4.
โชคชะตา (2/2)
“องค์หญิงเพคะ...” ธารทิพย์เอาแต่ตามติดนายเหนือหัวจนนางมิมีสมาธิในการบำเพ็ญเพียร หลายวันมานี้นางเอาแต่ตั้งคำถาม แต่กลับเป็นคำถามที่ทำให้เกล็ดมณียากที่จะให้คำตอบได้ “เหตุใดมิตอบหม่อมฉันเล่าเพคะ”
“ที่ข้ามิตอบ เป็นเพราะข้ามิรู้ว่าเจ้าพูดถึงสิ่งใด”
“องค์หญิง...” ธารทิพย์หรี่ตามองผู้เป็นนายที่กำลังนั่งเสวยน้ำหวานจากเกสรบัวสุวรรณพรรณรายอย่างรื่นรมย์ ทั้งพักตร์ที่สดใส และรอยยิ้มที่แสดงออกชัดเจนถึงความสุขจากภายในเบื้องลึกของดวงหทัย ยิ่งทำให้คำถามที่ค้างคาใจนาคีรับใช้คล้ายถูกตอบแล้วในอากัปกิริยานั้นของนาง “หม่อมฉันเห็นมากับตาว่าองค์อนิลถือดอกบัวสุวรรณพรรณรายไปสักการะพระจุฬามณีเจดีย์ และดอกบัวสุวรรณพรรณรายนั้นมีแค่ที่สระลึกลับแห่งนี้แห่งเดียวที่ผลิดอกสะพรั่ง จะให้หม่อมฉันคิดอย่างไรเล่าเพคะ”
“หลายวันมานี้เจ้าจักมิหยุดถาม หากมิได้คำตอบใช่หรือไม่”
“เพคะ” นางเผยยิ้มจนเห็นฟันขาวทั้งสามสิบสองซี่
“เห้อ!! ข้าควรทำอย่างไรกับเจ้าดี”
“โธ่!! พระนางก็แค่ตรัสกับหม่อมฉันตามตรงก็เท่านั้นเองเพคะ”
“หากข้าพูดออกไปแล้ว เจ้าจักหยุดสงสัยหรือไม่”
“เพคะ”
“อนิลพบสระบัวลึกลับ...” เกล็ดมณีเริ่มเอ่ย นั่นทำให้ธารทิพย์ที่ตั้งข้อสงสัยเมื่อครู่นั่งพับเพียบเรียบร้อยเพื่อรอฟัง มิต่างจากเด็กทารกตั้งใจฟังนิทานกล่อมนอน “ข้าเองก็มิรู้เหมือนกันว่าเหตุใดเขาจึงลงมาที่นี่ได้ ตอนนั้นข้าเข้าสมาธิในดอกบัวสุวรรณพรรณรายไปแล้ว แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงกระแสวายุกลางเวหา ข้าจึงตื่นจากสมาธิและออกไปเบื้องนอกดอกบัว ก็พบว่าเขาพาข้าโบยบินไปจนถึงอโนดาตแล้ว”
“เช่นนั้นที่องค์หญิงทรงเปียกปอนกลับมาเป็นเพราะองค์อนิลพาพระนางตกน้ำหรือเพคะ”
“เปล่าหรอก...” เกล็ดมณีส่งยิ้มอย่างขำขัน เมื่อใบหน้างามของนาคีรับใช้เริ่มแดงก่ำ แถมบึ้งตึงเพราะโมโหครุฑแปลกหน้าที่ถูกกล่าวถึง “เขาพาข้ามาสนทนาข้างอโนดาต และมอบถุงหอมให้ข้าเป็นการแลกเปลี่ยนที่ข้ามอบดอกบัวให้ ส่วนเรื่องที่ข้าเปียกปอน เป็นเพราะกุญชรวารีมันชวนข้าเล่นน้ำก็เท่านั้น”
“มิน่าล่ะ ตอนนั้นเขาถึงสงสัย” ธารทิพย์พึมพำกับตัวเอง
“ใครสงสัยเจ้าหรือ”
“ก็องค์อนิลสิเพคะ ดังที่ข้าได้บอกไปว่าข้าบังเอิญพบพระองค์ที่ไปสักการะพระจุฬามณีเจดีย์ แล้วพระองค์ก็ทรงจำกลิ่นบุปผชาติที่ติดกายข้าไปได้ พระองค์จึงตรัสถามว่าข้าเกี่ยวข้องอันใดกับพระนาง”
