคะ วันนี้หนูคงคิดอะไรเยอะกว่าทุกวัน”
“ที่มหาวิทยาลัยเป็นยังไงบ้าง?”
“ก็ดีค่ะ” น้ำเพชรพูดพลางยิ้มบางแม้จะมีคำถามมากมายในใจของเธอ ร่างบางถอนหายใจก่อนจะหยิบผ้ามาเช็ดกระบอกปืนของตัวเอง “คุณเริ่มใช้ปืนตั้งแต่เมื่อไหร่หรือคะ?”
“น่าจะตอนอายุ 12 มั้ง ตอนนั้นพ่อฉันสอนให้น่ะ”
“คุณชอบมันหรือคะ?”
“เป็นบางครั้ง บางทีฉันก็ชอบมันเวลาที่อยากอยู่ในโลกของตัวเอง”
ธีร์พูดพลางมองน้ำเพชรที่เหม่อมองปืนลูกซองในมือ เธอเช็ดมันโดยที่ไม่ได้มีสมาธิกับมันเลยด้วยซ้ำเหมือนว่าเธอกำลังมีเรื่องให้คิดมากกว่าทุกวันอย่างที่เธอบอกจริงๆ
“ถ้าคุณไม่ได้ชอบมันเท่าไหร่ งั้นการที่คุณเริ่มจับปืนตั้งแต่ตอนนั้นคงเป็นเพราะคุณต้องเป็นผู้นำคนต่อไปมากกว่าชอบปืนใช่ไหมคะ” เธอเอ่ยถามเสียงนิ่ง
“คงจะเป็นแบบนั้น”
“หนูกำลังคิดว่าตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ มันไม่ได้ช่วยให้หนูจำอะไรได้เลยสักอย่าง”
“...”
“ในครั้งแรกหนูคิดว่ายังไงก็ต้องตามหาความทรงจำของตัวเองให้ได้ เพราะคุณกับทุกคนที่นี่ก็แทบไม่มีใครรู้จักหนูจริงๆ หนูอยากรู้จักตัวเอง อยากเป็นตัวเอง ถึงแม้หนูเองก็กลัวว่าตัวหนูในอดีตเป็นยังไง แต่หนูก็อยากรู้อยู่ดี”
“...”
“พอวันเวลาผ่านไป การที่หนูรู้จักคุณกับทุกคนที่นี่...” หญิงสาวนิ่งคิดไปพร้อมกับสูดลมหายใจและตัดสินใจพูดมันออกมาจากความรู้สึกที่มี “คุณทำให้หนูรู้สึกมีความสุข แต่มันกลับเป็นความสุขที่เต็มไปด้วยความสงสัย ทุกอย่างที่คุณทำ ทุกครั้งที่เราเจอกัน ทุกสิ่งที่คุณมอบให้หนู”
“...”
“คุณทำเพราะคุณกำลังทำให้คนแปลกหน้าอย่างหนูกลายเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเองในอดีต...”
“...”
“เป็นคนที่คุณอยากให้เป็นหรือไม่ก็เป็นตัวแทนของใครในอดีตของคุณ”
“...”
“หรือความจริงแล้วในอดีต เราไม่เคยเป็นคนแปลกหน้ากันเลยตั้งแต่แรกคะ”
ร่างสูงฟังคำพูดของเธอแบบนั้นทำให้เขามองเธอนิ่ง ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความหวัง ความสงสัยและความลับที่เธอเองก็ไม่คิดจะบอกเขาและเธอคงจะรู้ว่าเขาเองก็จะไม่ถาม คำถามของเธอที่พูดออกมาทั้งหมดนั้นมันอาจเป็นเพียงเศษเสี้ยวของความอึดอั้นภายในจิตใจของเธอเท่านั้น
นายใหญ่เดินเข้าไปใกล้น้ำเพชรจนแทบประชิด ดวงตาทั้งคู่สบตากันนิ่งโดยไม่มีใครปริปากพูดคำใดออกมา หญิงสาวกำลังหวาดกลัวต่ออดีต แต่สิ่งที่กลัวมากกว่าคือความกลัวว่าตัวเองจะถลำลึกลงไปกับเขาจนไม่อาจทอดทิ้งได้ และนั่นอาจทำให้เธอสูญเสียโลกใบเดิมของตัวเองไปตลอดกาลอย่างที่พระเพลิงพูดจริงๆ
ส่วนธีร์ เขาสบตาคู่นั้นที่เต็มไปด้วยปริศนาค้างคาใจ เขารู้ดีว่าเธอกำลังสับสน เธอกำลังกลัวที่จะเป็นตัวเองแต่ก็กลัวที่จะเป็นคนอื่น อีกทั้งยังกลัวว่าตัวเองจะเป็นตัวแทนของคนอื่น ความทรงจำของเธอที่หายไปคงทำให้เธอสับสนในอีกหลายสิ่ง แต่ตัวตนที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของเธอกำลังเผยตัวตนของเธอออกมาโดยที่เธอเองไม่รู้ตัว
“หนูไม่ใช่คนตัวแทนของใคร แล้วเราก็ไม่เคยเป็นคนแปลกหน้าต่อกันเสียทีเดียว”
“...”
“แต่ฉันกำลังเผลอทำให้หนูเป็นในแบบที่ฉันอยากให้เป็น โดยที่ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ” คนอายุมากกว่าพูดออกมาอย่างจำนน เขาก็เพิ่งจะนึกได้จากคำถามของเธอว่าการที่เขามอบทุกอย่างให้เธอแต่พยายามให้เธออยู่ในเขตการปกครองของเขานั้นมันไม่ต่างจากการกักขังและสร้างตัวตนใหม่ “เพราะที่จริงแล้วฉันไม่อยากให้หนูไปไหนเลย ไม่เคยเลยสักครั้ง”
“คุณเคยเกลียดหนูในอดีตหรือเปล่าคะ ถ้าสักวันหนูต้องกลับไปเป็นแบบนั้น”
“ฉันไม่มีวันเกลียดหนูได้เลย” ร่างสูงพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปลูบแก้มเนียนของคนตรงหน้าเบาๆ เขามองดวงตาคู่นั้นที่ทำให้เขาจดจำความทรงจำระหว่างทั้งสองได้เสมอ “ถ้าความทรงจำและตัวตนในอดีตคือสิ่งที่หนูต้องการ นั่นก็แปลว่าฉันกับที่นี่ยังไม่ใช่ความสุขของหนู เพราะฉะนั้นบอกมาเถอะว่าหนูอยากให้ฉันทำอะไร”
“...”
“คิดเสียว่าลองขอพรกับฉันสิ ฉันจะพยายามทำและตามหาทุกอย่างมาให้”
“แล้วถ้ามันเป็นแค่คำถามล่ะคะ ถ้าคุณรู้ คุณตอบมันมาตามตรงได้ไหม”
“...”
“จอมทัพเป็นใคร?”
#วชิรอาญา