2.
เรื่องที่มิอาจลืม (2/2)
“ลูกจักแต่งเข้าฉิมพลี ตามประสงค์เพคะ”
ร่างบางลุกออกจากที่นั่ง ตรงออกมายังด้านนอกของบาดาล เบื้องล่างนี้มีวิมานที่ถูกสร้างขึ้นใต้น้ำลึก ทั้งปราสาท พระราชวัง ต่างถูกสร้างขึ้นด้วยหินทรายสีชมพูและศิลาแลง ทุกการวางรูปแบบวิจิตรแห่งนคร ผิวหินทุกก้อนประกายสีมรกตจนเหมือนมีตะไคร่เกาะ แต่แท้จริงแล้วนั่นคืออัญมณีแห่งนาคีที่เกิดขึ้นจากกระแสแห่งทิพย์ที่พวกเขาสั่งสมบารมีกันมา เบื้องนอกปราสาทในอุทยานหลวงมีสระบัวที่เลี้ยงปลาบึกหลายตัว แถมในสระบัวก็มีบัวหลากพันธุ์ขึ้นจนเต็มสระ แต่หากขนาดของมันก็มิต่างจากบัวของเมืองมนุษย์เท่าไหร่
เกล็ดมณีเดินไปจนทั่วอุทยานก่อนพำนักลงบนโขดหินใหญ่ข้างสระบัว ปลาบึกในสระต่างแหวกว่ายเข้ามาใกล้เพราะอยากเล่นกับนางอย่างเช่นเคย แต่ครานี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะความมัวหมองกำลังปะทุขึ้นในอก นางมิอาจคิดสนุกใดๆ ได้กับพวกมัน หากจะมีก็เพียงแต่การพยายามกลั้นหยาดน้ำตาเอาไว้เท่านั้น เพียงเพราะมิอยากหลั่งมันออกมาให้ผู้ใดได้ยลในความอ่อนแอแห่งตน
“องค์หญิงเพคะ”
“ธารทิพย์หรอกหรือ...” นาคีรับใช้รีบตรงเข้ามานั่งยังหินก้อนที่อยู่ลดหลั่นลงไปจากผู้เป็นนายเหนือหัว เกล็ดมณีพยายามฝืนกลั้นหยาดน้ำตาเอาไว้ แต่ก็มิอาจทำได้ น้ำตาหยาดใสไหลริบอาบสองข้างแก้มเนียน จนทำให้นาคีรับใช้ที่ได้เห็นถึงกับต้องยกมือขึ้นปิดปากไว้ “ข้ารู้สึกสับสนอย่างบอกมิถูก นี่ข้าต้องจากเสด็จพ่อเสด็จแม่ไปจริงๆ เช่นนั้นหรือ”
“โธ่!! องค์หญิงของหม่อมฉัน”
เกล็ดมณีปล่อยให้หยาดน้ำตาไหลรินออกมาโดยมิปิดกลั้นความรู้สึก ธารทิพย์ด้วยความสงสารผู้เป็นนายจับใจจึงขยับเข้าไปวางศีรษะลงบนตักนั้น พร้อมกับร้องไห้ออกมาด้วยความสงสารนางจับใจ ตลอดการดูแลที่นางมอบให้แด่องค์หญิง นางมิเคยปล่อยให้องค์หญิงของนางต้องเสียน้ำตาด้วยเรื่องใดๆ แถมองค์ภูชาเคนทร์นาคราช หรือองค์บุษปานาคินีก็มิเคยกระทำการใดให้พระนางต้องเจ็บปวดแม้เพียงครั้ง
“ข้าเพียรบอกตัวเองเสมอว่านี่เป็นหน้าที่อันสำคัญ ยามเงยหน้าขึ้นมองเบื้องบนจากบาดาลก็จะเห็นกระแสน้ำเบื้องบนคอยโอบล้อม แต่จากนี้ไปหากข้าเพียรมองหาบาดาล ก็จำเป็นต้องก้มมองแล้วใช่หรือไม่”
“ไม่หรอกเพคะองค์หญิง บาดาลจะทรงอยู่ในพระทัยของพระนางตลอดไปเพคะ”
“ขอบใจเจ้ามากนะธารทิพย์”
“ไม่ว่าองค์หญิงจะเสด็จแห่งหนใด หม่อมฉันจะติดตามพระนางไปมิให้ห่างกายเลยเพคะ”
