3
วันต่อมา
ณ คฤหาสน์สุริยัน
“ผมเนี่ยนะ?” ไตรขมวดคิ้วพร้อมชี้นิ้วเข้าหาตัวเองทันทีที่น้ำเพชรเดินมาขอให้เขาสอนยิงปืน หญิงสาวพยักหน้าอย่างแน่วแน่พร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งข้างเขาบนโซฟากลางห้องโถง
“ก็คุณดูจะถนัดนี่คะ”
“เดี๋ยวนะคุณ นั่นเป็นคำชมหรือ?”
“ชมสิคะ เพราะเห็นว่าคุณเก่งไงเลยอยากให้คุณสอนบ้าง”
“ตลกตายล่ะ ระดับคุณยังจะต้องเรียนทำไมอีก” ไตรพูดพร้อมกับแค่นหัวเราะเพียงลำพัง หญิงสาวแอบมองท่าทางแบบนั้นแล้วก็รู้สึกได้ว่าการตอบสนองของเขามันแปลกกว่าที่เธอคิดไว้แต่เธอก็ตัดสินใจที่จะไม่ถามตรงๆ
แทนที่จะพูดว่า แบบคุณเนี่ยนะจะเรียนยิงปืน หรือ คุณอยากเรียนอะไรแบบนี้ด้วยหรอ แต่เขากลับพูดเหมือนกับว่าเธอสามารถยิงปืนได้อยู่แล้วจนไม่จำเป็นต้องเรียนอีก ไม่รู้ว่าเธอได้ยินแล้วเข้าใจผิดไปเองหรือสิ่งที่เขาเผลอพูดออกมามันจริงกันแน่ ถ้าถามไปเขาจะตอบตามตรงหรือจะบ่ายเบี่ยงกันนะ
“ทำไมล่ะคะ แต่ก่อนฉันยิงปืนเก่งหรือ?” เธอถามลองเชิงคนตรงหน้า
“ผมจะไปรู้หรอ เราเพิ่งเจอกันเองนะ”
“แต่ที่คุณพูดเมื่อกี้...”
“ผมก็พูดไปเรื่อยนั่นแหละ คุณอย่าใสใจเลย”
บ่ายเบี่ยงเต็มๆ...
เพชรถอนหายใจกับตัวเองเมื่อรับรู้ได้ถึงรังสีความโกหกของอีกฝ่ายที่ชัดเจนเสียยิ่งกว่าอะไรดี ทั้งที่พูดออกมาเองแบบนั้นแล้วยังจะกล้าปฏิเสธอีก คิดว่าถ้านายใหญ่เป็นคนพูดความจริงเอามากๆ แล้วลูกชายจะนิสัยไม่ต่างกันเสียอีก
“ว่าแต่ทำไมเราถึงเพิ่งเจอกันล่ะคะ เมื่อก่อนฉันไม่ได้อยู่ที่นี่หรือ?” เพชรแสร้งถามทั้งที่รู้ในใจอยู่แล้วว่าเธอไม่เคยอาศัยอยู่ที่นี่เลย อย่างที่นายใหญ่เคยพูดกับเธอไว้ตั้งแต่เธอลืมตาตื่นขึ้นมาว่าเธอไปรักษาตัวที่อเมริกาทันทีหลังเกิดอุบัติเหตุ แต่หากไตรพูดไม่ตรงกันหรือพูดอย่างอื่นที่น่าสนใจขึ้นมาก็คงจะเป็นประโยชน์กับเธอมาก
“ไม่รู้สิ ผมไม่ค่อยมาที่นี่น่ะ”
“...”
“ช่วงที่คุณกับนายใหญ่อยู่อเมริกาก็เป็นช่วงที่ผมคุมงานที่ไทยแทนนายใหญ่ แต่ผมก็เคยได้ยินนายใหญ่พูดถึงคุณอยู่บ้างนะ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ยินบ่อยหรอก ผมกับนายใหญ่ไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่”
“มีพ่อลูกที่ไม่สนิทกันด้วยหรือคะ?”
“ก็มีผมกับเขาแหละคู่หนึ่ง”
“...” หญิงสาวเงียบไปหลังได้ยินเช่นนั้น ไม่แน่ว่าคำถามไม่คิดของเธออาจจะเป็นเรื่องเสียมารยาทสำหรับเขาก็ได้ ดูจากที่ทั้งคู่ต่างคนต่างอยู่และคอยเจอกันเฉพาะเรื่องงานแบบนี้ก็ไม่น่าพูดเรื่องความสนิทออกไปเลย “ขอโทษค่ะ”
“หืม? เรื่องอะไร?”
