บทเรียนที่เก้า
สวัสดีปีใหม่
[Music Yotin]
[ตอนนี้จะเชื่อมโยงกับนิยายเรื่องศิลปะหลงกลในตอนที่ 19 New year เลิฟเวอร์]
เผลอแป๊บเดียวเวลาก็ผ่านจนจะเปิดเทอมอยู่แล้ว ตั้งแต่กลับมาจากอุตรดิตถ์พี่พรายก็กลับไปนอนค้างที่บ้านเกือบทุกวันปล่อยให้นอนคิดถึงจนจะเป็นบ้าตาย จะมีบ้างที่พี่พรายแวบไปแวบมาหาผมตอนวันคริสต์มาสแล้วก็หายเข้าแดนสนธยาไปอีกรอบ ให้ตายเหอะวันสิ้นปีหรือวันปีใหม่มันควรจะเป็นวันที่คนเป็นแฟนกันจะจู๋จี๋ออดอ้อนกันเปล่าวะ
ผมตื่นขึ้นมาอย่างเดียวดายในยามเช้าตรู่หันมองไปที่เตียงนอนอีกฝั่งก็เห็นไอ้หินมันนั่งกอดสมุดไดอารี่ทั้งสองเล่มแน่นอก สายตาทอดมองไปยังภายนอกหน้าต่างกับเสียงบรรเลงเพลง “สักวันหนึ่ง” ของแม่มาริสา คือจังหวะนี้เนื้อเพลงมันช่างเสียดแทงจิตใจผมยิ่งนัก
ทำไมต้องเป็นผมคนเดียวที่ต้องเป็นฝ่ายรอให้พี่พรายกลับมาแบบนี้ทุกครั้งเลยวะคิดแล้วก็เจ็บชอกช้ำในทรวงอกและที่ระบายเดียวของผมในตอนนี้ก็คือเพื่อนสนิท! ระบายในที่นี้ไม่ใช่การให้มันปลอบแต่ขอด่ามันหน่อยเหอะ!
“เข้าโหมดตอแหลอะไรไปอีกแล้วละไอ้หิน กูว่าพักนี้มึงหลุดบ่อยไปแล้วนะหาเวลาไปเช็กสมองบ้างนะเพื่อน”
แก๊ก!
เดินไปปิดเพลงแม่งยิ่งฟังยิ่งเหมือนหัวใจถูกกรีดแทง ว่าแล้วก็เอาตีนเขี่ย ๆ ไอ้หินที่ทำหน้าจะร้องไห้เหมือนผมไปทุบญาติมันตายให้กระเถิบเข้าไปนอนด้านใน...นี่กูแค่ปิดเพลงเองนะโว้ย! ล้มตัวลงนอนบนเตียงไอ้หินสองมือก็โอบกอดไปที่เอวเพื่อนสนิท จะว่าไปตั้งแต่ที่เราสองคนต่างมีแฟนก็ไม่เคยนอนกอดกันแบบนี้อีกเลยทั้งที่เมื่อก่อนเวลาไปนอนบ้านคุณยาย ถ้าไม่นอนกอดไอ้หินไอ้นี่มันจะนอนไม่หลับเลยครับ
ความเหงาของเราสองคนมันส่งถึงกันอย่างชัดเจนจนหินมันหันมาถามเรื่องพี่พรายกับผมซึ่งก็ได้แต่ตอบไปตามความจริงว่าพี่พรายมันกลับบ้านและไม่ใช่แค่กลับอย่างเดียวไม่ว่าจะโทรจะไลน์ไปพี่มันก็ไม่หือไม่อือใด ๆ กลับมาทั้งนั้น จนผมต้องเปลี่ยนเรื่องถามถึงเรื่องพี่พายุบ้างและแน่นอนคำตอบของไอ้หินก็ไม่ได้บัดซบน้อยไปกว่าของผมเท่าไหร่
“เหงาเนอะ”
“อืม โคตรเหงาอะ!”
ความคิดอันโลดแล่นในหัวก็บังเกิดขึ้นไหน ๆ ตอนนี้เราทั้งคู่ก็โดนทิ้งในวันสิ้นปีอยู่แล้วก็หาเรื่องหนีไปเที่ยวเลย ให้มันรู้ซะบ้างว่าถึงไม่มีพวกพี่มันเด็กอุตรดิตถ์อย่างเราสองคนก็ไม่ง้อหรอก ในที่สุดทริปแก่งกระจานก็ถือกำเนิด ไม่ใกล้ไม่ไกลเท่าไหร่ขี่รถไปสองชั่วโมงก็น่าจะถึงจากนั้นก็ไปนอนค้างสักคืน ถ่ายรูปดูดาวชิว ๆ คว้าตัวไอ้หินหยิบกล้องมือถือขึ้นมาถ่ายรูปคู่อย่างเร็วรี่
...โพสต์แขวะพี่พรายมันนิดหนึ่งกว่าพี่มันจะมาอ่านอาจจะเป็นชาติหน้านู่นแหละ
Music Yotin
1 Mins
ถ้าเราอ่อนล้าลองเดินเที่ยวป่า ชมนกชมไม้ด้วยใจสุดเหว่ว้า ก่อนหน้านี้มีสองเราทุกเวลา เพียงชั่วคาหัวเน่าเค้าน้ำตา #กำลังจะไปอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน# Hint Kantika
1 Pic
**ภาพผมกับเพลงที่เพิ่งถ่ายกันเมื่อสักครู่**
1 likes 1 comments
Hint Kantika : มาเป็นเพลงเศร้าเลยนะมึง...