“ข้าขอบใจเจ้ามาก”
จากหน้าต่างบานหนึ่งของวังบาดาล ภูชาเคนทร์จ้องมองบุตรีที่กรรแสงออกมามิต่างจากความรวดร้าวในอก ส่วนตัวพระองค์เองก็ปวดแปลบมิต่างจากไฟในอุระพร้อมจะทะลักออกมาให้โลหิตพวยพุ่ง การส่งเกล็ดมณีไปครานี้มิต่างจากยื่นเนื้อเข้าปากเสือ แต่พระองค์กลับมีความคิดว่าวิหรุตครุฑาจักมิทำอันใดแก่เกล็ดมณีนาคีให้ถึงแก่ชีวิตเป็นแน่ เพราะอย่างน้อย นางก็เป็นถึงองค์หญิงแห่งวังบาดาล อย่างไร เขาก็ต้องให้เกียรตินางบ้างไม่มากก็น้อย และด้วยศักดิ์แห่งองค์หญิงของนาง นางสมควรที่จะขึ้นเป็นราชินีแห่งฉิมพลีเสียด้วยซ้ำไป
บิดาขอโทษ...
การส่งมอบตัวเจ้าสาวเพื่อเข้าวิวาห์กับราชาครุฑวิหรุตเกิดขึ้นหลังจากการตัดสินใจของภูชาเคนทร์ในอีกไม่กี่ราตรี ที่พื้นทรายขาวสะอาด แถมละเอียดอ่อนมิต่างจากพรมนุ่ม เหนือนทีสีทันดรที่เคยงดงามสุขสงบด้วยสีมหานทีสีน้ำนมที่ควรมีความสุขยามได้เพ่งมอง หากแต่ยามนี้นทีเหล่านั้นกลับคล้ายหยาดน้ำตาจากเผ่านาคที่หลั่งไหลมารวมหลอมรวมจนกลายเป็นธาราแห่งความระทม จนกลับกลายเป็นวันที่แสนเศร้าอาลัยของเหล่าเผ่านาคที่ต้องส่งมอบสตรีงามที่สุดแห่งเผ่าพันธุ์ให้กับเหล่าครุฑได้ครอบครอง
เกล็ดมณีสวมอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์สวยสมดังเป็นเจ้าสาว ประดับด้วยเครื่องทองสะพัดครบองค์ ข้างกายยังคงมีนาคีรับใช้อย่างธารทิพย์คอยตามมิห่าง ที่ผืนทรายถูกโปรยด้วยกลีบดอกบัวหลากสีและกลีบกุหลาบหอมหวน การส่งตัวเจ้าสาวมีเพียงผู้เป็นบิดาอย่างภูชาเคนทร์นาคา และผู้เป็นมารดาอย่างบุษปานาคีเท่านั้น สิ่งที่พวกเขาทำยามนี้ก็เพียงแค่รอเวลาการมาถึงของเจ้าบ่าวที่มารับตัวเจ้าสาวสู่วิมานฉิมพลี
“อยู่ที่นั่น ดูแลตัวเองด้วยหนาลูกรัก” บุษปากลั้นน้ำตาเอาไว้มิได้ ยามเมื่อต้องปล่อยแก้วตาดวงใจให้ไปเป็นของผู้อื่น ก็มิต่างจากนางถูกควักเอาพระเนตรทั้งสองข้างออกไป
“เพคะเสด็จแม่” นางกลับตอบรับพร้อมรอยยิ้ม เพื่อมิให้มารดาต้องเป็นกังวล
สายลมพัดแรงกรรโชค พร้อมกับการปรากฏกายของครุฑหนุ่มอย่างอุกอาจ มิมีขบวนต้อนรับ มีเพียงร่างบุรุษที่ปกคลุมด้วยเส้นขนสีน้ำตาลแดง ปลายเส้นขนขลิบสีทองคำ ร่างนั้นโอ่อ่าน่าเกรงขาม อาภรณ์ที่สวมเด่นชัดว่าเป็นสีขาวสะยาด ยามเมื่อปลายเท้าที่มีกรงเล็บแหลมคบเหยียบพื้นทรายละเอียดก็กลับสู่ร่างทิพย์ในชุดขาวสะอาดตา ประโคมด้วยเครื่องทองคำพร้อมสำหรับเข้าพิธีวิวาห์
นี่น่ะหรือ วิหรุต...