“ฉันพูดไม่คิดเองเรื่องคุณกับนายใหญ่”
“ผมไม่ได้โกรธอะไรคุณหรอก ช่างมันเถอะ” เขาพูดพลางลุกขึ้นแล้วเดินไปก่อนจะหันมาหาเพชรที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม “อยากลองยิงปืนไม่ใช่หรือ ตามมาสิคุณ”
“แต่ฉันยังไม่ได้เตรียมตัวไปข้างนอกเลยนะคะ”
“แล้วใครจะไปข้างนอกล่ะ”
“?”
“โกดังหลังบ้านเรามีสนามยิงปืนอยู่แล้วนะ บ้านเรารวยครับคุณ”
ปัง!
แปลก
ปัง!
แปลกมากๆ
“ยิงเป็นแต่หัวหรือเปล่าเนี่ย ส่วนอื่นบ้างก็ได้มั้งคุณน้ำเพชร” ไตรพูดกวนน้ำเพชรที่ฝึกซ้อมยิงปืนในสนามซ้อมยิงของบ้าน ใช่ เธอก็เพิ่งจะรู้ว่าคฤหาสน์สุริยันมีโกดังหลังบ้านซึ่งถูกเนรมิตให้กลายเป็นสนามซ้อมยิงปืนอยู่ด้วย สมกับที่เป็นบ้านตระกูลมาเฟียเสียจริง
สิ่งที่ไม่คาดคิดนั้นไม่ได้มีเพียงเรื่องสนามยิงปืนในบ้าน แต่ที่น่าเหลือเชื่อมากกว่าคือฝีมือการยิงของน้ำเพชรที่มันแม่นยำอย่างกับจับวาง ความจริงเธอรู้สึกคุ้นเคยกับการจับปืนและลองยิงไปตามสัญชาตญาณก็เท่านั้นแต่ไม่คิดว่าตัวเองจะแม่นปืนขนาดที่ยิงโดนจุดสำคัญโดยเฉพาะจุดหัวทุกครั้ง
“ปกติฉันแม่นปืนหรือ ไม่เห็นจำได้เลย” หญิงสาวบ่นอุบอิบ
“นี่คุณ ความจำเสื่อมแล้วจะจำอะไรได้ล่ะ” ไตรพูดพลางหัวเราะเบาๆ “ผมยังไม่ทันสอนเลยด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่พรสวรรค์ก็คงจะแม่นปืนมาก่อนจริงๆ นั่นแหละ”
“แล้วคุณเคย...”
“บอกแล้วไงว่าผมไม่เคยเจอคุณ จะไปรู้ได้ยังไง” เขาตัดบททันทีเพราะรู้ว่าน้ำเพชรต้องถามแบบเดิมอีกครั้ง คำถามรูปแบบเดิมอย่าง เมื่อก่อนฉันเป็นยังไง คุณเคยเห็นฉันทำแบบนี้ไหม ซึ่งคำตอบที่ได้รับก็เหมือนเดิมคือ ไม่รู้
“ฉันแค่นึกว่าคุณมาบ้านหลังนี้ประจำก็เลยน่าจะรู้นี่คะ” น้ำเพชรบอกตามที่คิด
“ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญก็ไม่ค่อยอยากมาหรอก ก็แค่ทำงานให้เสร็จๆ ไป” ไตรพูดไปตามความจริง แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ไตรแสดงความไม่สนิทที่มีต่อพ่อของเขาอย่างชัดเจนจนน้ำเพชรรู้สึกได้
น่าแปลกที่ความสัมพันธ์พ่อลูกคู่นี้ดูเหมือนเจ้านายกับลูกน้องมากกว่า อีกทั้งเธอไม่เคยเห็นทั้งคู่พูดถึงแม่ของไตรเลยหรือว่าพวกเขาหย่ากันไปแล้ว ถึงน้ำเพชรจะสงสัยแต่เธอก็ไม่ถามเขาไปเพราะคิดว่ามันคงเป็นเรื่องส่วนตัวเกินกว่าที่เธอควรจะรู้ สิ่งที่เธอควรรู้และควรใส่ใจจริงๆ คือเรื่องของตัวเองมากกว่า
“คุณก็ทำงาน เอ่อ...มาเฟีย?”