โยนมือถือไว้ข้างเตียงแล้วรีบดึงผ้าเช็ดตัวลายหมีพูห์เข้าห้องน้ำด้วยความไวแสง จัดการอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณตั้งแต่ง่ามตีนยันปลายผมพอเดินออกมาเห็นไอ้หินกำลังลดมือข้างที่ถือโทรศัพท์ลงจากหู ก็เดาได้เลยว่าน่าจะโทรหาพี่พายุติดแล้ว...อะไรก็ได้แต่อย่ามาทำให้ให้แผนงอนเมียของกูต้องพังพินาศก็พอ
“พี่พายุโทรมาเหรอมึง?”
“หึ เปล่าไอ้ดินมันโทรมาน่ะ ตอนนี้มันอยู่ที่มอเราแล้วด้วยเดี๋ยวกูลงไปรับมันก่อนนะ” อ้อ...ไอ้ดิน น้องชายของหินมัน ตอนปิดเทอมที่ผ่านมาก็ได้ข่าวแว่ว ๆ ว่ามันกำลังสร้างตำนานรักกับพี่เคนอยู่แถมก่อนลาจากไอ้พี่เคนก็ฝากรอยจูบไว้ที่หน้าผากมันอีก
“เฮ้ย! ไอ้หินไอ้ดินมันมาทำไมวะ ไม่เป็นไรกูแต่งตัวแป๊บเดียวเดี๋ยวกูลงไปรับมันเอง มึงรีบไปอาบน้ำเถอะ” ว่าจบก็คว้าเสื้อยืดกางเกงยีนส์ขึ้นมาสวมแล้วรีบออกจากห้องลงมายืนรอไอ้ดินหน้าตึก
...!
แต่คนที่ผมเห็นเดินมาจากไกล ๆ มิใช่ใครอื่นเป็นเพื่อนในภาคไอ้หินที่ชื่อคะน้า สาวร่างสูงอันเป็นหวานใจแอบ ๆ ของไอ้กราฟิกมันมาพร้อมกับกระเป๋าเป้ที่เดาไม่ยากเลยสักนิดว่ามาทำไม ขืนถ้าไอ้กราฟมันรู้ว่าคะน้าไปด้วยมีหวังรอบนี้มันคงตามไปด้วยแน่นอนเอาเถอะมอเตอร์ไซค์สองคันมันก็พอจะไปได้อยู่...
“ยู้ฮูวววว! เพลงจ๋าจะไปเที่ยวไหนกันหรา~~~” สลิดดก! ดูยังไงก็ไม่เนียนโว้ย!
“เหอะ ๆ รู้อยู่แล้วยังกล้าถามอีกเหรอคะน้ารอแป๊บหนึ่งนะแล้วค่อยขึ้นไปพร้อมกัน”
“อ้าว! นี่ไอ้เซฟมันก็โทรบอกแกแล้วเหรอ?” เดี๋ยว! นี่อย่าบอกนะว่าไอ้เซฟก็ด้วยไม่น่าเสือกแท็กเฟซบุ๊กไอ้หินไปเลยกู
“เปล่ารอไอ้ดินน่ะ เห็นว่ามันขี่รถขึ้นมากรุงเทพตอนนี้มันน่าจะกำลังวนหาตึกสิบสามอยู่นี่แหละ”
“หูย...น้องดินคนหล่อคะน้าเป็นปลื้มว่าแต่พวกแกเถอะเกิดเฮี้ยนอะไรขึ้นมาอีกล่ะ นี่อย่าบอกนะว่าทะเลาะกับพวกพี่พายุมันอีกแล้ว” คะน้ามันชี้มาที่หน้าของผม ก่อนจะชักนิ้วกลับไปลูบที่ปลายคางตัวเอง “ไม่ใช่สิ! ในฐานะสมาชิกชมรมนักสืบ...จากคำบอกเล่าในโพสต์พวกแกน่าจะโดนพวกพี่มันเทให้ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาในวันสิ้นปีต่างหาก”
...เจ็บจี๊ดเลยแม่คุณ!
“เออ ก็ตามนั้นแหละพวกพี่มันแม่งหายหัวไปกันหมด”
คะน้ามันบีบมาที่แขนผมทั้งสองข้างกับแววตาสงสารชะตากรรมของชายหนุ่มตรงหน้า
“ลำไย! พวกแกแค่ห่างกับพวกพี่มันเดี๋ยวเดียวแต่พวกฉันน่ะโสดไร้คู่เว้ยแถมยังต้องมานั่งดูผู้ชายจีบกันแล้วมันช้ำ...ช้ำเหลือเกิน” โฮล่กกกกเด็กศิลปกรรมแม่งเล่นใหญ่ฉิบหายมีทรุดตัวลงไปนั่งพับเพียบกับพื้นแล้วทำเป็นปาดน้ำตาด้วยเฮ้ย
ขอเตะสักทีได้ไหม?
