.43. อโหสิกรรม
[สมุทร]
หลังจากออกมาส่งพ่อขึ้นรถกลับบ้านเสร็จเรียบร้อย ผมก็ตั้งใจจะออกไปหาซื้อส้มตำให้ลิตกิน แต่ระหว่างทางกลับมีสายโทรเข้ามาจากคนของพ่อที่ผมให้ไปจัดการเรื่องคดีต่าง ๆ ปลายสายโทรมาบอกว่าไอ้โอเอาแต่อาละวาดและอยากเจอผม ตอนแรกก็ไม่อยากจะไปหรอกครับ แต่ถ้าไม่ไปมันก็คงไม่หยุด
“สมุทร…” ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มและหยาดน้ำตาทอดสายตามองมาทางผมด้วยสีหน้าดีใจ บาดแผลที่ได้รับจากน้ำมือของผมถูกปฐมพยาบาลเรียบร้อยแล้ว
“มีอะไร”
“ขอโทษ”
“มันสายไปแล้ว มึงจะทำร้ายใครอีกกี่คนก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ลิต” ผมมองมันกลับด้วยแววตาเกลียดชัง หยาดน้ำตาของคนตรงหน้าค่อย ๆ ไหลอาบแก้มอยู่ตลอด “ก้มหน้าชดใช้กรรมของมึงไปเถอะ เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้น มึงเลือกเอง”
“สมุทร อย่าเพิ่งไปได้ไหม สมุทร… ฮึก ฮือ ๆ เรารักสมุทรนะ” ผมไม่ได้สนใจที่จะหยุดฟังด้วยซ้ำ รีบเดินออกมาจากที่ตรงนั้นแทน
“เรื่องคดีทางตำรวจว่ายังไงบ้างครับ”
“พรุ่งนี้จะถูกย้ายไปเรือนจำแล้วครับ คดีที่ก่อเอาไว้มีแต่หนัก ๆ ทั้งนั้น คงไม่ได้ออกมาอีก”
“ผมกลัวว่ามันจะไม่ยอมเข้าไปมากกว่า…” ประโยคนี้ผมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “งั้นผมกลับก่อนนะครับ ขอบคุณที่คอยช่วยเหลือและเป็นธุระจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้”
“มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วครับ”
ผมแยกตัวออกมาก่อนจะขับรถกลับไปที่บ้าน มีเรื่องอยากคุยกับไอ้อ้นนิดหน่อย ผมอยากจัดการเรื่องยุ่ง ๆ นี้ให้จบสักที เพราะต่อไปสิ่งที่ผมจะทุ่มเทให้คงมีแต่ครอบครัวเท่านั้น
จอดรถสนิทพร้อมกับเรียวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันเพราะกระเป๋าใบใหญ่ที่วางอยู่หน้าบ้าน จนต้องรีบลงจากรถเพื่อไปดูให้แน่ใจว่าเป็นของใคร จนเจ้าของกระเป๋าพากันเดินออกมา
“อ้าวพี่”
“จะไปไหนกันครับ” ตั้งคำถามด้วยความแปลกใจ จริง ๆ ทั้งคู่ไม่จำเป็นต้องออกไปจากที่นี่เลยด้วยซ้ำ
“เขาไม่อยู่แล้วนี่ ผมกับแม่เลยจะออกไปจากที่นี่กันน่ะ” รอยยิ้มฝืน ๆ เผยออกมาจากใบหน้าคนตอบคำถาม
“ผมขอคุยด้วยหน่อยนะครับ นายด้วย” หันไปพูดกับน้าแอนก่อนจะพากันเดินเข้ามานั่งที่โซฟาห้องรับแขก