“หืม!! นี่เขาร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
“ก็ใช่น่ะสิเพคะ หม่อมฉันด้วยความเป็นห่วงองค์หญิง จึงรีบตรงกลับมาที่สระลึกลับทันทีเลยเพคะ”
“ช่างเขาเถิดธารทิพย์...” ถึงแม้น้ำเสียงหวานจะดูเลื่อนลอยไปบ้าง แต่ถุงหอมที่ได้รับมาจากอนิล เกล็ดมณีกลับเก็บมันไว้มิห่างกายแม้เพียงนาที เหน็บมันไว้ใต้เข็มขัดเงินตลอดเวลาจนบัดนี้กลิ่นหอมของบุปผชาติเหล่านั้นกลายเป็นกลิ่นประจำกายของนางไปเสียแล้ว “เราก็อยู่ส่วนเรา หากวาสนาต้องกัน เดี๋ยวเขาก็กลับมาอีกเป็นแน่”
“องค์หญิงพูดเหมือนกับว่า พระนางมีชะตาต้องกันกับองค์อนิลเช่นนั้นแหละเพคะ”
“ข้าเปล่า” เป็นการปฏิเสธที่สร้างรอยยิ้มให้กับธารทิพย์ได้มิใช่น้อย นั่นเพราะแก้มใสกลับซับสีแดงระเรื่อขึ้นมาในทันทีที่ตนปฏิเสธ
ข้ามิเห็นรอยยิ้มเช่นนี้จากพักตร์ขององค์หญิงมานานเพียงใดแล้ว ดูเหมือนว่าเพลานี้ ความทุกข์พลันค่อยทยอยมลายไปบ้างแล้วเป็นแน่...
เกล็ดมณีในยามนี้รู้ดีว่าตนมีความสุขจนผิดแผกไปจากเดิม ทำไมตลอดเจ็ดร้อยปีมานี้ การบำเพ็ญเพียรมิช่วยให้นางลืมเรื่องราวร้ายๆ ที่เกิดขึ้นในฉิมพลีลงได้ เพียงแต่การได้พบกันคราเดียวระหว่างนางกับอนิล นางกลับรู้สึกว่าความทรงจำร้ายๆ ระหว่างนางกับวิหรุตกลับไม่อาจทำร้ายนางได้อีกต่อไป
เมื่ออยู่ๆ นางก็ยกมือขึ้นทาบหัวใจของตนจนทำให้ธารทิพย์แปลกใจ แต่เมื่อสังเกตดีๆ กลับพบว่าบัดนี้พักตร์ที่มักแสดงความเรียบเฉยกลับเผยยิ้มละไม มิต่างจากสาวงามยามพบบุรุษแรกรัก นั่นจึงทำให้ธารทิพย์ขยับกายออกห่าง ปล่อยให้องค์หญิงของนางได้เสพสุขกับห้วงความคิดแห่งความคิดถึงเสียบ้าง
หรือข้าควรไปสักการะพระจุฬามณีเจดีย์บนดาวดึงส์บ้าง...
เกล็ดมณีวางช้อนที่ใช้ตักน้ำหวานจากเกสรดอกบัวลงบนจานรองทองเหลืองแผ่วเบา ก่อนลุกจากที่ประทับตรงไปยังด้านนอกห้อง ผ่านโถงทางเดินก่อนออกไปยังนอกวิมาน นาคีรับใช้ที่กำลังเดินดูดอกบัวอยู่ภายนอกรีบตรงเข้ามาหานางทันทีที่เห็นว่านางกำลังจะออกจากวิมาน
“องค์หญิงจะเสด็จแห่งใดหรือเพคะ”
“พรุ่งนี้เจ้าช่วยเตรียมดอกบัวสุวรรณพรรณรายให้ข้าทีนะ”
“เอ๋!! องค์หญิงจะนำดอกบัวไปแห่งใดหรือเพคะ”
“ข้าว่า ข้าควรไปสักการะพระจุฬามณีเจดีย์สักครั้งในชีวิต”
“องค์หญิงคิดอย่างไรเพคะ ถึงได้...”
