ปลดพันธนาการ
หลังจากที่ได้พบกับอนิล เกล็ดมณีมิสามารถบำเพ็ญเพียรได้อย่างสงบเลยแม้เพียงวันเดียว ทุกครั้งที่หลับตา นางกลับเห็นใบหน้าหล่อเหลานั้นลอยผ่านเข้ามา นัยน์ตาคมจับจ้องมาที่นาง พร้อมรอยยิ้มซุกซนที่เขามักส่งมาให้ เพียงแค่คิดเท่านี้กลับทำให้สติที่ตั้งมั่นอยู่แตกกระเจิงจนนางรู้สึกหงุดหงิดกับตัวเองจนเสียมิได้
นี่ข้าเป็นอะไรไป ไยจึงต้องคิดถึงเขามากเพียงนี้...
ถึงจะเพียรถามอย่างไร ก็มิมีผู้ใดตอบคำถามนั้นได้ เพราะความรู้สึกของนางเองกำลังตีกันให้วุ่นกับการกระทำที่พยายามปฏิเสธเขา แต่ในใจกลับกำลังเรียกร้องหาแต่เขาเพียงเท่านั้น
ราตรีนี้เย็นเยียบดังที่เคย เกล็ดมณีย่างเท้าเบาหวิวดุจปุยนุ่น มิให้เกิดซุ่มเสียงใดเป็นการรบกวนธารทิพย์ที่งีบหลับอยู่นอกห้องบรรทม นางมุ่งตรงสู่ผืนน้ำด้านบน แล้วทอดมองความสงบโดยรอบเพื่อสร้างสมาธิจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว ปลอบประโลมจิตใจให้เยียบเย็นลง
สระบัวสุวรรณพรรณรายยามนี้เต็มไปด้วยหิงห้อยทอแสง พวกมันบินวนไปมาเหนือผิวน้ำ บ้างหยอกล้อเล่นกันเป็นคู่ เสียงหรีดเรไรดังระงม จะมีแว่วเสียงสิงหาดังมาแต่ไกลบ้างเป็นครั้งคราว สายลมเย็นหอมเอาความหนาวต้องผิววรกายขาวกระจ่าง ส่งให้ร่างบางสั่นเทิ้มจากความเย็นที่สัมผัส จึงเนรมิตผ้าคลุมไหล่แพรบางมาห่มไว้เพื่อคลายความหนาว พร้อมพินิจถึงเบื้องลึกของจิตใจตนโดยละเอียด
“หรือแท้จริงแล้ว เจ้าเข้ามาเพื่อเป็นด่านทดสอบการข้าวข้ามอดีตของข้าที่ควรลืมมันไปเสียให้สิ้น”
ร่างบางยังเยื้องย่างไปบนเกล่าใบบัว ท่วงท่านั้นคล้ายการเดินจงกรมก็มิปาน นางออกเดินไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย ทุกการย่างก้าวต่างกำหนดจิตรู้ว่าพุธกับโธ ส่วนสมองกลับยังมิลืมเลือนการปรากฏกายของอนิลที่ทำให้หทัยของนางไหวหวั่น
หลายวันมานี้เกล็ดมณีเฝ้าแต่บำเพ็ญเพียรให้หนักมากยิ่งขึ้น แต่ก็มิวายคิดถึงแต่เรื่องของเจ้าของเรือนขนสีดำปลายทองคำ รูปลักษณ์ปานรูปปั้นน่าหลงใหล เหตุใดหลายวันมานี้นางกลับมิคิดถึงวิหรุตเช่นทุกครา ความเจ็บปวดที่อยู่ในใจก็มิต่างจากถูกหยาดพิรุณคอยดับร้อนจนค่อยเจือจางลง
หรือข้าต้องคำนึงเรื่องที่เจ็บปวดที่สุด ที่บันดาลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างขึ้น…
ใบบัวขนาดใหญ่ใบหนึ่งมีหยาดน้ำค้างที่ร่วงหล่นจากท้องนภา เกาะตัวกันเป็นหยดน้ำทรงกลมกลิ้งไปมาบนใบบัว เกล็ดมณีย่างเท้าไปกึ่งกลางบัวใบนั้น แล้วค่อยยอบกายลงนั่งอย่างเชื่องช้า นั่งขัดสมาธิก่อนวางมือขวาทับมือซ้าย พักตร์มองไปเบื้องหน้า หยัดกายตรงทรงสง่า แล้วค่อยหลับเนตรพราวลง
วิมานฉิมพลี เมื่อครั้นนาคีเสกสมรสเข้ามาได้มิกี่เดือน…
นางรับรู้ได้ในทันทีที่พิลาสมยุราปรากฏกายในครานั้น ว่าวิหรุตผู้นี้มิต่างจากบุรุษเจ้าชู้ประตูดิน ตามที่เหล่ามนุษย์ใช้เรียกชายเสเพลทั่วไป เพราะจนเวลาผ่านไปหลายเดือน เขาเองมิเคยมาค้างอ้างแรมที่วิหารของนางเลยแม้เพียงครั้งเดียว มากสุดเพียงแค่แวะมาถามไถ่ แต่ไม่นานยูงทองนางนั้นจักต้องมีเหตุมาตามเขาไปอยู่ทุกครา
“หม่อมฉันมิเห็นด้วยอย่างยิ่งกับการปฏิบัติเช่นนี้กับองค์หญิงเพคะ”