“น้าอยากขอโทษสมุทร” ท่านว่าพลางยกมือจะไหว้ผมด้วย เลยต้องรีบลุกไปรับฝ่ามือของท่านเอาไว้แทน
“ไม่ต้องไหว้ผมหรอกครับ เรื่องมันผ่านมาแล้ว อีกอย่างน้าแอนกับอ้นก็ไม่ได้ทำอะไรผิดด้วย ไม่จำเป็นต้องย้ายออกไปจากบ้านหลังนี้ด้วยซ้ำ”
“น้าไม่มีหน้าจะอยู่ที่นี่ต่อหรอก เรื่องราวในอดีตที่น้ารับรู้มาโดยตลอด มันหนักหนาเกินกว่าจะให้อภัยด้วยซ้ำ” ใบหน้าน้องน้าแอนเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา ช่วงเวลาที่ผ่านมาท่านคงน้ำท่วมปาก พูดหรือห้ามอะไรคงไม่ได้
“แล้วน้าเกลียดพ่อผมจนอยากฆ่าให้ตายด้วยหรือเปล่าครับ” คำถามของผมทำให้น้าแอนชะงักไปครู่หนึ่งเลยทีเดียว ผมไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นหรอก ถ้ามัวแต่แก้แค้นกันไปมา แล้วเมื่อไหร่ผมจะมีความสุขสักที
“น้าไม่เคยคิดแบบนั้นเลย แต่น้าก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี น้าขอโทษ”
“ผมเองก็ไม่ได้เกลียดน้ากับอ้นเหมือนกัน แต่ถ้าน้าอยากไถ่โทษให้กับครอบครัวของผมจริง ๆ ช่วยอยู่ที่นี่ต่อได้ไหมครับ ทุกคนที่นี่ต้องการน้าแอนนะครับ”
“แต่น้า…”
“เรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา ก็ปล่อยให้มันเป็นความทรงจำที่ไม่ดีไปก็แล้วกันครับ ผมไม่คิดจะโทษน้าเลย ถ้าพ่อยังอยู่ตรงนี้ ท่านก็คงคิดแบบนี้เหมือนกัน”
ผมแค่คิดว่าพ่ออาจจะตั้งใจเหมือนที่ผมตั้งใจจะแก้ไขเรื่องราวในตอนนี้อยู่ก็ได้ และพ่อคงไม่อยากให้ใครรับรู้ว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ เพราะชีวิตใหม่ที่ท่านเลือกก็มีความสุขไม่แพ้กันเลยจริง ๆ
“พ่อผม ฆ่าพ่อพี่นะ” คำถามของไอ้อ้นทำให้ผมต้องหันไปมองหน้าหมอนี่แทน มันก็จริงที่อาคิดจะฆ่าพ่อผม แต่เพราะพ่อยังไม่ตายจริง ๆ เรื่องทุกอย่างก็ถือว่าจบที่อาตายก็แล้วกัน
“นายเองก็ช่วยพี่มาตลอดไม่ใช่เหรอ?” ผมยิ้มพลางเงยหน้าขึ้นไปถามไอ้อ้น มันดูชะงักไปเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยแทนตัวเองว่าพี่เลย “ถึงยังไงพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน”
“โคตรใจกว้างเลยนะครับ”
“ส่วนเรื่องบริษัท นายก็ไม่ต้องลาออก ทำงานในส่วนของตัวเองไปซะ”
“พ่อผมทำเอาไว้ซะขนาดนั้น พี่คิดว่าคนที่นั่นจะเชื่อถือผมอีกเหรอครับ” มันก็จริงอย่างที่ไอ้อ้นพูด แต่พ่อสร้างเรื่อง ลูกไม่จำเป็นต้องรับโทษแทนสักหน่อยนี่