ปี้น ๆ เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเป็นมอเตอร์ไซค์คันเก่งของไอ้ดินมันแต่คนที่ขับมากลับเป็นไอ้เซฟ ส่วนไอ้ดินดันไปนั่งซ้อนท้ายซะอย่างนั้น
“เล่นอะไรกันวะพวกมึง”
“เซฟเพลงมัน...เพลงมันคิดจะขัดขวางไม่ให้เพื่อนไปเที่ยวด้วยกัน” เดี๋ยว! กูเปล่า! ไอ้เซฟมันเงยหน้าขึ้นมาจากคะน้าแล้วจ้องถลึงตามองมาที่ผม
“ทำไมมึงเป็นคนแล้งน้ำใจขนาดนี้วะเพลง ทั้งที่พวกกูก็ผ่านร้อนผ่านหนาวกันมาตั้งเยอะ น้ำใจน่ะมีไหม? น้ำใจน่ะ” อีพวกคณะนี้มันก็มโนเก่งเกิ๊น เปิดปากมาแต่ละคำเนี่ยเล่นซะผมเป็นตัวร้ายเลย สุดท้ายคนหัวเดียวกระเทียมลีบอย่างผมก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับอำนาจมืดไปตามระเบียบ
“พวกมึงอยากทำไรก็ทำเถอะ...ว่าแต่แฟนมึงไปไหนละเซฟถึงมากับพวกกูได้” ถามแค่นี้ต้องตีหน้าเศร้าเลยเหรอวะ
“ใครแฟนมึงวะเซฟ?” สาวร่างสูงมันเอียงคอถามเพื่อนสนิท
“มะ...ไม่มี้” หึ ๆ ๆ กูเจอจุดอ่อนอันใหญ่หลวงของมึงละ
“ช่างเหอะป่านนี้ไอ้หินมันน่าจะอาบน้ำเสร็จแล้วล่ะขึ้นไปบนห้องกันเถอะ” ดินมันเดินมายกมือไหว้ผม ไหว้เหมือนกราบตอม่อตัวแม่งจะสูงไปไหนวะเนี่ย ไอ้หินตอนนี้อยู่แค่หัวนมน้องมันเองมั้ง! แดกก็เยอะเสือกไม่รู้จักโต “เออ ว่าแต่ดินเถอะอยู่ ๆ เกิดอะไรขึ้นทำไมถึงเข้ามากรุงเทพล่ะ”
“พอดีคุณยายอ่อนเอาจดหมายทุนคณะเกษตรศาสตร์มาให้น่ะสิพี่ แถมเรียกสัมภาษณ์อาทิตย์หน้านี้ด้วยดินเลยต้องมานอนค้างที่หอของพี่หินสักสองอาทิตย์แล้วก็...” โอเคเข้าใจ...เป้าหมายที่แท้จริงของเอ็งน่าจะเป็นไอ้พี่เคนสินะเอาเถอะยังไงเตียงก็วางอยู่แล้วขอแค่อย่ามาปั๊มลูกกันต่อหน้ากูก็พอ
“รอเดี๋ยวนะพวกมึงข้าวจี่มันไลน์มาบอกว่ากำลังจะถึงละ” ยังมีอีกเหรอวะ!
รอไม่นานสาวร่างเตี้ยอารมณ์ดีมันก็วิ่งลงมาจากแท็กซี่ ถ้าไอ้หินมันเห็นเพื่อนพร้อมใจกันมาขนาดนี้อาจจะเป็นลมล้มหัวฟาดพื้นตายห่าไปเลยก็ได้ ว่าแล้วพวกเราทั้งหมดก็เดินขึ้นมารอบนห้องและก็เป็นอย่างที่ผมคาดเอาไว้ไม่มีผิดพอไอ้หินเดินออกจากห้องน้ำก็ถึงกับผละในทันใด พวกตัวเสือกมันก็พร้อมใจร้องเพลงวันนึงฉันเดินเที่ยวป่าออกมาพร้อมกันโดยไม่ต้องนัดหมาย
สุดท้ายพวกเราทั้งหกชีวิตรวมทั้งไอ้ดินก็พากันสวมบทแก๊งไบค์เกอร์ออกจากมหา’ลัยมุ่งสู่เขื่อนแก่งกระจานระหว่างทางก็แวะกินข้าวถ่ายรูปเล่นมาตลอดกว่าจะมาถึงที่พักก็ปาไปเกือบสิบโมงเช้าแล้ว ขี่รถวนหากันตั้งหลายที่มันเต็มเกือบหมดเลยครับ จนมาได้ที่สุดท้ายเนี่ยแหละที่ยังพอมีห้องเหลืออยู่อีกห้องหนึ่งจำใจยกให้พวกสาว ๆ มันส่วนพวกตัวผู้อย่างพวกผมก็ต้องไปกางเต็นท์นอนกันข้างนอกแทน
“พวกมึงล่องแพรอบเช้าไม่ทันแล้วว่ะ กูเลยซื้อรอบบ่ายมาให้นะ” เซฟมันเดินมาบอกพวกผมที่นั่งล้อมวงกันหน้าเต็นท์มองดูแม่น้ำเพชรและเรือยางล่องแม่น้ำบางคนอินดี้หน่อยก็นอนล่องมากับห่วงยางหรือแม้กระทั่งลอยมากับเสื้อชูชีพเลยก็มี
“งั้นเดี๋ยวกูออกไปตลาดตรงที่เราเพิ่งผ่านมาแป๊บนึงนะเย็นนี้จะได้ทำบาร์บีคิวกินกัน” ไอ้หินมันลุกยืนขึ้นแล้วทำท่าจะเดินออกไปจนผมต้องขว้ามือมันเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยวกูไปเป็นเพื่อน”
“ไม่ต้องมึงอยู่นี่แหละเพลง เดี๋ยวกูไปเป็นเพื่อนหินมันเองจะแวะซื้อของด้วยหน่อย” เซฟมันกดตัวผมให้นั่งที่เดิมแล้วรีบเดินออกไปพร้อมกับไอ้หิน ส่วนสองสาวก็เข้าห้องไปเปิดแอร์นอนรอกันแล้ว
หันไปมองไอ้ดินนั่งชันเข่าตัวเองแล้วหยิบไม้ขึ้นมาเขี่ยพื้นหญ้าเล่นก็พอจะเข้าใจอารมณ์ของมันตอนนี้ดี
“ง่วงรึเปล่าดิน ถ้าง่วงก็เข้าไปนอนก่อนก็ได้” ดินมันทอดสายตามาที่ผมแล้วส่ายหัวไปมาเบา ๆ “ถ้าจะคิดถึงพี่เคนขนาดนี้ทำไมไม่โทรหาเขาเลยวะ?”