ธารทิพย์เอ่ยด้วยน้ำเสียงมาดร้าย ถึงแม้จะสุขสงบในแบบที่มิมีผู้ใดมายุ่งเกี่ยว แต่สิ่งที่ทำให้เกล็ดมณีเจ็บปวดในดวงหทัย คือการที่นางกลับเริ่มรู้สึกตกหลุมรักในเจ้าของใบหน้าเย้ายวนนั่นเข้าให้แล้ว
“ช่างเขาเถอะธารทิพย์ ข้าพยายามทำใจไว้แล้วว่าอย่างไรเสีย ครุฑกับนาคก็มิอาจเคียงคู่กันได้”
“องค์หญิง…” นาคีรับใช้คลานเข่าเข้ามาหา วางมือบางลงบนตักของนางที่นั่งร้อยพวงมาลัยดอกพุทธอย่างใจเย็น แต่มันก็มิต่างจากการหลอกองค์เองว่านางมิได้คิดริษยายูงทองนางนั้น สิ่งที่นางทำมิต่างจากแสร้งทำเป็นมิรู้มิเห็นในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงเท่านั้น “ทรงสบายพระทัยหรือไม่เพคะ มิเช่นนั้นพวกเรากลับบาดาลกันดีหรือไม่”
“หากข้ากลับไปก็เท่ากับผิดสัญญาของสองเผ่าพันธุ์น่ะสิ”
“แต่อยู่แบบนี้ องค์หญิงก็มิมีความสุขนะเพคะ”
“ข้าทนได้…” นางตรัสพร้อมวางเข็มร้อยมาลัยยาวลงบนพาน “ตราบเท่าที่ข้าควรทน”
ห้องบรรทมของนาคีถูกตกแต่งในผ้าแพรสีฟ้า ข้าวของวเครื่องใช้ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นทองคำ ที่นี่มิต่างจากวิมานแสนสุข หากอาศัยอยู่ร่วมกันกับผู้เป็นสวามีอันเป็นที่รัก แต่ ณ เพลานี้ ในห้วงแห่งความรู้สึกของนาง มิต่างจากสตรีผู้โด่ดเดี่ยว ที่อาศัยอยู่ในสถานที่งามงดเพียงใด ก็มิอาจมีความสุขได้
“เกล็ดมณี” เสียงของวิหรุตดังมาแต่ไกล
นางเหลียวไปมองสบตากับธารทิพย์แล้วจึงรีบตรงไปตามต้นเสียง เมื่ออกมานอกห้องบรรทม ก็พบกับวิหรุตฉลององค์ในอาภรณ์สีงาขาวเปล่งปลั่ง ใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความเปรมปรีย์ ครั้นยังมีทีท่าตื่นเต้นจนเก็บความรู้สึกไว้มิอยู่ นางจึงแปลกในระคนหวาดหวั่น
“พระองค์มีเหตุอันใดหรือเพคะ ไยทีท่าช่างรีบร้อนยิ่งนัก”
“เจ้าไปเปลี่ยนฉลองพระองค์ใหม่ให้งดงาม”
“เพคะ” มิใช่การขานรับ หากแต่เป็นการขานด้วยใบหน้าสงสัย
“อย่าชักช้าอีกเลย ราชากินนรจากหัวเมืองทางทักษิณหมายมอบบุตรีของเขาให้ข้าดูแล…” ถึงแม้ใบหน้าของเกล็ดมณีจักเปื้อนด้วยรอยยิ้ม แต่ข้างในห้องหทัยของนางกลับกำลังกรรแสงออกมาโดยมิเขาได้รู้ตัว “พิลาสมยุรานางรู้สึกมิค่อยสบาย ข้าจึงวานให้เจ้าช่วยไปรับนางกับข้าเสียหน่อย”
“หม่อมฉันเป็นเพียงพระสนม เกรงว่าจักมิเหมาะมิควร”
“เจ้าสมควรเป็นที่สุดแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้นพระองค์รอหม่อมฉันสักประเดี๋ยวนะเพคะ”
วิหรุตตอบรับด้วยการพยักหน้า แล้วออกไปรอด้านนอกวิหาร เกล็ดมณีเยื้องกายเข้าไปในห้องบรรทมพร้อมนาคีรับใช้ ร่างกายของนางแทบหมดเรี่ยวแรง หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวที่เขาเอ่ย ในการปกครองของพญาครุฑผู้ยิ่งใหญ่ เขาสามารถปฏิเสธกินนรเหล่านั้นได้อย่างมิเสื่อมเกียรติ
แต่เขามิได้ปฏิเสธอย่างไรเล่า…
เกล็ดมณีรู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกมิถูก นางนึกสงสัยอยู่ภายในว่าพิลาสมยุราจักรู้สึกเช่นนางหรือไม่ ยิ่งนางเป็นที่โปรดปรานของเขามากขนาดนั้นแล้ว เหตุใดการยอมให้เขามีพระสนมที่เพิ่มขึ้นมากกว่าหนึ่งเช่นนี้ นางจักทำใจยอมรับได้แต่โดยดี ซึ่งจากนิสัยของนางแล้วมิน่าปล่อยให้เป็นเช่นนั้น