เกล็ดมณีนิ่งงัน นั่นเพราะบุรุษตรงหน้าเลอลักษณ์ อาจหาญ แถมด้วยเสน่ห์เรือนกายแสนเย้ายวนจนนางกลับเผลอใจให้ผู้ที่เป็นทั้งศัตรูเบื้องหน้า และอนาคตสวามีในเวลาเดียวกัน ใบหน้านั้นคมคายเสียยิ่งกว่านาคาตนใด แถมรูปกายก็มีกลิ่นหอมจางๆ แบบชาวทิพย์บนสวรรค์เมืองแมน
“ข้ามารับตัวเจ้าสาว”
“เจ้าต้องดูแลนางให้ดี...” ภูชาเคนทร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงขมขื่น “อย่ารังแกน้ำใจนาง มิเช่นนั้นสงครามจักเกิดขึ้นอีกคราเป็นแน่”
“เดิมทีข้าก็มิใช่ผู้ที่จักเสกสมรสกับใครก็ได้...” วิหรุตเงียบเสียงลงเมื่อเพ่งพินิจใบหน้าของนาคีเบื้องหน้า ความงามที่เขาเองก็ต้องตกตะลึงจนแทบหยุดหายใจ ทำให้เขามิอาจเอ่ยสิ่งใดออกมาได้อีก นอกเหนือจากเยื้องกายเข้าหาร่างงามที่ยืนนิ่งสงบมิต่างจากรูปปั้น “แต่กับนาคีที่โสภาเยี่ยงนี้ ข้าถือเป็นข้อยกเว้น”
“หากท่านให้สัญญาว่าสองเผ่าพันธุ์จักไม่เข่นฆ่ากันอีก ข้าพร้อมจะมอบให้ท่านได้แม้กระทั่งชีวิตของข้า” ริมฝีปางบางสีกลีบบัวเปล่งสำเนียง
ความพิเราะของสำเนียงนั้นทำให้เขายิ่งตะลึงเข้าไปอีก ไหนจะทีท่าสง่างามจนยากกว่าสตรีใดจักมี นางมิต่างจากผู้เป็นกษัตรีสักนาง ที่พร้อมเคียงคู่บนบัลลังก์ทองคำ และเชิดชูเกียรติแห่งวงศ์กษัตริย์ในเผ่าพันธุ์นั้นๆ ให้จำเริญไปในหนทางที่ดีงาม
“อย่าได้กล่าวเช่นนั้น...” มือหนาเชยคางของนางขึ้นมาเชยชม แล้วเขาก็เผยยิ้มที่มุมปากอย่างชอบใจในวาจาห้าวหาญของนาคีตนนี้ “ข้าจักดูแลเจ้าเป็นอย่างดี ดูท่าว่าสตรีงามเยี่ยงเจ้า คงมิได้มีผู้ใดได้เชยชมแต่โดยง่าย”
“ขอบพระทัยเพคะ...” เกล็ดมณีโค้งตัวรับเล็กน้อย วิหรุตเหลียวไปมองธารทิพย์ที่นั่งพับเพียบอยู่มิห่างกายผู้เป็นนายเหนือหัว ใบหน้าของเขาฉายแววสงสัยอย่างเห็นได้ชัด เกล็ดมณีจึงได้ไขความกระจ่างให้แก่เขา “นางเป็นนาคีรับใช้ของข้า การไปอยู่ฉิมพลีท่ามกลางเหล่าครุฑ ข้าเกรงว่าอาจจะเหงาได้ จึงขอพานางตามไปรับใช้เพคะ”
“ข้ามิขัดในเรื่องนั้น”
เมื่อกล่าวจบ วิหรุตพลันกลับร่างเดิม พร้อมทั้งหอบเอาเกล็ดมณีและธารทิพย์ทะยานสู่ฉิมพลีเบื้องบน ภาพของผู้เป็นที่รักสุดชีวิตเริ่มเล็กลงเรื่อยๆ แถมผืนน้ำที่คล้ายกับกระแสพลังที่โอบอุ้มอยู่ตลอดเวลา ก็ยิ่งเหินห่างไปเรื่อยๆ จนทำให้หทัยดวงน้อยคล้ายอยากหยุดเต้น
ลาก่อนเพคะ เสด็จพ่อ เสด็จแม่...