...ไอ้ดินมันถอนหายใจยาว
“ก็ผมดันไปสัญญากับพี่เคนแล้วไงครับ ว่าจะรอครึ่งปีแล้วค่อยตามมาเรียนที่กรุงเทพแต่พอเอาเข้าจริง ๆ แค่ไม่กี่อาทิตย์ผมก็เริ่มคิดถึงพี่เคนแล้วอะ” ยอมใจเด็กมันเลยครับตอบออกมาตรง ๆ แบบไม่มีเขินอายเลยสักนิด
“ถ้าคิดถึงก็โทรหาดิจะรออะไรอยู่”
“ผมไม่เคยแลกเบอร์โทรหรือไลน์ติดต่อกับพี่เคนเลย เคยคิดว่าจะกล้าขอกับพี่หินแต่พอเอาเข้าจริงกลับพูดไม่ออก”
“พี่มีนะเบอร์พี่เคนน่ะ จะเอาไหม?” ว่าจบก็ล้วงมือถือขึ้นมาหาเบอร์
“ไม่เป็นไรหรอกพี่ถ้าผมกับพี่เคนเรามีวาสนาตรงกันคงได้เจอกันเองแหละ”
“ดินเรื่องบางเรื่องก็รอวาสนาไม่ได้นะโว้ยของบางอย่างมันก็ต้องไขว่คว้ามาด้วยมือของเราเอง ความรักก็เหมือนกันถ้าคิดว่าใช่ทำไมไม่ลองจับจองมาเป็นเจ้าของให้อยู่หมัดละ อะไรที่มันพลาดไปแล้วบางครั้งมันอาจจะไม่มีมาอีกก็ได้แล้วถ้าจะต้องมานั่งอมทุกข์เสียใจทีหลังก็ทำมันซะตั้งแต่ตอนนี้สิ”
น้องมันกะพริบตามองผมด้วยความซาบซึ้งกับคำพูดที่ดูแสนชาญฉลาด
“อ้อ เหมือนที่พวกพี่สามคนโดนเทจนต้องมาอยู่ตรงนี้อะนะ” เด็กชั่ว! กูไม่น่าสงสารมันเลยว่าแล้วก็ถีบแม่งแผลในใจกูเปิดหมดแล้วเนี่ย
“ไปนอนเลยไปมึงน่ะ” พูดจบผมก็เดินเข้าไปในเต็นท์ทิ้งตัวลงนอนบนฟูกหนาที่ทางรีสอร์ตตระเตรียมเอาไว้ให้
ไม่รู้ว่าผมหลับไปนานแค่ไหนจนต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวของสองสาวกำลังลงเล่นน้ำอยู่ไม่ไกลนักหยิบมือถือขึ้นมาดูก็ไม่ได้มีข้อความหรือสายโทรกลับมาจากพี่พรายเลยเวลาตอนนี้ก็เที่ยงกว่าแล้วลุกเดินออกมาจากเต็นท์ก็เห็นไอ้ดินมันนั่งถ่ายรูปให้คะน้าและข้าวจี่อยู่
“เพลงมาเล่นน้ำด้วยกันสิ” ข้าวจี่หันมาบอกผมมือก็วักน้ำสาดขึ้นมา
“ยังอะเดี๋ยวค่อยเล่นตอนล่องแพทีเดียวขี้เกียจเปลี่ยนเสื้อหลายตัว ว่าแต่ไอ้หินกับเซฟมันยังไม่กลับมากันอีกเหรอ?”
“นั่นไงพี่พูดถึงก็เดินมากันพอดี” ดินมันชี้ไปด้านหลังจนต้องหันกลับไปมองทั้งคู่หอบหิ้วกล่องโฟมมาคนละใบเดินตรงมาที่พวกเรา
“ขอโทษที่มาช้านะพวกมึงกว่าจะหาร้านขายน้ำแข็งเจอแม่งโคตรเหนื่อยเลย”
“ทำไมมึงไม่ซื้อในเซเว่นวะหิน?”
“หมดอะดิมึง ช่วงเทศกาลแม่งน้ำแข็งขายดีฉิบหายใครต่อใครก็แวะซื้อกันหมดอะ กว่าจะได้มาต้องออกไปซื้อถึงหมู่บ้านถ้ำเสือนู่น” หินมันส่งถุงผ้ายื่นมาให้ผม “กูแวะซื้อสบู่เหลว ยาสีฟันกับพวกยากันยุ่งมาให้อะเผื่อไม่พอ”
“ขอบใจนะมึง” บางครั้งผมก็เคยคิดนะถ้าบุพเพสันนิวาสไม่ได้ให้ผมกับหินมันต้องเป็นเพื่อนกันตั้งแต่แรก แล้วผมกับไอ้หินคบหาเป็นแฟนกันเราสองคนคงจะเป็นคู่ที่น่าอิจฉาที่สุดในโลกแน่เลย ตัวผมกับมันคงจะติดกันตลอดไม่ทิ้งให้ต้องโดดเดี่ยวเดียวดายเยี่ยงนี้
...แต่พอมานึกว่าต้องมีอะไรกับไอ้หินท้องไส้มันก็ปั่นป่วนจนอยากจะอ้วกออกมา...หยะแหยง!
“เป็นไรวะมึงทำหน้าอย่างกับคนแพ้ท้อง?”