“แล้วแต่จะเรียกนะ แต่จริงๆ พวกเราจะเรียกกันเองว่า พวกช้างเผือก มาจากคำว่าทางช้างเผือก เพราะเราเป็นพวกตามหาตัวยากถึงจะมีอำนาจแต่ก็ไม่ได้อยู่ในกฎหมาย โจ่งแจ้งมากไม่ได้อะไรทำนองนั้น”
“แล้วทำไมพวกคุณถึงไม่ถูกจับล่ะคะ?”
“เส้นสายมันซื้อกันง่ายนะ กฎหมายก็กลายเป็นธุรกิจได้ถ้ามันไม่แข็งแรงพอ” ไตรพูดพลางเอื้อมมือไปหยิบปืนอีกกระบอกแล้วยิงไปที่เป้าของน้ำเพชร แน่นอนว่าเขายิงมันได้อย่างแม่นยำ “ชีวิตแบบนี้มันไม่สนุกหรอก ถ้าไม่ตายก็ต้องวนเวียนอยู่ที่นี่ต่อไป เป็นช้างเผือกของที่ประชุมจักรวาล จับปืน ระแวง แล้วก็ชิงอำนาจ”
“...”
“ชีวิตแขวนบนเส้นด้าย จะออกไปใช้ชีวิตของตัวเองก็ยากตราบใดที่อาวุธพวกนั้นยังอยู่และยังมีคนต้องการมัน เพราะฉะนั้นถ้าเลือกได้ก็อย่าเอาตัวเองมาพัวพันกับเรื่องพวกนี้เลย ผมว่าคุณรีบหาสิ่งอยากทำแล้วก็ไปใช้ชีวิตอย่างที่ชอบดีกว่า”
“...”
“ไม่จำเป็นต้องรีบรื้อฟื้นความทรงจำหรอก ถ้ามันจะกลับมามันก็คงมาเอง”
“ทำไมคนที่นี่ถึงอยากให้ฉันใช้ชีวิตแบบลืมเรื่องในอดีตไปซะ คุณไม่คิดว่าฉันควรรับผิดชอบในสิ่งที่ทำบ้างหรือ ในอดีตฉันอาจเคยทำผิดก็ได้ หรือมันอาจเคยมีเรื่องที่ทำให้ฉันมีความสุขก็ได้ ไม่ว่ามันจะเป็นยังไงก็ตาม ความทรงจำทั้งหมดก็ทำให้ฉันเป็นตัวฉันนี่คะ จะให้ลืมได้ยังไง”
ไตรนิ่งไปหลังได้ฟังเหตุผลของน้ำเพชรที่น้ำเสียงเป็นการระบายมากกว่ายืนยันเหตุผล เธอคงได้ยินแต่คำพูดที่ขอให้เธอใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและคงไม่มีใครอยากให้เธอจดจำอะไรในอดีตจนก่อความอึดอัดในใจของเธอ
สิ่งที่เธอพูดก็ไม่ผิด ความทรงจำ ไม่ว่ามันจะดีหรือร้ายแต่มันก็คืออดีต เป็นบทเรียนชีวิตที่ทำให้เรารู้ว่าเราเป็นใครและเคยเป็นใคร การตัดสินใจและการกระทำในตอนนั้นย่อมส่งผลกับสิ่งที่เกิดในตอนนี้ หากจะให้ลืมอดีตไปทั้งหมดก็เหมือนกับว่าปัดความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เคยทำ
แต่หากในมุมหนึ่งก็คงมีหลายคนอยากจะลืมเรื่องราวเลวร้ายในอดีต ชีวิตคนเรามีความทรงจำหลากหลาย มีแต่คนอยากจำเรื่องราวดีๆ จนบางทีพวกเขาก็ลืมไปว่าบางเรื่องมันก็เคยดีมาก่อนที่มันจะเลวร้าย หรือไม่มันก็เคยเลวร้ายมาก่อนจะเจอเรื่องที่ดี มันยากเหลือเกินที่จะลบไปทุกสิ่งแล้วเจอกับความสุขอย่างเดียว
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็คงต้องใจแข็งพอที่จะรับมือกับทุกความทรงจำนะ”
“?”
“ตอนนี้คุณจำอะไรไม่ได้ก็เท่ากับว่าคุณในอดีตกลายเป็นคนแปลกหน้าของคุณไปแล้ว ถ้าคุณอยากรู้จักคนแปลกหน้าคนนั้นก็ต้องกล้ามากพอที่จะยอมรับในสิ่งที่คนๆ นั้นเป็น”
“คุณคิดว่าฉันเคยฆ่าคนไหม?” น้ำเพชรเอ่ยถาม
“แม่นปืนขนาดนี้ อยู่บ้านพวกช้างเผือก เมื่อคืนก่อนก็วิ่งตากฝนหนีไปเพราะเห็นเจ้าของบ้านยิงคน คิดๆ แค่นี้ก็พอเป็นไปได้อยู่นะ”
“...”