“องค์หญิง” นาคีรับใช้เอ่ยเรียกด้วยรู้ถึงภายในหัวอกของผู้เป็นนาย คงกำลังกรรแสงจนแทบขาดใจ
“มิเป็นไรหรอก…” เพียงนางหลับตา อาภรณ์สีมรกตที่สวมอยู่พลันกลายเป็นสีครามเข้มเดินไหมสีเงินยวงในทันที ข้อมือทั้งสองสวมกำไลทองลายกนกนาคา สังวาลเฉียงพาดข้างขวาสวยสม สวมต่างหูลายดอกพิกุลสีทองอร่าม เส้นผมยาวมวยไว้ด้านหลังประดับดอกไม้หอม เสียบด้วยปิ่นทองคำลายนาคาที่มักสวมเป็นประจำ “ข้าแค่เพิ่มความเจ็บปวดแก่หทัยของข้าเองก็เท่านั้น”
“องค์หญิง”
“เจ้ารอข้าที่นี่…” นางหันมาแย้มสรวลที่แสร้งทำว่ามีความสุข ทั้งที่นัยน์ตามีน้ำตารื้นขึ้นมาอย่างสุดกลั้น “ดูแลวิมานนี้ให้ดี ข้าไปมินานหรอก”
“เพคะ”
เกล็ดมณีเดินออกจากห้องบรรทมด้วยท่วงท่าสง่างามเช่นเคย วิหรุตที่รออยู่ด้านนอกถึงกับต้องตะลึงงันในความงดงามของนางที่เปลี่ยนไป ในใจของเขาเองก็มิต่างจากบุรุษทั่วไป อยากรู้อยากลองในสิ่งแปลกใหม่ แต่เขาเองก็มิเคยแตะต้องหรือล่วงเกินในตัวของนาง ถึงแม้จะเสกสมรสกันแล้วก็ตาม
“เจ้างดงามยิ่งนัก” ถึงแม้ในใจนางจะเข้าข้างตัวเองว่านั่นคือคำชมจากชายผู้เป็นที่รัก แต่เหมือนกับว่าจะเป็นนางที่เป็นฝ่ายรักวิหรุตอยู่ข้างเดียว
“รีบไปเถิดเพคะ เดี๋ยวจะมิทันฤกษ์ดี”
“ไปกันเถอะ”
ชาวครุฑเดินทางข้ามเวหาได้โดยง่าย เพียงเขาประคองข้อมือเล็กเรียวเอาไว้เคียงข้าง ร่ายมนตร์เพียงครู่ร่างทั้งสองพลันมาปรากฏอยู่ที่หน้าพระราชวังขนาดใหญ่ของหัวเมืองทางทักษิณ ที่แห่งนั้นมีเหล่ากินรีที่แต่งกายงามงดและฟ้อนรำด้วยความรื่นเริง
เมื่อทั้งสองก้าวเดิน เหล่ากินรีรับใช้ที่ยืนเข้าแถวสองฟากฝั่งพื้นศิลาเย็นเยียบต่างโปรยกลีบดอกไม้หลากสีเพื่อต้อนรับ เกล็ดมณีมองไปเบื้องหน้าเห็นกินนรวัยกลางคนยืนเคียงคู่กับกินรีงามอีกหนึ่งนาง ถึงแม้จะรู้ว่าทั้งสองคงอยู่ด้วยกระแสทิพยปักษา รูปลักษณ์จึงงดงามผิดแผกจากผู้อื่น แต่ความเศร้าจากผู้เป็นกินรีก็ฉายชัด นั่นจึงทำให้นางคิดถึงผู้เป็นมารดายามต้องพรากจากนางเมื่อครั้นอยู่ที่วังบาดาล
ท่านแม่จักเป็นเยี่ยงไรบ้าง…
แต่เมื่อย่างเท้ามาถึง กินนรและกินนรีคู่นั้นต่างโค้งคำนับทั้งคู่ด้วยความนอบน้อม เพื่อเป็นการปลอบประโลมนางกินรีผู้ที่กำลังจะสูญเสียแก้วตคาดวงใจ เกล็ดมณีจึงส่งยิ้มให้นางด้วยความเป็นมิตร นางตอบรับเพียงยื่นมาลัยกรส่งไปให้หมายเป็นของขวัญ
“ขอบคุณเจ้ามาก” เกล็ดมณีรับมันมาสวมข้อมือไว้ เพราะหัตุอีกข้างถูกวิหรุตถือครองอยู่มิปล่อยห่าง
“ข้าแต่องค์พระวิหรุตผู้ทรงฤทธิ์ ด้วยการที่ข้าหมายมั่นให้พระองค์แผ่พระบารมีมาปกปักเมืองกินนรแห่งแดนใต้ของเรา ข้าจึงขอมอบมุตรีอันเป็นที่รักยิ่งแด่ท่าน หมายมั่นให้ท่านดูแลนางต่อจากพวกข้าทั้งสองต่อไป”
“หัวเมืองแดนทักษิณจักปลอดภัยจากสงคราม…” วิหรุตตอบพร้อมสอดส่ายสายตามองหาผู้ที่เขามารับตัว “ข้าให้สัญญาแด่พวกเจ้า”
“ศรีวิตรี”
เมื่อผู้เป็นบิดาเรียกหา ร่างบางในชุดที่ประดับไปด้วยขนนกสีขาวสะอาด ทั้งรัดเกล้าเงินยวงที่สวมอยู่เหนือเศียรล้วนมีลายประณีตงดงาม ไหนจะสร้อยพระศอหลายเส้นที่ทอดยาวมากลางหว่างอุระ ยังมิรวมถึงกำไลกรอยีกข้างละห้าวงที่ประดับพลอยรัตนะสวมสมฐานะ นางเดินออกมาจากหลังม่านที่อยู่มิไกล ใบหน้านั้นงดงามดังสาวแรกรุ่นมิผิดจากที่เกล็ดมณีคิดไว้ อีกทั้งทรวดทรงองเอวของนางนั้นแสนเย้ายวน ใบหน้างามพริ้มนี้หาได้ยากยิ่งในชาววิหค ทั้งกิริยามารยาทก็สวยสมดั่งถูกอบรมมาเป็นอย่างดี