“ปะ...เปล่าสงสัยกูเพิ่งตื่นเลยมึน ๆ น่ะ”
“เฮ้ยพวกมึงรถมารอรับหน้ารีสอร์ตแล้วว่ะ เห็นว่าจะไปส่งตรงจุดลงเรือยางแล้วล่องกลับมาที่รีสอร์ตนี่แหละ” ไอ้เซฟมันเดินมาบอกพวกเรา “งั้นเดี๋ยวกูเอาอาหารทะเลไปฝากแช่ในครัวก่อนนะแล้วพวกมึงก็รีบตามไปที่รถล่ะ”
การได้ออกมาเล่นน้ำล่องแก่งแบบนี้ในก็สนุกไปอีกแบบ กว่าจะกลับมาถึงที่โรงแรมก็ปาไปบ่ายแก่ ๆ ซะแล้ว ทั้งหมดต่างแยกย้ายกันไปอาบน้ำถึงจะเป็นห้องอาบน้ำรวมแต่ก็แบ่งซอยแยกย่อยเป็นห้องใครห้องมันในขณะที่กำลังถอดชุดอาบน้ำล้างตัวไปได้สักพักไอ้ดินมันก็ตะโกนมาจากด้านนอกว่าจะไปเดินเล่นก่อน ถือว่าเป็นความคิดที่ดีบางทีการได้ทำอย่างอื่นบ้างนอกจากเอาแต่รอมันคงจะดีกว่า
“หินกูออกไปเดินเล่นถ่ายรูปแถวนี้ก่อนนะ” ในเมื่อไม่ได้มากับพี่พรายผมก็จะเซลฟีกับตัวเองรัว ๆ แล้วกระหน่ำส่งไปให้พี่มันดูเอง
...ถามว่างอนไหม? ไม่มี้~~~~~~
“เออ”
กลับมาที่เต็นท์นอนรื้อหากางเกงวอร์มขายาวขึ้นมาสวมกับเสื้อยืดคู่ที่เคยไปซื้อกับพี่พรายมันที่ถนนคนเดินจังหวัดอุตรดิตถ์ตอนพี่มันไปค้างบ้านผมถึงจะเป็นเสื้อคู่แต่พี่พรายมันไม่เคยใส่ให้เห็นเลยแม้แต่ครั้งเดียวทั้งที่ผมเองก็ว่าเสื้อมันน่ารักจะตายสกรีนเป็นรูปผู้ชายทั้งสองตัวแต่ตัวของผมมีคำว่า สามี อยู่ตรงกลางส่วนของพี่พรายมันเป็นคำว่า ภรรยา ไม่เห็นจะดูน่าอายตรงไหนสักนิด
บางครั้งมันก็อยากมีโมเมนต์ผัวเมียเดินจับมือใส่เสื้อคู่รึเปล่าวะ!
ว่าแล้วก็เดินเลียบริมแม่น้ำเพชรไปเรื่อย ๆ ตอนนี้น้ำก็เริ่มลดลงไปเยอะจนแทบไม่มีคนเล่นน้ำกันแล้วครับเพราะเป็นช่วงเวลาที่เขื่อนไม่ปล่อยน้ำลงมาแล้ว ลัดเลาะเดินจนไปถึงชิงช้าแขวนอยู่บนต้นไม้ใหญ่มาถึงทั้งทีก็ถ่ายรูปส่งไปอวดพี่พรายมันหน่อยละกัน แต่พอล้วงหามือถือเท่านั้นแหละ
...ฉิบหาย!
กูลืมอยู่ไว้ในเต็นท์ครับเพราะมัวแต่คิดเรื่องพี่พรายนั่นแหละ...เรื่องนี้พี่มันผิดเต็ม ๆ ต้องเดินคอตกกลับมาที่เต็นท์นอนได้ยินเสียงเอะอะอยู่หน้าห้องน้ำก็ต้องถึงกับหันไปมองไอ้หินมันชี้มาที่ผม ส่วนคนที่ยืนอยู่ข้างมันก็คือพี่พายุ พี่เอ พี่ยูจิกับ...
...พี่พราย
สายตาของเราทั้งคู่หันมาสบกันอย่างพอดิบพอดีเหมือนกับจิ๊กซอว์ที่ประสานกันอย่างลงตัว
“เอ๊ะ!” ถึงจะอยู่ไกลกันจนไม่ได้ยินเสียงอุทานออกมาแต่ผมมั่นใจมากว่าเราทั้งคู่ร้องออกมาพร้อมกัน สมองมันอึนไปหมดไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไง ความรู้สึกมันผสมปนเปทั้งน้อยใจ เสียใจ ดีใจแต่มันกลับยิ้มไม่ออกก้าวเท้าหันกลับหลังแล้วสับขาสี่คูณร้อยโดยว่อง
“เพลง...”
เสียงพี่พรายตะโกนตามหลังมาไม่ขาดแต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมหยุดเดินช้าลงเลยในตอนนี้
“ไอ้เพลง! ...ถ้ามึงไม่หยุดกูกลับ!” เหมือนฟ้าผ่ากลางกบาลสองเท้าหยุดกึกในทันที
หมับ! มือขาวคว้ามาที่แขนของผมจนพี่พรายอ้อมเดินมาด้านหน้าในขณะที่ผมกลับก้มหน้าลงมองไปที่พื้น
“งอนกูเหรอ?”
“กูขอโทษนะที่ช่วงนี้หายไปบ่อย ๆ” สองแขนของพี่มันโอบกอดมาที่เอวผม ใบหน้าซุกมาที่ไหล่การง้อของพี่พรามมันก็ไม่เลวเท่าไหร่แฮะไม่อยากจะเชื่อว่าพี่มันจะมีความละมุนได้ถึงระดับนี้ “มึงจะงอนกูก็ได้เพลง ถ้ามึงงอนกูก็จะตามง้อมึงไปอย่างนี้แหละไม่ว่ามึงจะหนีไปไหนกูก็ตามหาจนเจออยู่ดี”
...บทพูดแม่งยิ่งการละครหลังข่าวแต่มันทำให้จิตใจของผมชุ่มฉ่ำอย่างบอกไม่ถูก
“...” ได้แต่ขมวดคิ้วมองหน้าพี่มันถ้าผมจะเล่นตัวอีกนิดจะได้ไหมวะ?