“สิ่งที่ต้องคิดไม่ใช่แค่เรื่องฆ่า แต่อีกเรื่องที่ต้องคิดคือฆ่าใคร ฆ่าทำไมและจะรับผิดชอบยังไงมากกว่า”
“นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องทำใจสู้ใช่ไหมคะ ถ้านั่นเป็นตัวตนของฉันในอดีตจริงๆ”
“ถ้าคุณต้องการจะจำมันก็คงต้องยอมรับให้ได้นั่นแหละ” ไตรพูดพร้อมบรรจุกระสุนปืนลงกระบอกอย่างใจเย็น “ความจริงพวกช้างเผือกที่ไล่ฆ่ากันเองโดยไม่กลัวกฎหมาย ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่ได้รับผลจากการกระทำของตัวเองนะ”
“...”
“ชีวิตที่ต้องหนีตายและต้องสู้กับทุกคนจนใช้ชีวิตแบบคนปกติทั่วไปไม่ได้ไปทั้งชาติก็ถือว่าเป็นผลกรรมชนิดหนึ่ง สุดท้ายแล้วการหลบซ่อน หนีกฎหมายก็ไม่ต่างจากการอยู่ในคุก แค่เปลี่ยนที่กับผู้คุมเท่านั้น บ้านก็ไม่ปลอดภัย ที่ทำงานก็อันตราย เดินไปไหนก็เสี่ยงตาย”
“...”
“คุกก็แค่ขังให้สำนึก ยังมีโอกาสทำความดี อาจปลอดภัยกว่าชีวิตพวกช้างเผือกตอนนี้ด้วยซ้ำ คุณก็เห็นว่าเวลาตายแทบไม่มีใครรู้จักเราหรือเห็นค่าของเราเลย ต่อให้เราจะไม่จับงานทุจริตแต่วงการที่เราอยู่มันเป็นแบบนี้ ทุกคนต้องทำร้ายคนอื่นเพื่อปกป้องตัวเองแล้วก็จบที่ตัวเองถูกคนอื่นฆ่าตาย พวกช้างเผือก พวกมาเฟียอะไรนี่ไม่ได้เท่นักหรอก”
“แต่คุณก็เป็นช้างเผือกเหมือนกัน”
“ผมเลือกได้ที่ไหน พ่อผมเป็นผู้นำนี่นา”
“...”
“นายควรไปใช้ชีวิตของตัวเองอย่างที่ต้องการนะ ถ้าอยากได้อะไรค่อยบอกกัน ไม่ได้อยากอยู่แบบนี้ตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือไตร?”
“...”
“ทนอยู่กับคนที่เกลียดต่อไปมันจะมีแต่นายนะที่รู้สึกแย่”
“...”
“นายเกลียดฉันนี่นา”
“ความจริงเขาก็เคยพูดกับผมเหมือนที่เขาบอกคุณบ่อยๆ นะ ไปใช้ชีวิตของตัวเองอย่างมีความสุขก็พอ” ไตรพูดพลางนึกถึงนายใหญ่ที่บอกกับเขาตั้งแต่เด็ก “เขาไปไหนไม่ได้ แต่ผมยังไปได้ เขาก็เลยอยากให้ผมไปจากวังวนนี้ซะ”
“แต่คุณก็ไม่ไป”
“ก็ผมเหลือเขาคนเดียว”
“...”
“ครอบครัวคนสุดท้าย”
“ยังเลือกไม่ได้อีกหรือ?” ธีร์เอ่ยถามน้ำเพชรที่นั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะภายในภัตตาคารแห่งหนึ่งใจกลางเมือง เป็นครั้งแรกที่เธอกับเขาออกมากินข้าวด้วยกันและเป็นวันแรกที่น้ำเพชรได้ออกจากบ้านแบบที่ไม่ต้องหนี
“หนูไม่รู้ว่าจะกินอะไรน่ะค่ะ ไม่เคยสั่ง” เธอตอบพลางพลิกกระดาษเมนูอาหาร
“ฉันหมายถึงที่เรียนที่หนูเคยบอก ไหนว่าอยากเรียนต่อ?”