“ถวายพระพรองค์วิหรุต…” นางโค้งศีรษะลงอย่างนอบน้อม ทั้งน้ำเสียงนั้นใสกังวานพิเราะยิ่งเท่าที่เกล็ดมณีเคยพานพบชาววิหค “ถวายพระพรพระนาง”
“ไม่ต้องมากพิธี…” วิหรุตปล่อยมือจากการเกาะกุมมือข้างหนึ่งของเกล็ดมณี แล้วตรงเข้าหากินรีผู้นั้นแทบจะทันใดที่นางหยัดกายตรงดังเดิม “เจ้าช่างงดงามเสียจริง”
การที่ได้เห็นพระสวามีชื่นชมหญิงอื่นนอกจากตนล้วนแล้วแต่ต้องรู้สึกชอกช้ำอยู่แล้วเป็นธรรมดา แต่การปล่อยมือของเขาอย่างมิลังเล เพื่อตรงเข้าสตรีผู้ที่พึ่งได้พบใหม่เช่นนี้ นางกลับรู้สึกชอกช้ำมากไปอีก
“ข้าจะพานางกลับไปฉิมพลี” เขาเอ่ยทั้งๆ ที่ไม่เหลียวมามองเกล็ดมณีเลยด้วยซ้ำ
“เพคะ” นางตอบเสียงแผ่ว
วิหรุตโอบอุ้มศรีวิตรีขึ้นแนบอก ใบหน้าหญิงสาวถึงแม้จะฉายแววตระหนกออกมาบ้าง แต่ก็มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาเพื่อปฏิเสธ เมื่อวิหรุตกลับสู่ร่างครุฑปรากฏเส้นขนสีแดงชาดเหลือบทองห่อหุ้ม สยายปีกออกกว้าสร้างกระแสลมแรง แล้วทะยานจากท้องพระโรงออกสู่กลางเวหา ลอยล่องหายไปในพริบตา ทิ้งไว้เพียงนาคีที่ยืนนิ่งทอดมองไปโดยมิพบเป้าหมายที่ชำเลืองแล
“โธ่!! ลูกแม่”
กินรีทรุดกายลงกับพื้นศิลาเย็น เกล้ดมณีรีบตรงเข้าพยุงนางเอาไว้เพื่อมิให้เป็นอันตรายอันใด ใบหน้านั้นเปื้อนด้วยคราบน้ำตา แม้แต่กินนรผู้ที่จำใจมอบบุตรีอันเป็นที่รักให้กับวิหรุตเอง ก็มิอาจปิดกลั้นความอ่อนแอนี้เอาไว้ได้
“ข้าฝากฝังพระนาง…” กินรีผู้เป็นมารดาเอื้อนเอ่ยทั้งน้ำตา “โปรดดูแลนางด้วย”
“ข้ามิใช่ชายาเอกแห่งองค์วิหรุตหรอกนะ”
“ท่านว่ากะไรนะ…” กินรีนางนั้นต่างตระหนกในสิ่งที่ได้ยิน “ไยทั่วทั้งเมืองแมนต่างว่าองค์วิหรุตทรงเสกสมรสกับท่านเพราะยุติสงครามครุฑนาคกันเล่า”
“ท่านลุกขึ้นก่อนเถิด…” เมื่อเกล็ดมณีออกแรงพยุงช่วยให้ร่างนั้นลุกขึ้นยืนทรงตัวเองได้ จึงพานางไปนั่งยังตั่งทองที่อยู่ใกล้ๆ โดยมีกินนรคู่ชีวิตของนางตามประคองเคียงคู่มิห่าง “การสมรสของข้ากับองค์วิหรุตแน่นอนเพื่อยุติสงคราม แต่พระองค์ต่างก็มีชายาอยู่ก่อนแล้วถึงหนึ่งคน”
“นั่นแสดงว่า องค์วิหรุตทรงเป็นบุรุษที่มากด้วยสตรีเช่นนั้นหรือ”
“ท่านเข้าใจมิผิดหรอก”
กินรีร่ำไห้แทบขาดใจเมื่อทราบถึงสิ่งที่อาจส่งผลต่อบุตรีของนางในภายหลัง เรื่องของตัณหาเหล่านี้ พวกนางมีอาบน้ำร้อนมาก่อนต่างรู้ดี เพราะเมื่อใดก็ตามท่บุรุษมิลุ่มหลงในตัวตรีนางใด นางมักจะต้องโดดเดี่ยวเพียงผู้เดียวในวิมานนั้น หรือสิ่งที่น่าเศร้ายิ่งกว่า คือนางอาจกลายเป็นสิ่งไร้ค่าสำหรับเขา
“หากเทียบกันแล้ว บารมีของท่านถือว่าสูงกว่าศรีวิตรีมากนัก…” กินนรเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พยายามฝืนน้ำตาเอาไว้มิให้ผู้ใดได้เห็น “ได้โปรด เอ็นดูนางด้วยเถิด”
“ข้าจักดูแลนางเท่าที่ข้าทำได้”
“กินนรและกินรีจากหัวเมืองทางทักษิณเป็นหนีบุญคุณท่านแล้ว”