ถึงแม้จะอยากกรรแสงเพียงใด ที่เห็นมารดาโผเข้ากอดบิดาด้วยความเสียพระทัย แต่ยังไงตนก็ต้องเข้มแข็ง เมื่อมาอยู่ในแดนศัตรูเช่นนี้ จักแสดงความอ่อนแอให้พวกเขาเห็นมิได้ นางฝืนกลั้นหยาดน้ำตาเอาไว้ เม้มริมฝีปากบางแน่น แล้วแสร้งเผยยิ้มแทนความขมขื่นทั้งปวดที่เกิดขึ้น
จากสีทันดรมาฉิมพลีใช้เวลามินานนัก วิหรุตพาเกล็ดมณีและธารทิพย์มายังวิมาณเล็กๆ ใกล้วิมานหลัก ถึงแม้เกล็ดมณีจักมีคำถามในใจอยู่บ้าง แต่ด้วยพึ่งมายังสถานที่แห่งนี้เป็นครั้งแรก จึงยอมสงบปากสงบคำ มิกล่าวสิ่งใดออกมาให้เป็นเรื่องขุ่นข้องหมองใจของทั้งสองฝ่าย
“ที่วิมานนี้เจ้าสามารถเป็นอิสระได้จากเหล่าครุฑตนอื่น ข้าจึงเลือกวิมานนี้เพื่อรองรับเจ้า”
เขาหวังดีกับข้าเช่นนั้นหรือ...
เกล็ดมณีมิเคยคาดคิดมาก่อน ว่าวิหรุตโดยแท้จริงแล้วจะมีจิตใจอารีถึงเพียงนี้ เขาพานางเดินชมวิมานหลังนั้น ถึงแม้จะมีขนาดมิใหญ่จนเทียบเท่าบาดาล แต่นางก็สามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างสุขสบาย เพราะข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างมีครบครัน อีกทั้งยังมีข้าทาสบริวารต้อนรับกว่าสิบนาง
“ด้านหน้าวิมานของเจ้า ข้าได้ให้ทหารสร้างสระบัวขึ้นมาใหม่ อาจจะเป็นเพราะความคิดของข้ากระมังที่คิดว่าเหล่านาคีชอบนั่งเชยชมดอกบัว”
“เป็นความคิดของพระองค์ แต่ถูกต้องแล้วเพคะ...” เมื่อเดินมาถึงสระบัวด้านหน้า ที่เหล่ากอบัวยังมิแตกกอ บ้างยังมิมีดอกให้ผลิบาน แต่ด้วยความที่ชายชาตรีผู้กร้านสนามรบ หันมาเอาอกเอาใจนาคีพลัดถิ่นอย่างนาง นางเองก็รู้สึกสุขล้นในห้วงหทัยอย่างบอกมิถูก “หม่อมฉันชอบสระบัวเป็นที่สุด”
“ข้าจะส่งนางรับใช้มาให้ตำหนักของเจ้าเพิ่ม”
“มิเป็นไรหรอกเพคะพระองค์ หม่อมฉันอยู่ที่นี่กับธารทิพย์เพียงเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว”
“เจ้ามิไว้ใจในตัวข้าหรือ” เขาเอ่ยพลางขยับเข้าใกล้นางมากขึ้น