“เรียน?”
“หนูเคยถามฉันนี่ว่าหนูต้องไปเรียนหรือเปล่า ฉันนึกว่าหนูคิดเรื่องนั้นอยู่” เขาพูดพร้อมกับมองน้ำเพชรที่ยังไม่ค่อยเข้าใจนักก่อนที่จะเธอจะนึกขึ้นมาได้ว่าเธอเคยถามเขาไว้แบบนั้นจริงๆ
“หนูไม่มีเงินเรียนหรอกค่ะ ทุกวันนี้ก็ใช้แต่เงินคุณ”
“แล้วทำไมจะใช้ไม่ได้ ฉันไม่เคยห้ามเสียหน่อย”
“เมื่อก่อนคุณติดหนี้อะไรหนูไว้หรือเปล่าคะเนี่ย ทำไมถึงทำดีกับหนูขนาดนี้” หญิงสาวถามพร้อมกับหัวเราะเบาๆ เพราะธีร์มีแต่ตามใจเธอจนชักน่าสงสัย
ติดหนี้...ก็คงจะเคยติดจริงๆ นั่นแหละ
ร่างสูงคิดแบบนั้นในใจพลางจดจ้องรอยยิ้มของหญิงสาวตรงหน้า เขาจำไม่ได้แล้วว่าเขาเคยเห็นรอยยิ้มแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ เธอยิ้มอย่างสบายใจกับเขาแบบนี้มันคงเป็นสัญญาณว่าเธอเริ่มไว้ใจเขามากขึ้น
“อย่าเกรงใจฉันเลย ทุกอย่างที่เกี่ยวกับฉันมันก็เป็นของหนูทั้งนั้น”
“ของหนูทุกอย่างเลยหรือคะ?”
“อืม”
“แล้วคุณล่ะคะ?”
“มันก็เป็นแบบนั้นอยู่แล้วนี่” เขาพูดเสียงเรียบทำให้น้ำเพชรชะงักไป เธอเพียงแค่พูดหยอกเพราะเห็นว่าเธอกับเขาเริ่มสนิทและทำตัวสบายๆ ต่อกันมากขึ้นกว่าช่วงแรก แต่ไม่คิดว่าคำตอบเรียบง่ายแบบนั้นจะทำให้เธอหน้าร้อนขึ้นมาเอง
ไม่มีใครเคยบอกหรือไงว่าพูดตรงมากไปก็ไม่ดี...
“หนูไม่รู้ว่าตัวเองเก่งอะไร ไม่รู้ด้วยว่าตัวเองจะเรียนรอดไหม” น้ำเพชรเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาทันที
“มหาวิทยาลัยเขาให้เข้าไปเรียนรู้ ถ้าเก่งมาก่อนจะเข้าไปเรียนทำไมล่ะ” ธีร์พูดก่อนจะหันไปสั่งอาหารแล้วหันกลับมาอีกทีตอนที่พนักงานเสิร์ฟเดินไป “ฉันให้หนูเลือกสิ่งที่อยากเรียน ไม่ใช่เลือกสิ่งที่คิดว่าจะเรียนได้”
“แต่ถ้าหนูไม่เก่ง เรียนไม่ได้ มันอาจจะไม่จบเนี่ยสิคะ”
“ไม่ต้องจบก็ได้ ฉันรวย ไม่ต้องขยันเรียนไปวิ่งหางานหรอก”
“คนรวยเขามีความคิดแบบคุณทุกคนเลยหรือเปล่าคะเนี่ย”
“คงจะคิดคนละอย่าง เพราะฉันรวยกว่า” ร่างสูงพูดพลางเหยียดยิ้มที่มุมปากและเหล่มองมาทางหญิงสาวที่นั่งอ้าปากค้างกับความมั่นใจแสนจะน่าหมั่นไส้ของอีกฝ่าย นี่เป็นการยอมรับว่าตัวเองเป็นคนรวยที่รวยมากและอวดรวยมากๆ สินะ
จริงๆ แล้วไตรกับนายใหญ่ก็มีส่วนคล้ายกันอยู่นะ เช่นเรื่องพูดจาแล้วทำให้คนอื่นหมั่นไส้ไม่ก็อ้าปากค้าง เพราะแบบนี้มากกว่าถึงทำให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกันไม่ค่อยได้นัก น้ำเพชรคิดเช่นนั้นภายในใจก่อนจะมีเสียงหนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะ
“คุณธีร์!” เสียงสดใสของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของนายใหญ่ ทำให้ร่างสูงละสายตาจากน้ำเพชรไปมองเธอคนนั้นมากับผู้เป็นแม่ แต่เธอเดินนำแม่มาก่อนเพื่อมาคุยกับธีร์ในระหว่างที่แม่กำลังเคลียร์เรื่องจองโต๊ะ
โรสและรสริน
“คุณโรสนี่เอง ได้ข่าวว่างานที่แกลลอรี่ราบรื่นดีใช่ไหม?” ธีร์ลุกขึ้นแล้วเอ่ยทักอย่างใจดี ทำให้โรสยิ้มกว้าง
“ใช่ค่ะ แต่ครั้งหน้าคุณธีร์ต้องมาด้วยนะ โรสเชิญทุกตระกูลของที่ประชุมจักรวาลเลยแต่ไม่มีใครมาสักคน ทำไมพวกช้างเผือกถึงงานยุ่งกันนักนะคะ” โรสบ่นด้วยความน้อยใจก่อนที่เธอจะหันมามองน้ำเพชรที่นั่งเงียบอยู่ “เอ๊ะ คุณ...”