เกล็ดมณีพยักหน้ารับด้วยความจำใจ โดยส่วนตัวของนางเองนั้นก็มิค่อยลงรอยกับยูงทองนางนั้นเสียเท่าไหร่ การที่วิหรุตได้ครอบครองนางกินรีแสนงดงามไปอีกหนึ่งนาง เกล็ดมณีเองก็มิอาจรู้ได้ว่าจักเกิดเรื่องยุ่งยากใดขึ้นมาอีก
“ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน”
“ขอบพระทัย” กินรียังมิอาจห้ามน้ำตาได้ขณะที่บอกลา
เกล็ดมณีเดินทางจากหัวเมืองทางทักษิณของชาวกินนรหมายกลับฉิมพลี แต่นางเองมิได้มีวิชาเหินเวหาสุดแข็งแกร่งเหมือนชาวครุฑ นางจึงตรงสู่โขดหินใหญ่ข้างสระน้ำเลื่องชื่อของชาวหิมพานต์เพื่อพักอิริยาบถเพียงครู่
“อโนดาตแห่งนี้ช่างสดชื่นเสียจริง…” อาจเป็นเพียงบนฉิมพลี มิมีสระขนาดใหญ่เช่นที่แห่งนี้ เหล่ามัจฉาฝูงหนึ่งแหวกว่ายขึ้นมาเหนือผิวน้ำเพราะสัมผัสได้ถึงกระแสทิพย์แห่งวารีในกายของนาง พวกเขาต่างมาต้อนรับด้วยความยินดี ที่องค์หญิงแห่งวังบาดาลได้เสด็จมา “พวกเจ้าเองก็คงมีความสุขมิใช่น้อยใช่หรือไม่”
นางเอื้อมมือไปลูบหัวของมัจฉาตัวหนึ่งที่มีรูปลักษณ์ช่วงหัวมิต่างจากมังกร ช่วงลางทอดยาวเป็นปลาขนาดใหญ่ แต่ก่อนที่จะได้เอ่ยสิ่งใดมากไปกว่าการทักทาย เหล่ามัจฉาต่างกระโดดเซ็นแซ่คล้ายหวาดผวา แหวกว่ายลงสู่ก้นบึ้งแห่งอโนดาตทันควันที่กระแสลมแรงพัดผืนน้ำจนเกิดเกลียวคลื่น เกล็ดมณีมิได้ไหวติงกับกระแสลมนั้น นางจับจ้องไปยังต้นตอของกระแสลมแรง พลันปรากฏครุฑตนหนึ่งเจ้าของเรือนขนสีนิลกาฬทั้งร่าง
“ท่าน…”
ครุฑหนุ่มโฉบลงมาใกล้ๆ กับนาคี นางถอยออกห่างสองสามก้าว พลันร่างนั้นกลับสู่ร่างทิพย์นางกลับพบว่าเขาช่างคุ้นตายิ่งนัก
“ขออภัยที่ทำให้เจ้าตกใจ…” น้ำเสียงนั้นเอ่ยด้วยความเหน็ดเหนื่อย ทั้งรูปลักษณ์และท่วงท่ามิต่างจากบุรุษที่ป่วยไข้อยู่ก่อนแล้ว “ไยเจ้ามาอยู่ที่อโนดาตแห่งนี้ มิกลับฉิมพลีกันเล่า”
“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่ฉิมพลี”
“ข้าคือวิสุระ…” ชายแปลกหน้าเอ่ยแนะนำตน เกล็ดมณีรู้สึกคุ้นเคยในใบหน้านี้อยู่บ้าง หากแต่คิดเท่าใดก็คิดมิออก ว่าเขาช่างคล้ายคลึงกับผู้ใด จวบจนเจ้าตัวเป็นผู้ไขข้อสงสัยให้นางเอง “ข้าคือเชษฐา ที่เกิดจากมารดานอกสมรสของพระบิดาแห่งองค์วิหรุต”
“ข้าขออภัยด้วยที่เสียมารยาทต่อท่าน”
“มิต้องมากความหรอก…” ใบหน้านั้นเปี่ยมไปด้วยความเอ็นดู ก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นป้องปากพร้อมทั้งกระแอมไอออกมาสองสามครั้ง “เดิมทีมารดาของข้าก็มิได้สมรสกับเสด็จพ่ออย่างถูกต้องตามประเพณี ข้ามิอาจนับว่าเป็นเชษฐาขององค์วิหรุตได้ด้วยซ้ำ ยังคงดีที่ญาติผู้น้องของข้าผู้นี้มิได้ถือองค์ขนาดนั้น”
“เป็นโชคของพระองค์ ที่ทรงได้รับความเมตตา”
“เจ้าดูกังวลใจ…” วิสุระเอ่ยพลางเดินมายืนใกล้ๆ กับร่างบาง ที่บัดนี้จับจ้องไปที่ผิวน้ำของสระอโนดาตที่ไหวเพื่อม เล่นแสงแห่งสุริยาทิตย์จนกลายเป็นคลื่นทองคำ “อย่างไรวิหรุตก็เป็นชาย การมีชายามากกว่าหนึ่งมิใช่เรื่องแปลกแห่งฉิมพลี เจ้าอาจจะรับเรื่องนี้มิได้”
“หม่อมฉันเองก็พยายามคิดเช่นนั้นเพคะ เพียงแต่…”
“เพียงแต่วิหรุตมิได้อ้างแรมกับเจ้า” วิสุระช่วยตัดบทให้กับคำพูดของนางที่ทิ้งท้ายไปด้วยความปวดร้าว
“พระองค์ทรงทราบ”