ถึงแม้ธารทิพย์จะหวงแหนองค์หญิงของนาง แต่ทั้งสองก็แต่งงานกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากจะถูกเนื้อต้องตัวกันก็มิใช่เรื่องแปลก นางจึงยอมถอยออกห่างเพื่อให้ทั้งสองได้เดินชมอุทยานหน้าวิมานกันสองต่อสอง โดยตนแอบสังเกตอยู่ห่างๆ เพื่อคอยระแวดระวังภัย เพราะพลัดถิ่นมาไกล จึงยังคงวางใจมิได้ ที่จะเชื่อใจผู้ที่ชอบเข่นฆ่าเหล่านาคเป็นว่าเล่นอย่างพวกครุฑ
“หามิได้เพคะ หากแต่หม่อมฉันมิรู้ว่านาคีขึ้นมาอยู่แดนฉิมพลีนี้เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์”
“ขนาดนางมนุษย์ยังเคยมาเยือนฉิมพลี เหตุใดนาคีจักมามิได้เล่า”
“วาจาพระองค์ช่างคมคายยิ่งนัก”
เกล็ดมณีมิได้เอ่ยเกินจริง เพียงแต่เรื่องที่ครุฑท่านหนึ่งเคยพานางมนุษย์ขึ้นมาบนฉิมพลีล้วนเกิดขึ้นจริง การเปรียบเปรยเช่นนั้นมิต่างจากการให้เกียรติเผ่าพันธุ์อื่นที่นอกเหนือจากเหล่าทิพยปักษา นางจึงพึงใจในคำพูดเหล่านั้น และหมายคิดว่าตัววิหรุตนั้นเองก็มอบใจให้นางเช่นกัน
“วันนี้เจ้าคงเหนื่อยมามากแล้ว ข้าว่าเจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเสียดีกว่า”
“ขอบพระทัยเพคะ”
“หากประสงค์สิ่งใดเพิ่มเติม เจ้าให้นาคีรับใช้ไปบอกข้าที่ตำหนักใหญ่ได้ด้วยตนเอง”
“เพคะ”
วิหรุตเดินพาเกล็ดมณีมาส่งยังหน้าวิมาน ก่อนที่เขาจะหันหลังเตรียมเดินกลับไป แต่ยังมิทันที่จะได้เยื้องกายออกจากหน้ากำแพงวิมาน กลับปรากฏสตรีงามนางหนึ่ง ดวงหน้าสวยได้รูป เส้นผมสลวยมวยไว้กึ่งกลาง ปักปิ่นทองคำลายหงษ์กนก สวมอาภรณ์สีทองคำ พร้อมประโคมเครื่องทองครบองค์ เดินนวยหน้ามาถึงที่วิมานเล็กแห่งนี้ เกล็ดมณีจับจ้องมองใบหน้าที่ฉายความทระนง เพียงปราดเดียวก็รู้ถึงชาติกำเนิดโดยแท้ของร่างทิพยปักษาตนนี้
ยูงทอง...
“สวามี” นางตรงเข้าจับมือของวิหรุตโดยเร็ว เกล็ดมณีมองภาพเบื้องหน้าด้วยดวงหทัยแทบดับดิ้น
สวามีเช่นนั้นหรือ...
มือบางสอดประสานกันแน่น หากแต่ใบหน้างามยังคงฝืนริมฝีปากให้เผยยิ้มละไม วางท่วงท่ามิต่างจากผู้ถูกอบรมสั่งสอนมาอย่างดี ว่ามิควรต้องลดตัวลงไปข้องแวะกับผู้ที่มีศักดิ์ต่ำกว่าตนมากอย่างทิพยปักษาที่บำเพ็ญเพียรจนกลายร่างเป็นมนุษย์ได้
“พิลาสมยุรา” น้ำเสียงที่เอ่ยเรียกเห็นได้ชัดว่าวิหรุตหลงใหลนางเพียงใด
พวกเขารักกันก่อนการปรากฏกายของข้าเสียอีก...