“เธอชื่อน้ำเพชร เพิ่งกลับมาจากอเมริกา น่าจะอายุพอกันกับคุณโรสนะ”
“สวัสดีค่ะคุณน้ำเพชร โรสค่ะ ตระกูลดารา” โรสยิ้มทักทายอย่างเป็นมิตรทำให้น้ำเพชรผ่อนคลายขึ้นมา เธอจึงทักทายตอบกลับไป
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณโรส”
“ความจริงถ้าคุณน้ำเพชรไม่รังเกียจ เราเรียกกันธรรมดาก็ได้นะคะ ไม่ต้องเรียกคุณก็ได้”
“งั้นก็ตามสบายเลยค่ะ เรียกว่าเพชรเฉยๆ ก็ได้”
“ว่าแต่เพชรกลับมาเรียนต่อที่ไทยหรือว่าแค่มาเที่ยว ที่บ้านสุริยันคงมีแต่พวกผู้ชายงานยุ่งใช่ไหม เราว่างตลอดเลยนะ ถ้าอยากไปเที่ยวไหนรีบโทรหาเราได้เลย” โรสพูดเสียงเจื้อยแจ้วตามประสาจนน้ำเพชรรู้สึกชอบเธอขึ้นมา อาจเพราะน้ำเพชรเองยังไม่มีโอกาสได้คุยกับเพื่อนรุ่นเดียวกันก็เลยทำให้รู้สึกเหมือนได้เพื่อนใหม่
“เรากำลังคิดเรื่องเรียนอยู่น่ะ”
“เฮ้ย! ปรึกษาเราได้นะ มอที่เราเรียนอยู่ก็มีให้เลือกหลายคณะเลย เพชรชอบ...”
“โรส มีมารยาทหน่อยสิ” เสียงรสรินดังขึ้นเพื่อตำหนิกิริยาพูดมากของลูกสาวตัวดี ก่อนที่เธอจะเดินมายังโต๊ะของธีร์และน้ำเพชร “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะธีร์”
“ช่วงนี้เราคงต่างยุ่งกับงานล่ะมั้ง มากันสองคนหรือ?”
“ใช่ พอดีทิวาเขาไม่ว่างน่ะ” รสรินพูดถึงสามีที่ดำรงตำแหน่งรองผู้นำตระกูลดารา พลางหันมาจดจ้องใบหน้าของน้ำเพชรนิ่งอย่างพินิจพิจารณา ก่อนจะเหยียดยิ้มที่มุมปากโดยที่เจ้าของใบหน้านั้นไม่เข้าใจเหตุผล “เริ่มไม่มั่นใจเสียแล้วสิว่าผู้นำสุริยันไม่ว่างเพราะงานหรือเพราะใคร?”