“เอาน่า...” เกล็ดมณีเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย แย้มสรวลด้วยความงามงดจนทำให้ธารทิพย์แปลกใจ แต่รอยยิ้มเช่นนี้ นางก็มิได้เห็นมันบังเกิดบนพักตร์งามขององค์หญิงมาเนิ่นนานแล้ว นางจึงมิขัดสิ่งใดในความปรารถนาที่เกล็ดมณีหมายจะกระทำ “ข้าแค่อยากสั่งสมบุญโดยการสักการะพระจุฬามณีบ้างก็เท่านั้น”
“เพคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้หม่อมฉันจักจัดการให้”
เกล็ดมณีมิได้กล่าวสิ่งใดอีก สาวเท้ากลับเข้าไปในวิมาน มุ่งตรงสู่ห้องบรรทมที่คุ้นเคย นางหยิบเอาถุงหอมที่เหน็บติดเข็มขัดเงินขัดเอวออกมาพิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน ยกมันขึ้นเชยชมพร้อมสูดดมเอากลิ่นหอมนั้นเข้าสู่ปอดแผ่วเบา เพียงสูดดมแม้เพียงน้อย แต่กลิ่นหอมนั้นกำจายออกมาจนผู้สูดชื่นใจเป็นที่สุด ทั้งบำรุงจิตให้ผ่อนคลาย แล้วยังคงทำให้สมองปลอดโปร่งคลายกังวล
เดิมทีเหล่าทิพยาอย่างพวกนาง หากหมายอาภรณ์ใดก็สามารถเนรมิตขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเกล็ดมณีเองก็แปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันที่อยู่ๆ นางกลับอยากเย็บถุงหอมขึ้นมาเองกับมือ มิใช่การเนรมิตขึ้นมาใหม่
ข้าต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ...
ถึงแม้จะคิดเช่นนั้น แต่นางกลับเนรมิตผ้าแพรเนื้อดีขึ้นมาหลากผืน พร้อมทั้งเข็ม ด้าย หรือแม้กระทั่งสดึง ซึ่งตัวนางเองก็มิรู้มาก่อนว่าข้าวของเหล่านี้ใช้การอย่างไรกันแน่ นางรู้เพียงแต่ว่าครั้นเมื่อยามไปเที่ยวเล่นที่โลกมนุษย์สมัยเยาว์วัย นางเคยเห็นมนุษย์ที่เป็นสตรีมักปักผ้าเป็นลวดลายสวยงามเพื่อมอบให้บุรุษที่พวกนางรักไว้ดูต่างหน้า เวลาพวกเขาจะเดินทางไกล หรือแยกกันอาศัย
เมื่อหมายจะมอบมันให้กับอนิล นางจึงลงมือหยิบผ้าแพรสีเงินมาขึงกับสดึงไม้จนแน่น ร้อยไหมสีทองเข้ากับเข็ม และใช้เวลาหลังจากนั้นทั้งราตรีเพื่อปักผ้าแพรผืนนั้นอย่างตั้งใจ
มิรู้ว่าเวลาเดินไปนานเนิ่นเพียงไร แต่ตอนนี้เกล็ดมณีพบว่านางเองก็มีฝีมือในการเย็บปักถักร้อยที่ดีทีเดียว นางตัดเย็บถุงผ้าสำหรับใส่บุปผชาติขึ้นมาหนึ่งถุงด้วยฝีมือแสนประณีต พร้อมทั้งปักลวดลายบัวสุวรรณขึ้นมาแสนวิจิตร ยิ่งเชยชมก็ยิ่งภาคภูมิใจในฝีมือที่เหล่าทิพยมิค่อยกระทำกันแบบนี้ ทุกฝีเข็มที่เย็บลงไป นางล้วนคำนึงถึงเพียงใบหน้าเปี่ยมสุขของผู้ที่ได้รับ จึงทำให้ใบหน้างามอดแย้มสรวลมิได้
ยามเมื่ออยู่ในวิมานใต้สระลึกลับแห่งนี้ สรรพเสียงโดยรอบมักเงียบสงบ ความมืดเบื้องบนทำให้นางรับรู้ว่าเพลานี้ยังเป็นราตรีกาลแห่งความโดดเดี่ยวเช่นทุกคราว เกล็ดมณีเดินออกมาจากห้องบรรทม ก็พบเข้ากับธารทิพย์ที่นอนหมอบอยู่ด้านหน้าห้องของนาง ความจริงวิมานแห่งนี้มีห้องพักว่างอีกหลายห้องให้จับจอง นางเคยบอกให้นาคีรับใช้ไปหาที่นอนดีๆ พักผ่อน จะได้มิเจ็บปวดร่างกายยามตื่นขึ้นมา แต่หลังจากนางถูกวิหรุตทำร้ายเมื่อครั้นอดีต ธารทิพย์ก็มิอยู่ห่างจากนางอีกเลย
ข้านี่ช่างทำตัวให้เจ้าลำบากเสียจริง...