“ถ้านายเชื่อมั่นในตัวเองและพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นว่านายกับพ่อไม่เหมือนกัน มันอาจจะเหนื่อยหน่อย แต่พี่เชื่อว่านายทำได้และคนอื่นก็จะมองอย่างที่พี่มองด้วย”
“ขอบคุณที่เชื่อใจผมนะพี่”
“อืม” ผมไม่รู้หรอกว่าทั้งคู่โอเคหรือเปล่า แต่อย่างน้อย ๆ มันก็ทำให้น้าและไอ้อ้นไม่ออกไปจากบ้านเร็ว ๆ นี้ คงต้องปรับตัวกันต่อไปนั่นแหละครับ
จัดการธุระส่วนนี้เสร็จผมก็ขับรถกลับบ้าน ความตั้งใจแรกคือออกมาซื้อส้มตำให้ลิตกิน แต่ตอนนี้เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมงกว่าแล้ว ป่านนี้เมียผมคงหน้ายุ่งหมดแล้วมั้ง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตั้งใจจะโทรหาลิต แต่ก็ต้องแปลกใจเพราะมีเบอร์ไม่คุ้นโทรเข้ามาซะก่อน
RRRRR
เบอร์ติดต่อใหม่ผมไม่เคยให้คนแปลกหน้าเลย นอกจากไอ้วิน ไอ้ฟ้า แม้แต่ลิตยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ
“สวัสดีครับ” ไม่อยากสงสัยนานรีบกดรับสายแทน
(สมุทร…) รู้สึกแปลกใจนิดหน่อยเพราะน้ำเสียงจากปลายสายคือเมย์
“อืม”
(เมย์เอาเบอร์สมุทรมาจากวินน่ะ เจอกันหน่อยได้ไหม) น้ำเสียงของเธอฟังดูปกติ อีกอย่างพวกเราก็ไม่ได้ผิดใจอะไรกันแล้วด้วย
“ได้สิ งั้นเจอกันที่สวนสาธารณะแถวบ้านเมย์ละกัน”
(อืม)
วางสายจากเมย์ก่อนจะตีไฟเลี้ยวเพื่อกลับรถไปยังเส้นทางใหม่ ชีวิตผมช่วงนี้ดูวุ่นวายเป็นพิเศษ ถือโอกาสช่วงนี้สะสางเรื่องต่าง ๆ ให้จบไปเลยละกัน ผมใช้เวลาขับรถอีกครึ่งชั่วโมงเพื่อมาหาเมย์ พอมาถึงสถานที่นัดหมายเธอก็นั่งรออยู่แล้ว
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
“อืม สบายดีนะ”
“สบายดี ขอโทษที่หายไปนะ ช่วงนั้นสมุทรคงเจอหลายเรื่อง” ผมไม่ได้ตอบกลับอะไรนอกจากยิ้มให้เธอเท่านั้น “แต่เมย์ก็ยังรู้ความเคลื่อนไหวของสมุทรอยู่ดี ตกใจมากเลยนะ แต่พอรู้ว่ายังไม่ตายจริง ๆ ก็ดีใจ”
“ดีแล้ว เมย์จะได้ไม่เดือดร้อน”
“ตอนนี้เมย์คงหมดหวังแล้วจริง ๆ แต่ในฐานะเพื่อน เมย์ยังมีสิทธิ์เป็นห่วงสมุทรได้หรือเปล่า” แววตาของเธอดูเศร้า แต่ก็มีรอยยิ้มแฝงอยู่ด้วย ผมเองก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไรเมย์ด้วยซ้ำ แค่ไม่ชอบกับหลาย ๆ การกระทำของเธอก็เท่านั้นเอง