“นี่น้ำเพชร ส่วนนี่รสริน ผู้นำตระกูลดารา” นายใหญ่พูดแนะนำทั้งคู่ให้รู้จักกันก่อนที่น้ำเพชรจะลุกขึ้นแล้วไหว้คนตรงหน้าที่อายุมากกว่าเธอพร้อมยิ้มให้ ถึงแม้ว่าเธอจะตะหงิดใจกับคำพูดกำกวมของรสรินแต่เธอก็พยายามไม่คิดมาก
“สวัสดีค่ะคุณรสริน”
“เพชรเพิ่งกลับมาจากอเมริกาค่ะแม่ จะมาเรียนต่อที่ไทยด้วย” โรสพูดเสริม
รสรินมองน้ำเพชรนิ่งจนน้ำเพชรรู้สึกได้ ถึงรสรินจะเป็นคนที่มีดวงตาและสายตาน่ากลัวยามที่จดจ้องสิ่งใด แต่น้ำเพชรก็พยายามยิ้มรับและไม่เสียมารยาท แม่ดูแตกต่างจากลูกสาวโดยสิ้นเชิง ในขณะที่โรสเหมือนเจ้าหญิงที่วิ่งเล่นในทุ่งดอกไม้ รสรินกลับเป็นเหมือนราชินีน่าเกรงขามบนหอคอย
ไม่ทันที่จะได้คิดอะไรต่อน้ำเพชรก็ต้องแปลกใจ เมื่อรสรินเดินเข้ามาใกล้เธอจนประจันหน้าก่อนจะใช้มือเรียวรูปใบหน้าของเธอเบาๆ อีกทั้งยังจ้องเข้ามาในดวงตาของเธอด้วยสายตาครุ่นคิด
“เพิ่งกลับมางั้นหรือ?”
“...”
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ...เพชร”
สายฝนโปรยปรายลงมาอีกครั้งของอาทิตย์ เมฆสีครึ้มบ่งบอกว่าแรงลมและเม็ดฝนยังไม่ยอมสงบภายในเวลาอันใกล้ น้ำเพชรเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ภายใต้หลังคาของร้านค้า พร้อมกับคอยเขยิบตัวถอยหลังเพื่อหลบฝนอยู่ตลอดเวลาโดยมีนายใหญ่ยืนอยู่ข้างๆ
“เบื่อเวลาฝนตกจัง จะไปไหนก็ไม่ได้ เสียงดังอีก” น้ำเพชรบ่นพึมพำกับตัวเองก่อนที่ธีร์จะถอดเสื้อสูทตัวนอกของเขามาคลุมร่างของหญิงสาวเอาไว้เพราะชุดของเธอบางและอากาศเริ่มหนาว “?”
“คลุมไปก่อน เดี๋ยวขุนก็มา” ธีร์พูดพลางรวบผมของคนตรงหน้าไปด้านหลังแล้วจัดแจงสูทให้เธอ
หลังจากรับประทานอาหารกันเสร็จที่ภัตตาคาร พวกเขาทั้งคู่ก็ออกมาเดินเล่นที่ร้านค้ากลางแจ้งที่ตั้งอยู่นอกตัวอาคาร น้ำเพชรเดินเข้าไปซื้อหนังสือมาเพื่อลองอ่านก่อนคิดจะสมัครเรียน แต่ตอนออกมาฝนกลับตกหนักจนต้องวิ่งลุยฝนกันมาเพราะรถยนต์ที่ขุนขับมารับนั้นขับเข้ามาไม่ได้และพวกเขาก็ไม่อยากยืนรอให้ขุนเอาร่มเดินมารับหลายต่อ
ร่างกายทั้งคู่เปียกโชกแต่ยืนรออยู่นานจนมาเริ่มเปียกหมาด การจราจรบนท้องถนนเส้นนี้ค่อนข้างรถติดและแทบไม่ขยับ อาจจะต้องรอนานกว่าขุนจะขับรถมาถึง ส่วนน้ำเพชรนั้นก็บ่นเรื่องฝนทุกสองนาทีด้วยความหงุดหงิดโดยที่เธอเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงกลายเป็นคนเกลียดฝนขนาดนี้
ธีร์ลอบมองหญิงสาวที่ยังยืนถอนหายใจแล้วเขยิบถอยหลังเพราะฝนเริ่มสาดเข้ามาใกล้ตัว เขารู้อยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายเกลียดช่วงเวลาฝนตกและเกลียดการเปียกฝนอย่างมากมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แม้เธอจะจำไม่ได้แต่ความรู้สึกเก่าๆ มันก็คงยังอยู่ในใจของเธอจนกลายเป็นสัญชาตญาณ
“ไม่ชอบฝนมากขนาดนั้นเลยหรือ?”