เดิมทีนางอยากออกไปหาสูดอากาศยามราตรีเสียหน่อย แต่เมื่อพบธารทิพย์นอนเฝ้าที่ด้านนอกเช่นนี้ หากนางย่างเท้าออกไป เกรงว่านาคีรับใช้อาจต้องตื่นจากห้วงฝันขึ้นมาเดินเล่นเป็นเพื่อนตน นางจึงสะบัดมือครั้งหนึ่งเพื่อสร้างแพรหนาขึ้นมาห่มกายนาคีรับใช้เพื่อคลายความหนาว ก่อนที่จะกลับเข้าสู่ห้องบรรทมเพื่อเดินทางสู่ห้วงราตรีกาลของตน
ยามเช้านี้พระสุริยาทิตย์ยังมิทรงฉายแสง เกล็ดมณีก็ลุกขึ้นมาปลุกธารทิพย์เพื่อมาเลือกเฟ้นดอกบัวสุวรรณพรรณรายที่เหมาะสม แล้วตรงสู่ดาวดึงส์ในทันที
ท่ามกลางกระแสวายุเย็นเยียบที่พระพายพัดพาน ผ่านเหล่าเมฆาสะพัดหลากหลาย ก่อนเดินทางมาสู่ดาวดึงส์ที่มีเสียงคีตบรรเลงตลอดเวลา อีกทั้งกลิ่นหอมของเหล่าบุปผาในสวนก็ส่งกลิ่นอบอวลไปจนทั่วทั้งเมืองแมน แต่อย่างไรเสีย กลิ่นบุปผชาติที่ติดกายนางยามนี้กลับมิเป็นสองรองจากกลิ่นบุปผาเหล่านั้น
สวยงามสมคำกล่าวลือจริงๆ...
ถึงแม้ยามนี้ยังมิมีแสงสุริยาสาดส่อง แต่โดยรอบพระจุฬามณีเจดีย์แห่งนี้กลับเรืองรองด้วยแสงสุวรรณเพื่อมอบความสว่างให้ผู้สักการะ มิต่างจากแสนเปลวเทียนที่ทอแสงอร่ามทั่วทั้งพื้นที่ ถึงแม้จะเป็นยามเช้าตรู่เช่นนี้ ต่างก็ยังมีเหล่าเทพยาดา นางฟ้านางสวรรค์ ผลัดเปลี่ยนเวียนวนกันมาสักการะด้วยศรัทธามิขาดสาย
“งดงามมากเลยใช่มั้ยเพคะ”
“เป็นบุญตาของข้าโดยแท้ ที่ให้เจ้าพามาสักการะพระจุฬามณีเจดีย์แห่งนี้”
“เข้าไปข้างในกันเถิดเพคะ”
ท่วงท่าการเดินของสองนาคีนั้นสง่างามในทุกท่วงท่า รวมถึงการวางตนแห่งความสุขสงบ เกล็ดมณีวางมือทับซ้อนกันไว้ด้านหน้าอย่างสำรวม นาคีรับใช้ถือถาดทองเหลือที่ด้านบนมีดอกบัวสุวรรณพรรณรายอยู่สี่กำมือ การห่มอาภรณ์ขาวของทั้งคู่บ่งบอกได้ชัดถึงผู้รักษาอยู่ในศีล จนมิต่างจากผู้บำเพ็ญเดินจงกรมสู่ลานสักการะ เหล่าเทพยาดาที่พบเห็นต่างมีความศรัทธาเลื่อมใส และหลีกหลบให้นาคีทั้งสองถวายเครื่องสักการะก่อนพวกตน
“พวกเขาจับจ้องเราเพราะเหตุใด” เกล็ดมณีที่แย้มยิ้มเหลียวไปเอ่ยกับนาคีรับใช้โดยพลัน เมื่อรับรู้ถึงการถูกจับตามองจากเหล่าเทพยาดาโดยรอบ
“คงเพราะความงามขององค์หญิงกระมังเพคะ”
“ข้าว่ามิใช่หรอกกระมัง”