“อืม ต่อไปเมย์คงรู้จักขอบเขตของคำว่าเพื่อนมากขึ้น”
“เจ็บจัง… แต่ก็ดีใจนะที่สมุทรกลับมายิ้มได้อีกครั้ง” ใบหน้าเศร้า ๆ เริ่มมีรอยยิ้มออกมา ผมเองก็ยิ้มตอบกลับให้เธอเช่นกัน “ฝากขอโทษมันตาด้วยนะ”
“ได้สิ”
“คงไม่ได้เจอกันอีกสักพัก เมย์ตั้งใจว่าจะไปเที่ยวสักหน่อย”
“ดูแลตัวเองด้วยนะ ขอบคุณสำหรับที่ผ่านมา ขอโทษถ้าเคยทำไม่ดีออกไป” ต่างฝ่ายต่างยิ้มให้กัน ถือว่าเคลียร์ใจกันไปเรียบร้อย
“งั้นเมย์กลับก่อนนะ ต้องไปเตรียมตัวเดินทางน่ะ”
“ครับ” มองหน้าให้กันพร้อมกับรอยยิ้มก่อนจะแยกจากกัน มิตรภาพไม่มีวันจางหายแน่นอน เพื่อนก็คือเพื่อน ต่อให้ห่างกันแสนไกล แต่ความห่วงใยก็ไม่เคยจางหาย
ถ้าไอ้โอคิดได้อย่างเมย์ เรื่องทุกอย่างคงจบสวยกว่านี้…
กว่าจะกลับมาถึงบ้าน ผมใช้เวลาไปเกือบสี่ชั่วโมง กลับมาพร้อมกับส้มตำไก่ย่างให้ลิต แต่สีหน้าคนอยากกินก่อนหน้านี้กลับบึ้งตึงจนผมไม่กล้าเข้าใกล้เลยทีเดียว รู้สึกเหมือนกำลังจะถูกกินหัวแทนกินส้มตำ
“ลิตขอให้พี่ไปซื้อส้มตำ แต่พี่เล่นหายไปเกือบสี่ชั่วโมง สรุปไปซื้อส้มตำให้ลิตหรือไปช่วยแม่ค้าหามะละกอกันแน่คะ” เสียงดังฟังชัดว่าไม่พอใจมาก คำถามก็แสนประชดประชันเหลือกินครับ
“ขอโทษครับ” วางของที่ถืออยู่ในมือลงก่อนจะเดินไปหาลิตที่โซฟา แต่เจ้าตัวกลับขยับหนีไม่ยอมให้ผมเข้าใกล้ “หนีพี่ทำไม”
“ไม่ต้องเข้ามา ไม่อยากเข้าใกล้ แล้วกลิ่นน้ำหอมใครติดมาอีก สรุปพี่ไปไหนมาคะเนี่ย” จมูกดีจริง ๆ เลยครับ ผมก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่ากลิ่นน้ำหอมของใคร เพราะไปเจอมาหลายคนมาก
“ก็…”
“หงุดหงิด ไม่อยากเห็นหน้าพี่แล้วค่ะ” อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนคนวัยทองจนผมตามไม่ทันเลยทีเดียว
“แล้วนั่นจะไปไหนครับ” หันไปถามเพราะลิตกำลังลุกเดินหนีผมออกไปแล้ว
“เรื่องของลิตค่ะ!” อารมณ์ไหนอีกเนี่ย ได้แต่มองตามพลางส่ายหัวรัว ๆ ให้กับท่าทางของลิต จนแม่เดินลงมาจากชั้นบน
“แม่ได้ยินเสียงลิตโวยวาย ทะเลาะกันหรือเปล่า”
“เปล่าครับ แค่บ่นที่ผมกลับมาช้า”
“ช่วงนี้เหนื่อยหน่อยนะ อารมณ์ลิตอาจจะขึ้น ๆ ลง ๆ แบบนี้แหละ เดี๋ยวสมุทรก็ชิน” แม่พูดยิ้ม ๆ สีหน้าของท่านดูมีความสุข ต่างจากผมที่กำลังงงว่าลิตเป็นอะไร “ตามไปดูหน่อยละกัน”