นางคิดก่อนลอบระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบา นาคีธารทิพย์รีบตรงเข้ามานั่งพับเพียบเบื้องหลังผู้เป็นนาย หมายปลอบประโลมนางด้วยรู้ถึงดวงทหัยที่กำลังแหลกสลายในยามนี้ของนายเหนือหัว
เกล็ดมณีก็ยังคงวางทีท่าของสตรีชั้นสูง มิได้แสดงออกถึงความรู้สึกอิจฉาใดๆ ทั้งที่ในหทัยเต้นเร่ามิต่างจากเสียงกรรแสงของพญาช้างสารยามตกมัน นางอยากถอยออกห่างจากสถานที่ตรงนี้ เพราะนางเพียรคิดเสมอมาว่าการแต่งงานครานี้ ราชาครุฑควรมีนางเป็นภริยาแต่เพียงผู้เดียว ดังเช่นภูชาเคนทร์ที่มีบุษปาเป็นชายาเพียงหนึ่งเดียว
“นี่น่ะหรือเพคะ นาคีที่พระองค์ทรงเสกสมรสมาวันนี้...” ถึงแม้ใบหน้านั้นจะแฝงไปด้วยความอ่อนโยน แต่ในน้ำเสียงนั้นกลับแฝงไปด้วยความเย้ยหยันอยู่ในที “ทรงงดงามปานเทพธิดาดังคำร่ำลือจริงด้วยเพคะ”
“ขอบพระทัย” เกล็ดมณีเผยยิ้ม
“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไรพิลาสมยุรา ข้าสั่งให้เจ้ารอที่อุทยานหลวงมิใช่หรอกหรือ” วิหรุตเอ่ยด้วยความเอ็นดู ถึงจะแฝงไปด้วยความดุดันอยู่บ้าง แต่ดูเหมือนผู้มาเยือนจะเก่งเรื่องการเล่นหูเล่นตา และใช้วาจาเอาอกเอาใจราชาครุฑจนทำให้เขาหลงใหล
“ขออภัยด้วยเพคะ หม่อมฉันอดใจมิไหวที่จะได้เห็นพระพักตร์อันงดงามของนาคีที่ร่ำลือน่ะเพคะ”
“ด้วยชาติพันธุ์ของข้า ใบหน้าอย่างข้ามิอาจใช้คำว่างดงามได้หรอกหนา” เกล็ดมณีเอ่ยเสียงเรียบ
“ท่านถ่อมตัวเกินไปกระมัง...” สตรีนางนั้นยังมิหยุดวาจา เกล็ดมณีพยายามระบายลมหายใจเข้าออกยาวๆ เพื่อข่มความพิโรธที่กำลังสุมขึ้นกลางอก “แล้วชาติพันธุ์อย่างข้า จักใช้คำใดว่างดงามได้กันเล่า”
“ชาวเผ่าวิหคต่างยลความงามต่างจากข้าที่เป็นนาคี หรือด้วยบารมีที่ต่างกันของชนชั้นข้าเองก็มิอาจเทียบให้เจ้าฟังได้หรอกหนา...” การเอ่ยของเกล็ดมณีทำให้ใบหน้ายิ้มแย้มของพิลาสมยุราถึงกับกลายเป็นใบหน้านิ่งสนิท ด้วยเพราะบารมีที่ต่างกันดังนางว่า ทำให้ผู้ถูกพาดพิงรับรู้ถึงกระแสแห่งวารีที่พร้อมพวยพุ่งออกมาสังหารทิพยปักษาที่มิได้มีกระแสทิพย์สูงส่งเยี่ยงนางได้โดยง่าย “ยูงทอง”