เกล็ดมณีโค้งสักการะแด่พระจุฬามณีเจดีย์หนึ่งครั้ง ก่อนหันไปหยิบดอกบัวหนึ่งกำวางไว้ที่ถาดเงินด้านซ้าย และอีกกำวางไว้ที่ถาดทองด้านขวา นาคีรับใช้วางดอกบัวของตนตามผู้เป็นนาย ก่อนจะถอยร่นไปสองสามก้าว แล้วทั้งสองจึงก้มกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ถึงสามครั้ง
เกล็ดมณีและธารทิพย์ถอยออกห่างจากลานสักการะ เดินชมสวนไม้กฤษณาที่อยู่โดยรอบ เนื้อไม้ส่งกลิ่นหอมหวนบำรุงจิตยิ่งนัก แถมอากาศยามเช้าเช่นนี้ก็ทำให้นางรู้สึกสดชื่นจนจิตใจปลอดโปร่ง ดาวดึงส์ยังมีเสียงคีตบรรเลงมิหยุดหย่อน ครั้นเมื่อได้ฟังแล้วกลับทำให้รื่นอภิรมย์อย่างบอกมิถูก จนคล้ายกับว่าสวรรค์แดนนี้มิต่างจากสถานที่แห่งความสุข ไร้ซึ่งสิ่งกังวลใดให้หวนคำนึง
“คีตบรรเลงไพเราะยิ่งนักนะเพคะ” นาคีรับใช้กล่าวพลางพยายามชะเง้อหาต้นเสียง
“นั่นน่ะสิ...” เกล็ดมณีเองก็มองหาเช่นกัน หากแต่มิใช่ต้นเสียงของคีตบรรเลงที่นางได้ยิน แต่เป็นร่างสูงโปร่งเจ้าของถุงหอมที่นางพกติดตัวต่างหาก “ข้าก็ว่าเหมือนเจ้า”
ใจจริงการมาสักการะพระจุฬามณีเจดีย์ในครานี้ นางเองมีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนาแต่เดิมอยู่ก่อนแล้ว หากแต่มิเคยได้ออกจากสระบัวลึกลับมาหลายร้อยปี จึงมิได้ย่างกายไปแห่งหนใด ครั้นเมื่อมีโอกาส จึงอยากมาสักการะสักหนเพื่อเป็นบุญวาสนา ส่วนจุดประสงค์รอง ก็คงมิพ้นหมายว่าจะได้พบผู้ที่มอบถุงหอมบุปผชาติให้แก่ตนอีกสักครั้ง หากจะให้นางแบกหน้าไปฉิมพลีเพื่อพบเขา นางคงมิทำแน่
“พวกเรากลับกันเถิด” เกล็ดมณีหันไปหานาคีรับใช้
“เพคะ”
เมื่อมิพบเป้าหมายรองของการเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ เกล็ดมณีก็หมายจะกลับไปบำเพ็ญเพียรต่อที่วิมาน แต่แล้วแสงสุวรรณพลันทาบทาที่เส้นขอบฟ้า พระสุริยาทิตย์ทำหน้าที่มอบความสว่างแก่ทั่วทั้งเมืองแมน สายลมแรงพัดโบกไปทั่วทั้งอาณาบริเวณ ส่งให้กลีบบุปผาปลิวว่อน จนคล้ายกับโปรยปรายลงสู่ผืนพสุธาแห่งดาวดึงส์ เหล่านางฟ้านางสวรรค์โดยรอบพลันเอียงอายกับผู้มาเยือนพร้อมกับแสงสุริยะ
“องค์หญิงเพคะ...” ธารทิพย์สะกิดชายสไบของผู้เป็นนายเล็กน้อย “องค์อนิล”
นางรู้ดีถึงสิ่งที่เห็นแจ้ง เจ้าของเส้นขนสีนิลปลายทองสุวรรณกลับสู่ร่างบุรุษ ห่มอาภรณ์สีครามขับผิวให้ขาวเด่นเป็นสง่า อีกทั้งท่วงท่าสมชาตรีที่สามารถพิชิตใจสตรีหลายนางได้โดยมิต้องเอ่ยปาก พร้อมกับเครื่องสักการะเป็นเหล่าแมกไม้หอมในมือทั้งสองข้าง ที่นำไปวางยังพานเงินพานทองอย่างแคล่วคล่อง