“จะอย่างไรวิหรุตก็เป็นราชาแห่งชาววิหค…” วิสุระหันมาแย้มสรวลเอ็นดูต่อเกล็ดมณีมิต่างจากว่านางเป็นพี่น้องร่วมอุทธรที่คลานตามกันออกมา “การจะให้เขาร่วมสมสู่กับนาคาเกรงว่าอาจต้องใช้เวลาเสียหน่อย หากเจ้าครองพรหมจรรย์รอเขาได้ ข้าเองก็หมายจะได้อุ้มหลานก่อนสิ้นชีวิตสักคราว”
“ไยพระองค์ตรัสเช่นนั้นเล่าเพคะ”
“มารดาของข้าป่วยตั้งแต่เด็ก พอให้กำเนิดข้านางก็สิ้นใจ ส่งผลให้ข้าป่วยไข้มาแต่เด็ก ร่างกายมิแข็งแรง จึงต้องเก็บตัวอยู่แต่ในวิมาน จักมีชีวิตอยู่อีกได้นานเท่าใดก็มิรู้ได้”
“หม่อมฉันขอให้พระองค์มีพระพลานามัยที่แข็งแรงตลอดไปเพคะ”
“อโนดาตแห่งนี้อากาศดียิ่งนัก…” เป็นวิสุระเองที่เปลี่ยนการสนทนา เขาทอดมองไปยังเกลียวคลื่นสีทองเหนือสระอโนดาตอย่างใจเย็น พลันตวัดมือไปมาจนเกิดกระแสลมเย็นพัดพาน “เจ้ากลับสู่ฉิมพลีก่อนข้าเสียเถิด หากพิลาสมยุรามาเห็นเข้า นางจักหาเรื่องทำให้วิหรุตคลางแคลงใจเจ้าได้”
“เพคะ”
เกล็ดมณีโค้งคำนับเล็กน้อย ก่อนจะหายตัวเพื่อกลับสู่ฉิมพลี ในใจต่างครุ่นคิดถึงความรอบคอบของวิสุระ นางมิเคยรู้มาก่อนว่าองค์วิหรุตทรงมีพระเชษฐานอกสมรส แต่พอนางได้รู้จักเขา นางกลับพบว่าเขามีสายตากว้างไกล และดูมีความน่านับถือมากกว่าองค์วิหรุตเสียด้วยซ้ำ
ขนาดองค์วิสุระยังมองออกว่ายูงทองนางนั้นร้ายกาจเพียงใด ไยองค์วิหรุตจักมิทราบเล่า…
เมื่อมาถึงฉิมพลี มิวายต้องพบกับนาคีรับใช้ที่คอยอยู่นอกวิมาน ใบหน้าของนางดูรีบร้อนและเป็นกังวล เมื่อร่างของเกล็ดมณีปรากฏที่ทางเดินในอุทยานหน้าวิมาน ธารทิพย์จึงรีบตรงเข้ามาหานางทันที
“มีเรื่องอันใด”
“แย่แล้วเพคะ พิลาสมยุราอยู่ด้านในวิมานขององค์หญิงเพคะ”
เกล็ดมณีมิได้มีทีท่าเดือดร้อน นางสาวเท้าเข้าไปในวิมานคล้ายมิได้เดือดร้อนกับการมาเยือนของชายาเอกที่มักกีดกันสวามีมิให้มาพัวพันกับนาง
ภายในมีกินรีรับใช้กว่าสิบนางที่ตามมา พวกนางต่างยืนเรียงแถวกันสองฟากฝั่ง งั่งละห้านาง มีพิลาสมยุราในอาภรณ์สีทองอร่ามนั่งอยู่ในที่ประทับของกึ่งกลางห้องโถง ซึ่งเดิมทีผู้ที่จะประทับตรงนั้นได้มีเพียงเกล็ดมหณี หรือองค์วิหรุตเท่านั้น
ทำแบบนี้คิดจะหยามข้าหรือไง…
แต่ด้วยพระทัยที่เย็นเยียบดุจสายน้ำแห่งเกษียรสมุทรเบื้องลึก นางจึงมิได้กล่าวสิ่งใดออกมา ทอดมองไปโดยรอบคล้ายจับผิด ก่อนเผยรอยยิ้มขำขันจนเก็บอาการมิอยู่
“เจ้าดูอารมณ์ดีจนผิดปกติด้วยเหตุอันใด” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มมิต่างจากผู้เป็นใหญ่วางมาดข่มเหงผู้น้อย
“เปล่าหรอก ข้าก็แค่เห็นว่าวันนี้อากาศดี ไยเจ้ามิไปเดินเล่นกับเสด็จพี่กันเล่า”
“พระองค์ทรงงานหนัก ข้าแค่ต้องการให้พระองค์พักผ่อนวรกาย จึงมาเยี่ยมเจ้าที่วิมานโดดเดี่ยวแห่งนี้…” ในน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ท่วงท่าของนางก็มิต่างจากยูงทองที่พองขนอวดให้ผู้อื่นเชยชมอย่างทระนง เพียงแต่นาคีตรงหน้ากำลังส่ายหน้าไปมาจนนางยอมมิได้ จึงต้องกล่าวทับถมเพิ่มขึ้นไปอีก “ยามราตรีกาลของราตรีช่างเหน็บหนาว แต่ยังดีที่ข้าหนาวเนื้อกลับได้ห่มเนื้อ แล้วเจ้าเล่า แพรไหมของฉิมพลีสามารถสร้างความอบอุ่นของเจ้าได้หรือไม่”
“เจ้าว่าเจ้าให้เสด็จพี่ทรงพักผ่อนพระวรกายเช่นนั้นหรือ”