“เลิกขมวดคิ้วได้แล้ว” นิ้วพี่พรายคลึงมาที่ระหว่างคิ้วอย่างเบามือ “เพื่อเป็นการไถ่โทษวันนี้ถ้ามึงอยากได้อะไรหรือให้กูทำอะไรให้ กูก็จะตามใจมึงทุกอย่างนะเพลง”
“คะ...แค่วันนี้เองเหรอ?”
“ได้คืบจะเอาศอกนะมึงน่ะ” รอยยิ้มของพี่พรายมันกำลังบ่งบอกว่าจะให้ทุกอย่างที่ต้องการจริง ๆ แววตาพี่มันไม่ได้โกหกผมมองออก “งั้นพรุ่งนี้อีกวันก็ได้แต่มึงต้องหายงอนกูนะ”
“เปล่างอนสักหน่อย” ปากบอกไม่งอนแต่แม่งเกือบจะร้องไห้แน่ะ หมดกันความคูลที่มีมาตลอด
สายตาของพี่พรายจ้องมองผมเหมือนกับอยากจะพูดอะไรสักอย่างสองมือก็โอบมาที่แก้ม
“เพลงมึงต้องเริ่มหัดเชื่อใจกูนะ ขอเวลากูอีกหน่อยได้ไหม? ที่ช่วงนี้กูหายไปเพราะมันจำเป็นจริง ๆ มึงไม่ต้องกลัวว่ากูจะมีคนอื่นกูสัญญาว่าจะมีมึงแค่คนเดียว...ที่กูพอจะบอกได้ตอนนี้ก็แค่ว่ากูกลับบ้านส่วนจะเพราะอะไรตอนนี้มึงอย่าเพิ่งรู้เลยดีกว่าและต่อให้มึงถามพุฒมันก็ไม่มีทางบอกมึงหรอก”
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพ่อพุฒมันรึเปล่า?” ยิ่งพี่พรายปิดบังมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งรู้สึกกังวลมากกว่าเดิมแล้วก็อยากรู้เรื่องที่บ้านพี่พรายมากขึ้นไปอีก
“อืม เกี่ยว! กูอยากให้มึงพยายามอยู่ห่างจากครอบครัวกู...ถ้าวันหนึ่งมึงเจอพ่อหรือลูกน้องของพ่อกู จงวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เข้าใจไหม?” ให้ตายเถอะพอพี่มันพูดแบบนี้ บอกตรง ๆ ว่าเสียวสันหลังวาบ
“สัญญานะว่ามึงจะวิ่งให้สุดชีวิต” หน้าตาตอนพี่มันขอให้สัญญานี่คือแบบจริงจังมากรู้สึกได้ถึงความเครียดที่อยู่ในใจพี่พรายเลย
“สะ...สัญญาก็ได้ครับ”
“กลับกันเถอะป่านนี้พวกนั้นมันรอเราแย่แล้ว”
สวบ! พี่พรายมันจะเดินกลับก็เป็นผมเองที่ต้องดึงตัวพี่พรายเข้ามากอด
“ถ้ามีเวลาแค่สองวันที่พี่จะตามใจผมทุกอย่าง ผมจะขอตอนนี้เลยได้รึเปล่า?”
“ถึงมึงไม่ขอกูก็รู้ว่ามึงอยากได้อะไร” ได้แต่กะพริบตามองเมื่อพี่พรายมันเริ่มดึงกระเป๋าเป้ที่สะพายอยู่ด้านหลังลงไปวางที่พื้นจากนั้นก็เริ่มรื้อเสื้อผ้าในนั้นขึ้นมาเปลี่ยนต่อหน้าผมและมันทำให้ผมต้องยิ้มออกมาอย่างบอกไม่ถูก
“...” น่าร๊ากกกกกก!
“วี๊ดวิ้ว!” เสียงโห่ร้องของพวกบรรดาเหล่าเดือนรุ่นพี่มันตะโกนออกมาไม่ขาดเมื่อเห็นพี่พรายเดินจูงมือผมออกมาจากแมกไม้รกสูง
“ไปง้อกันอีท่าไหนวะ กลับออกมาใส่เสื้อคู่ผัวเมียกันมาอีกสรุปนี่พวกมึงจะเปิดตัวให้รู้กันทั้งโลกแล้วใช่มะ” ไอ้พี่เอแม่งพูดแบบไม่ไว้หน้าพี่พรายเลยกับอีแค่เสื้อสกรีนสามีภรรยาเนี่ยมันจะอะไรนักหนาวะ
ปึก! ตีนของพี่พายุมันถีบไปที่ขอนไม้ที่พี่เอมันนั่งอยู่
“มึงก็เลิกไปแซวมันสักทีเถอะ”
“โห ใช่สิก็พวกมึงเล่นมากันเป็นคู่ก็พูดได้ดิวะ”
“แล้วไง? มึงเองก็จับพี่ข้าวหมากพี่ชายน้องข้าวจี่แดกไปแล้วไม่ใช่รึไง...ไม่สิถ้าจะพูดให้ชัดพี่ข้าวหมากน่าจะจับมึงแดกไปแล้วมากกว่า” พี่ยูจิชี้ไปที่ข้าวจี่ที่ส่งยิ้มแป้นแล่นเมื่อพูดถึงพี่ชายตัวเองแถมน่าจะมีแค่พี่ยูจิคนเดียวเท่านั้นแหละครับที่ดูจะไร้คู่
“ตกลงพี่เอกับพี่หนูไปถึงขึ้นไหนกันแล้วคะ?” คำถามของข้าวจี่ทำให้คนตรงหน้าถึงกับหุบยิ้มฉับ
“ก็ไม่ยังไง...ต่างคนต่างแดกแล้วแยกทาง...จบนะ!” ตอบอย่างนี้ก็จบสิครับใครมันจะไปกล้าถามต่อวะ!