“ข้าเห็นแล้ว”
เกล็ดมณีเอาแต่จับจ้องการหมอบกราบของอนิลทั้งสามครั้ง เมื่อเขาปฏิบัติสิ่งที่หมายมั่นเสร็จสรรพ จึงหันมาสนใจกับต้นตอของกลิ่นหอมที่ทำให้เขากระหยิ่มยิ้มย่อง
“ช่างบังเอิญเสียจริง...” ไวกว่าความคิด คล้ายเขาเคลื่อนกายด้วยจิตที่เพ่งพินิจมาตรงหน้าของเกล็ดมณีอยู่ก่อนแล้ว นางมิได้ขยับหนีแม้เพียงก้าว เห็นจะมีเพียงก็แต่นาคีรับใช้ ที่ตกใจจนยกมือขึ้นทาบอกคล้ายเสียขวัญ “ไยข้าจึงพบเจ้าที่นี่ได้เล่า”
“ข้าแค่มากสักการะพระจุฬามณีเพียงเท่านั้น” เกล็ดมณียกมือไหว้ขึ้นเหนือเศียร
“ไยครานั้นเจ้าบอกว่า หากหมายมาที่นี่ เจ้าจักบอกข้าอย่างไรเล่า”
“มันคนละกรณีกัน”
“คนละกรณีอย่างไร” อนิลตั้งคำถามมิลดละ
เกล็ดมณีระบายลมหายใจออกมา นางย่างเท้าออกเดินจากใต้ร่มกฤษณาโดยมีอนิลเดินตามมามิห่าง ธารทิพย์รู้ดีว่าเวลาเช่นนี้นางต้องคอยดูอยู่ห่างๆ จะเป็นการดี เพราะในใจของนาง ต่างก็หมายให้องค์อนิลผู้นี้เป็นผู้ที่เข้ามาสร้างความทรงจำดีๆ แทนที่ความทรงจำแสนเลวร้ายเหล่านั้นภายในใจขององค์หญิง นางจึงเลือกยอบตัวลงพับเพียงภายใต้ร่มกฤษณานั้น แล้วลอบมองการสนทนาของผู้มีบุญญาทั้งสอง
“เจ้ายังมิตอบข้าเลย ว่าเหตุใดวันนี้ข้าจึงพบเจ้าที่นี่”
“คราก่อนข้าให้ธารทิพย์นำดอกบัวสุวรรณพรรณรายมาสักการะพระจุฬามณีเจดีย์ นางบอกข้าว่าสถานที่แห่งนี้สวยงามจนหาที่เปรียบมิได้...” เกล็ดมณีเอ่ยไป และก้าวเท้าเดินไปมิหยุด “เดิมทีข้าเองที่บำเพ็ญเพียรต่างก็มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา พระจุฬามณีเจดีย์แห่งนี้ ว่ากันว่าเป็นที่ประดิษฐานพระจุฬา พระเมาลี และพระเขี้ยวแก้ว แห่งองค์สมณโคดม ข้าจึงอยากมาสักการะเพื่อเป็นบุญสักครา”
“มิใช่มาเพียงเพื่ออยากพบหน้าข้าหรอกหรือ”
เกล็ดมณีหยุดเดินโดยที่นางเองก็มิรู้ตัว ครั้นเมื่อชำเลืองไปมองผู้ที่เดินตามมิห่าง ทั้งการวางตัวมิเข้าใกล้จนเกินงาม และรอยยิ้มซุกซนที่ส่งมาตลอดการสนทนา สิ่งเหล่านั้นทำให้หทัยของนางเต้นมิเป็นจังหวะ ยิ่งเมื่อใบหน้านั้นยักคิ้วหลิ่วตาประกอบการซักไซ้ นางกลับยิ่งรู้สึกว่าบุรุษตรงหน้าทรงเสน่ห์เย้ายวนจนทำให้นางไหวหวั่น หากจักมิไว้ซึ่งเกียรติแห่งสตรีเพศ นางคงถอยกายไปเคียงข้างกับเขา ซึ่งกิริยามิงามเช่นนั้นคงปล่อยให้เกิดขึ้นเสียมิได้