“ครับ” ผมเดินตามลิตออกมาที่สวนข้างนอก ได้ยินเสียงแว่ว ๆ เหมือนนั่งบ่นพึมพำอยู่คนเดียว บ่นเรื่องผมนี่แหละครับ
ฟอดดด
“อือ… ทำอะไรคะเนี่ย” แอบหอมแก้มฟอดใหญ่ จนได้เห็นสายตาดุ ๆ ของลิตมองกลับมา “ใครอนุญาตให้หอมแก้มไม่ทราบ”
“เป็นอะไรครับ อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ หรือเป็นวันนั้นของเดือน”
“จะเป็นได้ยังไงล่ะคะก็ เอ่อ…” เหมือนลิตจะนึกอะไรออกเพราะเจ้าตัวกลับชะงักคำพูดไป ผมเองก็ได้แต่มองหน้าลิตพลางเลิกคิ้วเชิงคำถามกลับไปด้วย แต่กลับไม่ได้รับคำตอบ
“มีอะไรอยากบอกพี่ไหม?” ถามย้ำด้วยสีหน้าสงสัยกับท่าทางของลิต
“ไม่มีค่ะ” ลิตส่ายหัวพร้อมคำตอบก่อนจะเสมองไปทางอื่นเพื่อหลบสายตาผมแทน “แล้วสรุปพี่ไปไหนมาคะ”
“ไปจัดการธุระสำคัญมา แล้วก็กลับบ้านไปคุยกับน้าแอนและไอ้อ้น และไปคุยกับเมย์” ชื่อของเมย์ทำให้ลิตรีบหันกลับมามองผมตาขวางเชียว “แค่คุย… เมย์ฝากมาขอโทษด้วยครับ”
“ชิ”
“ไม่งอนพี่แล้วนะ” ยิ้มให้ลิตก่อนจะก้าวเข้าไปยืนใกล้ ๆ ยื่นสองแขนไปกอดรอบเอวลิตเอาไว้ด้วย ตอนแรกก็ดิ้นไม่ยอมให้กอด แต่พอนานเข้ากลับหมุนตัวหันมากอดตอบ แถมยังสูดลมหายใจเข้าปอดฟอดใหญ่เชียวครับ “อ้อนพี่จัง หายงอนแล้วใช่มั้ยครับ”
“ใครงอน ไม่มีสักหน่อย”
“เหรอครับ?” ลิตดันตัวเองออกจากอ้อมกอดของผม สายตาที่มองกันมันอธิบายไม่ถูกเลย เหมือนลิตอยากบอกอะไรผม แต่ก็ไม่ยอมพูด “มีอะไรหรือเปล่า ทำไมมองพี่แบบนี้”
“พี่รักลิตมากไหมคะ”
“มากครับ”
“ดีจัง…” งงแหละครับ แต่ไม่ได้พูดอะไรนอกจากยิ้ม
ผมไม่รู้ว่าลิตหายงอนหรือยัง เพราะเวลาต่อมาเธอก็ลากผมกลับเข้ามาในบ้านเพื่อนั่งกินส้มตำไก่ย่างที่ผมซื้อกลับมาให้ ท่าทางดูมีความสุขเชียว แถมยังมีมะม่วงน้ำปลาหวานวางอยู่อีก
“วันนี้กินข้าวหรือยัง กินแบบนี้มาก ๆ เดี๋ยวก็ปวดท้องกันพอดี” ผมถามขึ้นเพราะท่าทางมีความสุขของลิตนี่แหละ กลัวจะกินอย่างอื่นมากกว่าข้าว
“พี่อินมาทำของอร่อยให้กินแล้วค่ะ” คำตอบมันใช่ไหมเนี่ย? แล้วไอ้อินมาตั้งแต่เมื่อไหร่ “อยากช้าเองทำไม”
“อย่างน้อยลิตก็ได้กินแหละครับ” นั่งคุยกับลิตมือเอื้อมไปหยิบมะม่วงน้ำปลาหวานมานั่งกินตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วก็ไม่รู้ครับ ตอนแรกคิดว่าเปรี้ยว แต่พอกินไปหลาย ๆ คำเข้ากลับอร่อยจนแทบไม่อยากวางเลยทีเดียว
“พี่สมุทร มาแย่งของลิตทำไมคะ”