“แค่นั้นเองเหรอ? แปลกจังปกติพี่ข้าวหมากไม่เคยพูดถึงใครให้แม่หนูฟังเลยนะมีเรื่องพี่เอคนแรกนี่แหละที่พี่หนูเล่าว่าไปเที่ยวด้วยกัน” โฮล่กกกก...รู้งานดีเวอร์จับคู่เก่งไปอี๊กกกแล้วก็ไม่ต้องเสือกหน้าบานเลยไอ้พี่เอ
“ว่าแต่มึงเถอะยูจิตั้งแต่คบกับมึงมากูไม่เคยเห็นมึงมีแฟนเลยอย่าบอกนะว่ามึงจะรอเคลมเมียกูไม่ได้นะเว้ย” ใครเขาจะอยากไปได้ไอ้หินต่อจากพี่พายุมันวะไร้สาระฉิบหาย...ป่านนี้ตูดแม่งหลวมเป็นอุโมงค์ผาเมืองแล้วมั้งได้ข่าวว่าเยอย่างดุ
“ไอ้พี่เหี้ยพูดอะไรออกมาวะ” หืมมมม...เพื่อนกูแม่งก็แรดฉิบหายทำเป็นทุบอกแล้วซุกหน้าไปทำห่าอะไรเล่า!
“ประสาทแล้วมึงพายุกูเคยบอกตอนไหนว่ากูไม่มีคนคบด้วย”
...!
“ใคร?” โอ้โห ขนาดไอ้พวกที่กำลังตั้งเตาบาร์บีคิวยังร้องถามออกมาแทบทุกคน
พี่ยูจิมันนั่งเท้าคางกับเข่าของตัวเองแล้วมองไปด้านหน้าเหมือนกับกำลังคิดถึงใครคนหนึ่งอยู่ก่อนที่จะกวาดตากลับมามองที่พวกเราทั้งหมด
“เสือก! ...เอาเป็นว่าเรากำลังคบกันแอบ ๆ”
“หึแต่กูรู้นะว่าเป็นใคร” ขวับ! คราวนี้พี่พรายมันกลายเป็นจุดสนใจไปโดยพลัน “แต่กูจะไม่บอกพวกมึงหรอกรอให้ยูจิมันเป็นคนพูดออกมาเองดีกว่าที่สำคัญคนที่ยูจิมันกำลังแอบคบอยู่ก็คงไม่อยากเปิดเผยเรื่องนี้ออกมาด้วย”
“ใครอะพี่ผมรู้จักไหม?”
“รู้จักแล้วก็อย่าคิดว่าวันนี้กูตามใจมึงแล้วจะยอมบอกเรื่องนี้นะ เรื่องของพวกมันก็ให้พวกมันจัดการกันเอง”
“เซ็งอะพี่แม่งดักผมหมดเลย”
“ว่าแต่มีใครไปตามพี่แมงป่อง พี่เคน เซฟกับดินรึยังครับนี่ฟ้าก็ใกล้จะมืดแล้วงั้นผมเดินไปตามก่อนดีกว่า”
“ปล่อยพี่เคนกับดินมันไปเถอะเพลง สองคนนั้นน่ะถ้าอยากจะกลับมาก็คงกลับมาเองแหละไม่ต้องไปตามหรอก” หินมันขยับลงมานั่งตรงเข่าพี่พายุ ส่วนพี่มันก็คล้องแขนไปที่คอแล้วกดคางวางไว้บนหัวไอ้หิน ตั้งแต่เคยเห็นคนคบหากันมาผมว่าคู่นี้มันดูธรรมชาติมากที่สุดไม่ต้องปรุงแต่งสร้างภาพชอบอะไรไม่ชอบอะไรก็พูดกันออกมาตรง ๆ ถึงหินกับพี่พายุจะไม่ค่อยพูดหวานใส่กันสักเท่าไหร่แต่แววตาที่ต่างคนต่างมองก็เต็มไปด้วยความรักความเข้าใจ
“ส่วนไอ้เซฟกับพี่แมงป่องเองก็คงต้องมีเรื่องคุยกันอีกเยอะ มึงก็รู้ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอเพลง?”