“เกล็ดมณี...” วิหรุตเอ่ยเรียกเสียงแผ่ว นั่นเพราะสัมผัสได้ถึงความคุกรุ่นที่กำลังจะเกิดการปะทุขึ้นระหว่างสองสตรีงาม แต่เกล็ดมณีกลับจับจ้องไปยังผู้ที่กำลังจะแต่งงานด้วยสายตามิยำเกรง นั่นทำให้วหิรุตรู้ได้ในทันทีว่านางนั้นมิใช่สตรีที่พร้อมจะมอบกายถวายหัวให้กับเขา แต่นางนั้นทั้งแข็งแกร่งและดื้อดึงมิต่างจากเด็กเอาแต่ใจสักคน “ข้าว่าวันนี้เจ้าเหนื่อยมามากแล้ว เจ้ากลับไปพักผ่อนด้านในก่อนเถิด”
เกล็ดมณีมิได้กล่าวสิ่งใด เพียงโค้งคำนับเล็กน้อยก่อนเดินหายเข้าไปด้านในพร้อมกับนาคีรับใช้ วิหรุตต้องรีบพาพิลาสมยุราออกจากวิมานของนางโดยเร็ว นั่นเพราะจากสายตาที่จับจ้องเขาเมื่อครู่ พิลาสมยุรามิใช่คู่ต่อสู้ของนาง หากนางเอาจริงขึ้นมา แค่ยูงทองหรือจะหาญสู้นาคีผู้มากด้วยบารมีเยี่ยงนาง
เกล็ดมณีทรุดกายลงนั่งที่ด้านใน ธารทิพย์ที่เดินตามมาถึงกับต้องรีบตรงเข้าพยุงร่างบางเอาไว้ให้นั่งลงอย่างแผ่วเบา เหตุการณ์หมองพระทัยแรกคือการจากบ้านมาไกลแสนไกลจนสุดขอบฟ้า และได้มอบใจให้ครุฑแปลกหน้าที่เป็นศัตรูแห่งเผ่าพันธุ์ เหตุการณ์ที่สองที่ต้องสะเทือนใจ คือการที่แต่งเข้ามาตนมิใช่คู่ผัวเมียเดียวดังเช่นพระบิดามารดาเคยกระทำ ตนกลับกลายเป็นคู่สมรสรองของวิหคที่บารมีต่ำกว่าตนเสียอีก
“องค์หญิงเพคะ”
“นี่เป็นกรรมอันใดของข้าที่ต้องมาเจอเรื่องเช่นนี้กันธารทิพย์” เอ่ยทั้งที่น้ำตาคลอ
“องค์หญิงเพคะ หากคิดในแง่ดี ก็ดีแล้วนะเพคะที่ฝ่าบาทวิหรุตมีราชินีอยู่ก่อนแล้ว พระองค์จักได้มิต้องมายุ่งย่ามกับองค์หญิงไงเพคะ”
“เจ้าเห็นสายตาของยูงทองนั่นหรือไม่ ข้าว่านางมิยอมจบง่ายๆ กับเรื่องในวันนี้แน่”
“ให้หม่อมฉันไปจัดการเลยหรือไม่เพคะ”
“อย่าเลย...” ด้วยบารมีของยูงทอง มิอาจเทียบได้แม้กระทั่งนาคีรับใช้อย่างธารทิพย์ แต่เมื่อนางเสกสมรสเข้ามาเป็นสะใภ้ฉิมพลีก่อน เกล็ดมณีเองก็ไม่อยากจะแตะต้องแต่อย่างใด “ถึงแม้เจ้าจะจัดการนางได้อย่างง่ายดาย แต่ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องไปผูกกรรมอันเกิดจากตัวข้าเอง เจ้าเข้าใจหรือไม่”
“เพคะองค์หญิง”
“เอาล่ะ ข้าว่าเจ้ากลับไปพักที่ห้องของเจ้าเสียเถิด”
“องค์หญิงมิต้องการให้หม่อมฉันอยู่เป็นเพื่อนหรือเพคะ”
“เจ้าเองก็เหนื่อยกับการเดินทาง...” เกล็ดมณีหันมาส่งยิ้มให้ผู้ที่นั่งพับเพียบอยู่เบื้องล่าง “ข้าขอนั่งตรงนี้ครู่เดียว แล้วข้าจักเข้าไปพักผ่อนที่ห้องบรรทมแล้วล่ะ”