“เจ้าพูดสิ่งใดออกมา รู้ตัวหรือไม่” นางถามย้ำเพื่ออยากทดสอบว่าเขามิใช่บุรุษที่เอาแต่พูดไปเจื้อยแจ้วเช่นนกแก้วนกขุนทอง
“ข้ารู้ตัวทุกขณะ ทุกย่างก้าว และทุกการกระทำของข้า”
“เจ้า...” เกล็ดมณีมิรู้ว่าควรเอ่ยสิ่งใดออกมา นางจึงคิดได้ว่าเมื่อคืนยอมอดหลับอดนอนเพื่อสิ่งใด นางยื่นมือไปต่อหน้าอนิล แบมือนิ่งๆ เพียงครู่พลันปรากฏถุงผ้าลายบัวสุวรรณที่นางใช้เวลาเย็บปักแทบทั้งคืน ของสิ่งนั้นที่อยู่ในมือคล้ายทอแสงยะยิบ ปะปนด้วยกระแสทิพย์แห่งนาคีที่เป็นผู้สรรค์สร้างกับมือ “รับไปเถิด”
ถึงแม้จะรู้สึกฉงนในท่าทีของเกล็ดมณี แต่อนิลก็ยื่นมือมารับถุงผ้าใบนั้นไปพินิจดูอย่างถี่ถ้วน เขาส่งยิ้มให้มันพลางลอบมองใบหน้าเอียงอายของเกล็ดมณีที่พยายามเก็บกลั้นอารมณ์ไว้
แต่มีหรือที่เขาจักปล่อยผ่าน เมื่อพบสีระเรื่อปรากฏยังแก้มเนียน ที่พยายามฝืนยิ้มเอาไว้ ปกปิดความเขินอายที่จักแสดง จึงกลายเป็นเขาเองที่เผยยิ้มกริ่ม มิต่างจากพึงใจในของที่ได้รับ ถึงมันจะเป็นเพียงถุงผ้าธรรมดา แต่ของสิ่งนี้ก็มิต่างจากของแทนใจที่นางมอบมันให้กับเขาด้วยความสัตย์จริง
“ถุงผ้านี้ข้ามิได้เนรมิตขึ้นมา หากแต่ข้าเย็บมันเองกับมือ และแน่นอน...” เอ่ยทั้งที่เสมองไปอีกทาง เพื่อมิให้อีกฝ่ายจับพิรุธได้ “ดอกบัวสุวรรณที่อยู่ด้านบนนั้น ล้วนเป็นการปักโดยฝีมือทั้งสิ้น”
“ข้าชอบถุงผ้าใบนี้มาก”
“ก็ดีแล้ว...” เกล็ดมณีรู้สึกว่าตอนนี้ในท้องของนางคล้ายมีสิ่งมีชีวิตอื่นกำลังโบยบินอยู่ภายใน แถมดวงหทัยกลับเต้นระรัวมิต่างจากจังหวะกลองศึก ที่ลั่นโครมครามเพื่อเสริมกำลังความฮึกเหิมด้านการออกรบ มันทั้งคึกคะนอง ห้าวหาญ และเต็มเปี่ยมไปด้วยความเดือดดาล “ข้ามิมีฝีมือในการทำบุปผชาติใส่เข้าไปในนั้น ข้าหวังว่าเจ้าจักมิรังเกียจ หากจักนำมันไปบรรจุบุปผชาติเอง”
“ข้ามิรังเกียจหรอกหนา”
อนิลเผยยิ้มที่มุมปากด้วยความดีใจจนออกนอกหน้า เขายกถุงผ้านั้นขึ้นชิดปลายจมูก สูดดมเอากลิ่นกายอ่อนๆ ของเจ้าของเดิมเข้าปอดจนพอใจ การกระทำนั้นของเขาทำให้เกล็ดมณีเริ่มวางตัวลำบาก นางทั้งเขินอาย ทั้งไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นถูกต้องหรือไม่ แต่การที่นางได้มอบถุงผ้าใบนี้แก่เขา มันกลับทำให้นางรู้สึกมีความสุข
“ข้าคงต้องกลับวิมานแล้ว” เกล็ดมณีเดินเลี่ยงเขาออกมาหาธารทิพย์ที่รออยู่