“มึงก็รู้เรื่องนี้เหรอหิน!” หินมันพยักหน้าให้ผม ไอ้เซฟมันคงไว้ใจผมกับไอ้หินมากถึงขนาดยอมเล่าเรื่องตัวเองให้ฟังแบบนี้
“พวกพี่ก็พอจะดูออกมาสักพักแล้วล่ะ น่าจะมีแค่สองสาวนั่นเท่านั้นที่ยังไม่รู้เรื่อง” พี่ยูจิชี้ไปที่คะน้ากับข้าวจี่ที่ยังคงวุ่นวายกับการคีบหมูย่างลงมาจากเตาเห็นว่าจะเอามาทำน้ำตกหมูกินกัน
“ถ้าแมงป่องมันยังแบกรับทุกอย่างไว้อย่างนี้ คงไม่มีวันที่เซฟมันจะให้อภัยหรอก”
“ไม่จริงนะพี่มึง เซฟมันรู้เรื่องทั้งหมดมาตั้งนานแล้วเพียงแต่มันยังโกรธกับสิ่งที่ตัวมันเองทำลงไปจนไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้ต่างหาก” หินมันเงยหน้าตอบพี่พายุสรุปคือมันรู้ลึกรู้จริงกว่าผมหลายขุมเลยนี่หว่า “ก็เซฟมันรักของมันมาตั้งนาน ไหนจะโดนคนที่ไว้ใจหักหลังให้ทำร้ายคนที่มันรักอีกทั้งที่พี่แมงป่องเองก็ยอมรับความผิดที่ตนเองไม่ได้ก่อเพื่อมันด้วยแล้ว ไม่รู้ว่าชาตินี้มันจะให้อภัยตัวเองได้รึเปล่า”
“ได้สิถ้าคนมันรักกันยังไงก็อภัยกันได้ทุกเรื่องนั่นแหละ”
ค่ำคืนแห่งความสุขรอบกองไฟผ่านไปอย่างรวดเร็วเมื่อทั้งหมดกลับมารวมตัวเพื่อทานอาหารค่ำพร้อมกัน ดินกับพี่เคนเหมือนคู่รักข้าวใหม่ปลามันถึงจะแทบไม่พูดกันเลยแต่ก็แอบมีจังหวะส่งนั่นส่งนี่ใส่ในจานของอีกฝ่ายเสมอ
ส่วนพี่แมงป่องกับเซฟก็ไม่พูดกันเลยแม้แต่คำเดียวยกเว้นสายตาตำหนิตัวเองทุกครั้งที่มันหันไปมองพี่แมงป่องและที่เด็ดที่สุดคือพี่ข้าวหมากที่หลังจากออกเวรก็รีบบึ่งรถเพื่อตามมาง้อไอ้พี่เอที่แท้จริงแล้วน้อยใจเสียยิ่งกว่าทุกคนในนี้ซะอีก
ข้าวจี่สรรหาเกมมาให้พวกเราทุกคนเล่นเพื่อแก้เหงาจนเวลาผ่านล่วงเลยไปกระทั่งเกือบจะเที่ยงคืนต่างคนก็ต่างแยกย้ายหายกันไปเป็นคู่ ๆ แน่ล่ะวันสิ้นปีแบบนี้ใครก็อยากจะเคานต์ดาวน์กับแฟนแค่สองต่อสอง
[Part Phai Natee]
“ไปนั่งเล่นที่ชิงช้าด้านนั้นกันนะครับพี่” เพลงลุกขึ้นยื่นแล้วส่งมือให้กับผม
“เอาสิก็บอกแล้วไงว่าวันนี้กูจะให้มึงทุกอย่าง” ผมรู้ดีว่าช่วงหลังละเลยเพลงไปมากแค่ไหนแต่สิ่งที่ผมทำมันจำเป็นต่อเราทั้งคู่ ผมไม่อยากเสียเพลงไปตอนนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตผมก็จะไม่ยอมให้ใครเข้ามาข้างอีกแล้ว
...ถึงแม้ว่าเขาคนนั้นจะเป็นพ่อเลี้ยงผมก็ตาม
ท่ามกลางความมืดมิดที่มีเพียงเสียงของสายน้ำและเหล่าแมลงขับขานยามค่ำคืนเพลงจูงมือผมมาที่ชิงช้าใต้ต้นไม้ใหญ่ เสียงหัวเราะโหวกเหวกแว่วมาแต่ไกลถือว่าเป็นเรื่องปกติในวันสิ้นปีที่ใครต่อใครจะร่วมฉลองไปพร้อมเพื่อน
“นั่งสิครับพี่ เดี๋ยวผมแกว่งให้นะ” เด็กหนุ่มตรงหน้าเอ่ยปากบอก ถึงแม้บางครั้งจะรู้สึกงงกับการกระทำของเพลงมันก็เถอะตอนนี้ผมเองก็อยากรู้ว่ามันจะเซอร์ไพรส์อะไรผมอีก ทิ้งตัวลงนั่งบนไม้กระดานสองมือก็จับไปที่เชือกเส้นยาวทั้งสองข้าง
เพลงออกแรงผลักจนชิงช้าโยกไปข้างหน้า สายลมที่ปะทะใบหน้ามันทำให้ผมรู้สึกดีจนต้องหลับตาลง
10...9...8...7...
อยู่ ๆ เสียงนับถอยหลังก็ดังขึ้นผมลืมตาหันไปหาเพลงเพื่อจะบอกให้มันพอแล้วแต่มันกับยิ้มแล้วกำลังนับเคานต์ดาวน์ไปพร้อมกัน
3...2...1...
หมับ! แขนยาวคว้ากอดผมเอาไว้จากด้านหลัง
“สวัสดีปีใหม่นะครับพี่เพลง เรื่องอะไรที่มันไม่ดีในปีที่ผ่านมาก็สลัดมันทิ้งเอาไว้ตรงนี้ เก็บแต่สิ่งดี ๆ กลับไปก็พอ” คำพูดแผ่วเบาที่กระซิบข้างหูแต่ทรงพลังไม่ต่างคลื่นลูกใหญ่มันกำลังทำให้ผมน้ำตาซึมออกมาช้า ๆ
“สวัสดีปีใหม่เช่นกันเพลง ขอบคุณที่เลือกกูขอบคุณจริง ๆ”
“งั้นก้าวแรกของปีใหม่เราก็เดินไปพร้อมกันนะครับ พี่พรายลุกก่อนสิแต่ไม่ต้องเดินนะ” ว่าจบเพลงมันก็ช้อนตัวผมอุ้มขึ้นเหมือนเจ้าบ่าวกำลังอุ้มเจ้าสาวได้แต่โอบแขนไปคล้องที่คอทุกก้าวเดินของเพลงมันทำให้ผมมีความสุขพิงคอลงบนอกแกร่ง
...ภาวนาให้เพลงดูแลผมแบบนี้ตลอดไป