“เช่นนั้น ให้หม่อมฉันได้ส่งองค์หญิงเข้าบรรทมก่อนนะเพคะ หม่อมฉันถึงจะไปพักได้อย่างสบายใจ”
“เจ้านี่นะ ดื้อเสียจริง”
ธารทิพย์มิตอบสิ่งใดกลับมา เพียงแต่นั่งนิ่งๆ เคียงข้างองค์หญิงของนาง นั่นเพราะหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นอย่างสุดวิสัยและรวดเร็ว ถึงแม้จะมีจิตที่ตั้งมั่นหรือครองสติครบ ก็ยากที่จะทำใจรับการเปลี่ยนแปลงแสนรวดเร็วเช่นนี้ได้ โดยมิคิดเสียใจภายหลัง
เมื่อคิดมาจนถึงตอนนี้ เกล็ดมณีในคราบนาคีพลันกรรแสงออกมาที่เบื้องลึกของสระอโนดาตอย่างไร้สิ้นซึ่งสิ่งใดกีดขวาง จนเกิดคลื่นสูงทั่วทั้งสระ เหล่ามัจฉาน้อยใหญ่ที่แหวกว่ายอยู่พลันแตกตื่นถ้วนทั่ว ความเสียใจในครานั้น เป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่การทำร้ายจิตใจของนางในหลายครั้งหลายคราที่วิหรุตพึงกระทำ ด้วยใบหน้าเลอลักษณ์นั่นทำให้นางหลงใหล ก่อนลอบทำร้ายจนนางมิเป็นอันอยู่ฉิมพลีได้อีกต่อไป
ข้าจะมิหลงกลในรูปลักษณ์ของครุฑเยี่ยงท่านอีก...
วิหรุต...
เมื่อสลัดคราบน้ำตาออกจนหมด นางจึงทะยานขึ้นสู่ผิวน้ำในร่างนาคีเกล็ดแก้วมรกต ความสวยงามของผู้ที่ผ่านไปมาได้เห็นต่างต้องหยุดนิ่งเพื่อเชยชมในความงดงามแสนตระการตานี้ ถึงจะเป็นร่างนาคี แต่ก็มีความงดงามจนยากยิ่งได้พบเห็น ยิ่งครั้นเมื่อเกล็ดต้องกับแสงสุริยา พลันเกิดประกายคล้ายอัญมณีรัตนะทาบทาบนเกล็ดแก้วใสสีมรกต ซึ่งผิดแผกไปจากเกล็ดของเหล่านาคทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด
ก่อนที่จะมีผู้ใดได้ยลความงดงามตระการตาไปมากกว่านั้น ร่างนั้นพลันทะยานหายไปกลางอากาศเพื่อกลับสู่สถานที่ซึ่งสุขสงบที่ตนพึ่งจากมาด้วยเหตุบังเอิญ
แต่เหมือนกับใครกันหนอที่กล่าวไว้ว่า เรื่องบังเอิญมิมีอยู่จริง...
____________________________
ขอบคุณทุกกำลังใจ และโปรดอย่าปิดกั้นการมองเห็น
สามารถแสดงความคิดเห็น หรือกดให้กำลังใจนักเขียน หรือตัวละครได้นะครับ
#เกล็ดมณีนาคี #อนิลครุฑา
.
สำหรับใครที่อยากให้กำลังใจนักเขียน
สามารกด "ดาว" และ "ดาว" และ "ดาว" เท่านั้น ให้ผมได้เลยน้า ...อิอิ...
พอดียังไม่ได้ติดเหรียญน้า
By.
พงพี