“แย่งอะไร พี่เห็นลิตกินส้มตำแล้ว”
“แต่อันนี้ลิตสั่งให้พี่อินซื้อมาฝากนะคะ ลิตก็อยากกิน ทำไมต้องมาแย่งด้วย” ทำหน้างอแงใส่ผมเฉยเลยครับ “กินเกือบหมดจานเลย”
“ทะเลาะอะไรกัน” เสียงแม่ถามขึ้นก่อนที่ท่านจะลุกมาดูผมกับลิต
“พี่สมุทรขโมยกินมะม่วงหนูหมดเลยค่ะ” เด็กขี้ฟ้องเงยหน้าขึ้นไปมองแม่
“ยังไม่หมดนะครับ เหลืออีกตั้งสองชิ้น”
“ฮึย! ลิตโป้งพี่แล้ว” ท่าทางจริงจังมาก จนผมงงกับอาการของลิตในตอนนี้มาก ๆ “ฮือออออ…”
“เอ้า! ร้องไห้เลยเหรอ”
“ใจเย็น ๆ ลิต พี่อินซื้อมาตั้งเยอะ เดี๋ยวแม่ไปทำให้ใหม่” แม่พูดขึ้นก่อนจะเดินกลับเข้าไปในครัวเพื่อปอกมะม่วงให้ลิต ส่วนผมนั่งมองหน้าเมียแบบงง ๆ ไม่ค่อยเข้าใจอารมณ์สักเท่าไหร่
“ลิต…”
“ไม่ต้องมาพูดด้วยเลย” ท่าทางงานนี้จะสงบศึกกันยากครับ ดันมาแย่งของอร่อยเหมือนกันอีกต่างหาก “ก่อนหน้านี้ชวนไม่ยอมกิน แต่พอมาตอนนี้จะแย่งของลิตกิน พี่นิสัยไม่ดี”
“ขอโทษแล้วไง”
“ไม่หายหรอกค่ะ!” งอนผมตุบป๋องเลยทีเดียว แววตาก็ดูเอาเรื่องที่ผมแย่งมะม่วงกินเกือบหมด
“มาแล้วจ้า คราวนี้ไม่ต้องแย่งกันแล้ว ห้ามทะเลาะกันด้วยนะ” แม่แยกจานมาให้เลยครับ ผมกับลิตนั่งกันคนละมุมเลยทีเดียว
ผมจะคอยมองลิตตลอด สีหน้าตอนนั่งกินมะม่วงดูมีความสุขมาก ๆ ลิตอาจจะอยากกินจริง ๆ ก็ได้ ผมเองก็ด้วย
ช่วงก่อนนอนเป็นอะไรที่วุ่นวายมากเพราะลิตไม่ยอมให้ผมนอนใกล้ ๆ แถมยังหยิบหมอนข้างมาคั่นกลางระหว่างพวกเราอีกต่างหาก
“แล้วพี่จะกอดยังไงครับ”
“กอดหมอนข้างไปสิคะ ลิตเบื่อขี้หน้าพี่สมุทรนิดหน่อย เอาไว้ลิตอยากกอด เดี๋ยวลิตขยับไปกอดเองค่ะ” สีหน้าตอนพูดดูผ่อนคลายมาก ไม่มีความโกรธหรืออะไรทั้งสิ้น มีแต่ผมนี่แหละที่มองหน้าลิตแบบสงสัยแทน
“แบบนี้ก็ได้เหรอครับ”
“ได้สิคะ ฝันดีนะคะ” แปลกครับ แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะลิตทิ้งตัวลงนอนไปแล้ว ผมเลยต้องยอมนอนตาม
RRRRR
ผมไม่รู้ว่าลิตหลับไปหรือยัง เสียงโทรศัพท์ที่ดังอยู่ทำให้ผมต้องหยิบขึ้นมาก่อนจะลุกออกจากเตียง เดินออกไปคุยนอกระเบียงแทน
“ว่าไงไอ้วิน”
(ไอ้โอตายแล้วนะ) ความเงียบเกิดขึ้นทันที ผมไม่ได้ช็อกหรอกเพราะมันเป็นสิ่งที่คาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้บ้างแล้ว (มันฝากจดหมายเอาไว้ให้มึงด้วยนะ)
“ฝากทำลายทิ้งด้วยละกัน”
(มึงจะไม่อ่าน?)