“แหม!! นี่เสียใจจนตอบข้ามิได้เช่นนั้นหรือ ไยจึงเปลี่ยนเรื่องกันเล่า”
เกล็ดมณีพิเคราะห์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าตรู่ องค์วิหรุตมาหานางแล้วบอกว่าพิลาสมยุราไม่สบาย จึงวานให้นางไปรับศรีวิตรีมาเป็นชายาร่วมกับเขา ไยตอนนี่นางกลับทำเป็นทองมิรู้ร้อน และกลับบอกว่าปล่อยให้วิหรุตได้พักผ่อนวรกาย
เจ้าถูกเสด็จพี่หลอกเข้าให้แล้ว…
เมื่อคิดได้นางจึงกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้มิอยู่ ทีท่าขบขันของนางยิ่งทำให้ยูงทองรู้สึกคับแค้นใจเพิ่มมากขึ้นจนปัดถ้วยน้ำค้างจากยอดไม้ตกลงพื้นเสียงดัง
“เจ้าเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร”
“เจ้านั่นแหละที่เสียสติ…” เกล็ดมณีส่ายหน้า รอยยิ้มของนางในบัดนี้มิต่างจากผู้มีชัยชนะที่เหนือกว่าคนตรงหน้า ซึ่งถูกชายที่หวงแหนหลอกลวงเสียจนหมดเปลือก “เสด็จพี่บอกเจ้าเช่นนั้นหรือว่าจะทรงพักผ่อนพระวรกาย”
“ใช่ พระองค์ทรงบอกข้าทั้งราตรีที่ยาวนาน” นางยังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระเซ้าเหย้าแหย่มิหยุดหย่อน
“ถ้าเช่นนั้น ข้าก็จะขอพูดกับเจ้า เผื่อเจ้าจะได้หันไปสนใจเรื่องของเสด็จพี่ให้มากกว่าเรื่องบนเตียง”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“เมื่อเช้าที่ผ่านมา เสด็จพี่มาพบข้าที่นี่แล้วตรัสว่าเจ้ามิค่อยสบายจึงให้ข้าไปเป็นธุระกับพระองค์ รับองค์หญิงกินรีจากหัวเมืองทางทักษิณมาเป็นชายาอีกคน”
“ไม่จริง เจ้าโกหกข้า” ยูงทองตวาดลั่น ความลนลานแสดงออกชัดเจนทั้งทางสีหน้าและท่าทาง
“ข้าจะปดเจ้าไปไยเล่า…” เกล็ดมณีหันไปเอ่ยกับนาคีรับใช้ นางเองจึงรีบพยักหน้ารับเพื่อยืนยันในสิ่งที่นายเหนือหัวพูด ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจริง “แต่ไหนแต่ไร ข้าก็มิใช่ที่โปรดปรานแห่งองค์วิหรุตอยู่แล้ว การที่พระองค์ไปรับนางกินรีมาเป็นชายาเพิ่มอีกนาง ข้าก็มิได้ขัดเคือง มีแต่เจ้านั่นแหละที่ต้องระวัง”
“ข้าทำไม” นางเค้นเสียงถาม
“ศรีวิตรีทั้งสาว ทั้งสง่างาม เจ้าคิดว่าองค์วิหรุตจะไม่โปรดปรานเช่นนั้นหรือ”
เกล็ดมณีมองเห็นว่าพิลาสมยุรากำหมัดแน่นด้วยความแค้นเคือง นางลุกจากที่ประทับพลันกระแทกเท้าปึงปังออกไปจากวิมานนาคีทันที
หยาดน้ำตาใสไหลรินออกมาจากเนตรขวา ทั้งอัดอั้นตันใจที่ถูกทับถม ทั้งชอกช้ำระกำใจที่สวามีมักมากในสตรีอื่น แต่อย่างไรนางก็เป็นเพียงชายารอง มิใช่ชายาเอก นางจักไปมีสิทธิ์อันใดในวรกายเย้ายวนนั้นแต่แรกเล่า เดิมที นางก็เป็นแค่ตัวหมากตัวหนึ่งในกระดานของการศึกครานี้ เพียงเพื่อล้มกระดานนั้นให้หมากตัวอื่นมิอาจเดินต่อได้ นางจึงต้องยอมใช้ตัวเองเป็นตัวล่ะเพื่อควบคุมสถานการณ์
“องค์หญิงทรงเป็นเช่นไรบ้างเพคะ”
“ข้ามิเป็นไรธารทิพย์…” รีบยกมือเรียวงามปาดน้ำตาออกในทันที “ไม่ว่านางจะพูดอย่างไร ก็มิอาจทำให้ข้าล่าถอยไปได้ไปได้หรอก”
“เพคะ”
เกล็ดมณีภาวณาท่ามกลางความเย็นเยียบเงียบงัน ความเย็นจากอากาศยามตรีท่ามกลางหิมพานต์เช่นนี้ มิอาจทำให้นางสะท้านได้ เพียงก่อนหน้านี้ที่วิมานฉิมพลี นางหนาวเหน็บกว่านี้มามิรู้ตั้งเท่าไหร่ ทั้งเจ็บปวดและรวดร้าว หากเป็นเมื่อก่อนเมื่อความทรงจำเหล่านี้ย้อนเข้ามาในห้วงความคิด นางมักจะกรรแสงออกมาโดยมิรู้ตัว แต่แล้วคราวนี้ นางกลับรู้สึกนิ่งงัน มิต่างจากความทรงจำเหล่านั้นล้วนแต่เป็นเพียงละครบทหนึ่ง