“เดี๋ยวก่อน...” อนิลระบายลมหายใจออกมาเล็กน้อย ใจจริงเขาอยากรั้งนางให้อยู่ต่ออีกหน่อย แต่เขาเองก็รู้ดีว่านางนั้นมีความทะนงในตนพอสมควร เขาจึงเลือกที่จะปล่อยนางกลับไป “ข้าจักเก็บถุงใบนี้ไว้มิให้ห่างกาย”
“พูดเจื้อยแจ้วไปเรื่อย” เอ่ยทั้งที่แก้มนวลเนียนเริ่มซับสีระเรื่อมาจนถึงใบหู
ธารทิพย์ลอบอมยิ้ม มองผู้เป็นนายสลับไปมากับองค์อนิล ก่อนที่เกล็ดมณีจะพานางหายตัวจากดาวดึงส์เพื่อเดินทางกลับมายังสระลึกลับ
กระแสลมเย็นพัดพลิ้ว ครุฑหนุ่มแย้มสรวลก่อนสยายปีกออกกว้าง หอบเอาความเย็นและความหอมของเหล่ามวลบุปผาโบยบินขึ้นกลางเวหาหาว การกระทำเช่นนี้ของนางมิต่างจากการรับสัมพันธไมตรีจากเขา ตอนนี้หัวใจของเขาพองโตจนแทบระเบิดออกจากอกแกร่ง
“ของสิ่งนี้เป็นของแทนใจนางหรือเปล่า…” เขาเพียรคิดในขณะที่จับจ้องถุงผ้าใบนั้น ทุกครั้งที่ขยับปีกร่างนั้นก็พวยพุ่งไปเรื่อยอย่างไรที่สิ้นสุด “ข้าพินิจเจ้ามามากแล้ว ไยเจ้ามิตอบข้ากันเล่า”
เมื่อมิรู้ว่าควรพูดเรื่องนี้กับผู้ใด เขาจึงเพ่งไต่ถามถุงผ้าที่ได้รับมา มิต่างจากหมายให้มันกลายเป็นสิ่งมีชีวิตแล้วตอบคำถามของเขาให้หายคลางแคลงใจ แต่มันกลับมิอาจตอบกลับสิ่งใดได้ ร่างมหึมาจึงถลาร่อนลงสู่เบื้องล่างของหุบเหวลึกยังทักษิณเขตแดนแห่งหิมพานต์ ที่ถูกปกคลุมด้วยความหนาวเหน็บ ทั้งนัยน์ตาซุกซนยังคงจับจ้องถุงผ้าใบนั้นมิวางตา
“ข้ามิรู้ว่านี่เป็นโชคชะตาหรือเปล่า...” อนิลเพ่งพินิจมองถุงผ้าสีเงินที่ได้รับมาใหม่ด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความสุข อย่างที่เขามิเคยเป็นมาก่อน “แต่สำหรับข้า ข้าภาวนาให้เรื่องครานี้เป็นโชคชะตาระหว่างเรา”
เขาเก็บมันสู่ห้วงกระแสทิพย์ก่อนทะยานขึ้นสู่กลางเวหาอีกครา เพื่อหมายเดินทางสู่วิมานแห่งตน ในทิศแห่งฉิมพลีนครา เมืองแมนแห่งเหลาครุฑทั้งปวง
ข้าหมายมีโชคชะตาต้องกับเจ้าหนา…
เกล็ดมณีนาคี…
____________________________
ขอบคุณทุกกำลังใจ และโปรดอย่าปิดกั้นการมองเห็น
สามารถแสดงความคิดเห็น หรือกดให้กำลังใจนักเขียน หรือตัวละครได้นะครับ
#เกล็ดมณีนาคี #อนิลครุฑา
.
สำหรับใครที่อยากให้กำลังใจนักเขียน
สามารกด "ดาว" และ "ดาว" และ "ดาว" เท่านั้น ให้ผมได้เลยน้า ...อิอิ...
พอดียังไม่ได้ติดเหรียญน้า
By.
พงพี