“กูไม่จำเป็นต้องอ่านด้วยซ้ำไป… ปล่อยให้ทุกอย่างมันเดินไปข้างหน้าเถอะ ต่อไปชีวิตกูจะได้มีความสุขสักที”
(ไม่อยากรู้เหรอว่ามันฆ่าตัวตายยังไง)
"ไม่ว่ะ"
(อืม งั้นกูวางสายก่อนนะ)
วางสายจากไอ้วิน ยืนคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ทุกอย่างจบแล้วจริง ๆ สินะ… ยืนอยู่เงียบ ๆ คนเดียวนานพอสมควร พอหมุนตัวจะเดินกลับเข้าไปนอนก็ต้องตกใจเพราะลิตยืนกอดอกจ้องหน้าผมอยู่
“แอบคุยกับใครคะ?” เรี้ยวคิ้วขมวดกันยุ่งเชียวครับ ท่าทางเหมือนกำลังหึง
“เปล่าแอบนะครับ พี่แค่ไม่อยากกวนลิต”
“จริง?”
“ครับ”
“เชื่อก็ได้ค่ะ”
“กลับไปนอนกันดีกว่าครับ ข้างนอกอากาศหนาว เดี๋ยวจะไม่สบาย” ลิตพยักหน้าให้ผมก่อนจะเดินนำไปนอนที่เตียง ผมรีบเดินตามไปติด ๆ คราวนี้ลิตรั้งหมอนข้างออกไปวางด้านหลังของเธอแทน
“ไม่ได้กอดแล้วนอนไม่หลับ ขอกอดหน่อยนะคะ” น้ำเสียงอ้อนของคนตรงหน้าดังขึ้นพลางขยับเข้ามาสวมกอดผมจนแน่น
“พี่รอคำนี้อยู่นานแล้วครับ”
“คิก ๆ” ยิ้มคิกคักชอบใจเชียวครับ ผมเลยกอดตอบลิตเอาไว้ด้วย พลางหอมหัวฟอดใหญ่เป็นของแถม
“มันจบแล้วนะลิต”
“คะ?” เสียงเล็ก ๆ เอ่ยขึ้นมา
“ไม่มีอะไรครับ นอนดีกว่า พรุ่งนี้พี่ต้องเข้าบริษัทแต่เช้า” ลิตไม่ได้ตอบกลับอะไร แค่กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นเท่านั้น จนเสียงลมหายใจของเธอสม่ำเสมอและผล็อยหลับไป…
‘อโหสิกรรมให้กูด้วยละกันโอ... มึงจะเป็นเพื่อนอีกคนในความทรงจำของกู แม้ต่อจากนี้ไปมึงจะต้องหายไปก็ตาม’
_______________________________________
เอสยังไม่ได้เกลาเนื้อหานะคะ จะพิสูจน์อักษรก่อนแล้วเกลาอีกรอบ และอาจจะกลับมาทยอยแก้ไขอีกที
ตอนนี้นิยายใกล้จบแล้ว กำลังจะส่งสามีสู่ประตูวิวาห์อีกคู่ ต่อจากลลิตก็จะเป็นฟ้าคราม นิยายปิดเซตของบ้านนี้นะคะ
ฝากติดตามด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