แปลกจริง ไยอัสสุชลข้ามิไหลออกมา…
เหตุการณ์ที่หวนรำลึกนั้น ต่างเป็นเรื่องราวแสนเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับนาง ภาพความทรงจำเหล่านั้นล้วนเกิดขึ้นท่ามกลางความมืดมนในห้วงความคิด เกล็ดมณีปล่อยให้ความทรงจำร้ายๆ ไหลเข้ามาเรื่อยๆ นางเพียงเพ่งมองความเจ็บปวดที่อยู่ภายในจิตใจของตน พิเคราะห์ถึงต้นตอแห่งความเจ็บปวดเหล่านั้น จนในท้ายที่สุด สิ่งที่แทรกเข้ามาในห้วงความคิดกลับทำให้ความเจ็บปวดเหล่านั้นค่อยมลายไป
‘มิใช่มาเพียงเพื่ออยากพบหน้าข้าหรอกหรือ…’ น้ำเสียงทุ้มนุ่มของอนิลยามเมื่อครั้นที่นางไปพบเขาที่ลานสักการะพระจุฬามณีเจดีย์พลันแทรกเข้ามา ‘ข้าชอบถุงผ้าใบนี้มาก’
ภาพของอนิลที่ยกถุงผ้าขึ้นชิดจมูก ดอมดมมันที่เป็นแค่ถุงผ้าธรรมดา แต่เขากลับสูดดมมิต่างจากมันมีกลิ่นหอมหวนแสนเย้ายวน ทั้งดวงหน้าหล่อเหลา ทั้งกิริยาที่แสดงออกชัดเจนว่ามีใจให้นาง ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เข้ามาแทนที่ความทรงจำเลวร้ายเหล่านั้นจนนางเองเริ่มหมายจะยอมจำนวนต่อความรู้สึกที่ตนปิดกันมาหลายร้อยปี
หรือข้า พร้อมที่จะเริ่มต้นเปิดใจ…
นางหวนคำนึงถึงความทรงจำแสนเลวร้ายขึ้นมาอีกครั้ง แต่สิ่งที่นางได้รับกลับเป็นรอยยิ้มซุกซนของอนิลคราเมื่อบีบบังคับให้นางรับถุงหอมของตนไว้ อาจจะดูเป็นการบีบบบังคับไปบ้าง แต่เมื่อคำนึงถึงยามใด นางก็เผลอแย้มสรวลออกมาเองโดยมิรู้ตัว ครั้นเมื่อสุรเสียงที่เขาเอื้อนเอ่ยดังกังวานในโสตประสาท นางกลับรู้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านเข้ามาภายในอย่างไร้ทิศทาง
ความทรงจำเหล่านั้น มิอาจทำให้ข้าเสียใจได้อีกต่อไป…
เกล็ดมณีลืมตาตื่นจากห้วงสมาธิมิใช่เพราะความฟุ้งซ่านในห้วงความคิดที่ตีกันยุ่งเหยิง หากแต่เป็นเสียงขับขานของวิหคในหิมพานต์ ที่ร้องบรรเลงรับแสงอรุณ หมอกจางโดยรอบค่อยมลายไปอย่างเชื่องช้า หิงห้อยนับร้อยที่เคยปรากฏยามราตรีมิมีให้เห็น ต่างหลีกหนีการทำหน้าที่ของตนเพื่อพักผ่อน กลิ่นหอมจากดอกบัวสุวรรณพรรณรายถูกลมรำเพยมาแตะปลายจมูก การเข้าสมาธิครานี้เหมือนจะเป็นคราที่เกล็ดมณีปล่อยวางได้มากที่สุดตลอดหลายร้อยปีมานี้
ปล่อยวาง…
นางขยับกายเชื่อช้าแล้วจึงลุกขึ้นหยัดกายตรง ทอดมองท้องฟ้าทาบทาแสงสุวรรณ เพื่อการเริ่มต้นวันใหม่อีกครา การบำเพ็ญเพียรตลอดเจ็ดร้อยปีมานี้ มิต่างจากงมเข็มในมหาสมุทร นางยังคงหวนรำลึกถึงความทรงจำแสนเจ็บปวดเหล่านั้นทุกเมื่อเชื่อวัน
ข้ายึดมั่น ถือมั่นในความเจ็บปวดเหล่านั้นนี่เอง…
การได้พบกับอนิลในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงมิถึงเดือนมานี้ สามารถทำให้นางรับรู้ได้ถึงความจริงใจแสนบริสุทธิ์ที่เขามอบให้ มันจึงเข้ามาแทนที่ความทรงจำเหล่านั้นได้โดยที่นางมิได้นำเขาเข้ามาเพียงเพื่อต้องการลืมสิ่งใด
“ข้าถูกปลดเปลื้องจากพันธนาการนั้นแล้ว”
เป็นจริงดังนางว่า…
นางมิได้ถูกผูกด้วยบ่วงกรรมแห่งวิหรุตอีกต่อไป…