“ค่ะ ไม่รู้ว่าทำไมพอฝนตกมาแล้วรู้สึกไม่ค่อยดี” เธอตอบพลางกระชับสูทด้วยความหนาว
ร่างสูงหวนนึกถึงภาพในอดีต ภาพของหญิงสาวอีกคนยืนเปียกฝนและขมวดคิ้วให้กับท้องฟ้าพร้อมกับบ่นตลอดเวลาจนทำให้ธีร์ลอบยิ้มออกมา มันนานมากแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้มาติดฝนด้วยกัน น้ำเสียงพูดที่ขึงขังและดวงตาตวัดร้ายของเธอ
เธอคนนั้นที่เหมือนแต่ก็แตกต่างจากน้ำเพชร
“นั่นใช่รถเราหรือเปล่าคะ?” หญิงสาวถามด้วยความดีใจที่เห็นขุนขับรถมา ก่อนที่จะจอดแล้วกางร่มเดินมารับทั้งคู่ที่ฟุตบาทหน้าร้านค้า น้ำเพชรและธีร์เข้าไปนั่งในรถทั้งที่เสื้อผ้ายังเปียก ขุนจึงยื่นผ้าขนหนูผืนใหญ่ให้ทั้งคู่ก่อนจะขับรถออกจากตรงนั้น
“กลับคฤหาสน์เลยนะครับนายใหญ่?” ชายหนุ่มเอ่ยถามก่อนที่ธีร์จะพยักหน้ารับ
น้ำเพชรนั่งมองไปนอกหน้าต่างก่อนจะนึกได้ว่าเธอซื้อหนังสือมาอ่าน มือบางรีบดึงหนังสือออกมาจากถุงกระดาษที่มีร่องรอยเปียกของน้ำ เธอภาวนาให้หนังสือข้างในไม่เปียกหรือเสียหาย ซึ่งก็โชคดีที่มันไม่เปียกจริงๆ
“เดี๋ยวกระดาษก็เปียกหรอก” ธีร์พูดพร้อมกับรวบผมยาวของน้ำเพชรที่ปลายผมยังชุ่มน้ำให้มาอยู่ด้านหลัง น้ำจากผมจะได้ไม่หยดลงหนังสือของเธอ “หันหลังมานี่หน่อย”
หญิงสาวมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัยแต่ก็ยอมทำตามที่เขาบอกด้วยการหันหลัง ก่อนที่ร่างสูงจะเอาผ้าขนหนูในมือมาเช็ดผมให้น้ำเพชรอย่างเบามือจนเธอนิ่งไป ไม่รู้ว่านี่เป็นเรื่องปกติหรือเปล่าที่เขาดูแลเธอแบบนี้ ไม่คิดว่าคนแบบเขาจะมาใส่ใจกับแค่เรื่องผมของเธอ
“ดะ เดี๋ยวหนูเช็ดเองก็ได้ค่ะ” น้ำเพชรตั้งสติก่อนจะทำท่าหันกลับมาแต่เขาก็เอ็ดเธอเสียงเบา
“อยู่นิ่งๆ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”
“...”
“กลับไปสระผมแล้วรีบเป่าให้แห้งนะ เดี๋ยวไม่สบาย” เขาพูดเหมือนสั่งเด็กน้อยแต่ก็แฝงไปด้วยความเป็นห่วงจนน้ำเพชรรู้สึกได้ น้ำเพชรแอบยิ้มเพียงลำพังก่อนที่จะนึกได้ว่าเธอมีบางสิ่งอยากถามเขา
“คุณคะ”
“หืม?”
“หนูรู้จักกับคุณรสรินหรือคะ?” หญิงสาวเอ่ยถามเช่นนั้น ธีร์เองก็คิดไว้ล่วงหน้าแล้วว่าเธอคงจะสงสัยเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนที่นั่งกินข้าวในร้าน
“ไม่หรอก ไม่อย่างนั้นโรสก็คงรู้จักหนูไปแล้ว สองคนนั้นตัวแทบจะติดกัน เจอแม่ก็เจอลูก”
“แต่เขาพูดแปลกๆ”
“ถ้าอย่างนั้นคราวหน้าก็ค่อยลองถามก็แล้วกัน ต่อไปคงมีโอกาสเจอกันอีก”
“ทำไมล่ะคะ?” น้ำเพชรกระตุกคิ้วแล้วถามทันที
“รสรินเป็นผู้นำตระกูลดารา ที่ประชุมจักรวาลจะมีการประชุมกันทุกเดือนหรือไม่ก็เจอกันตามงานสังคม เพราะต่อให้ตระกูลดาราจะทำงานทุจริตเป็นหลักแต่พวกเขาก็มีธุรกิจถูกกฎหมายอยู่เบื้องหน้า พวกธุรกิจก็ต้องทำงานการกุศลเพื่อให้บริษัทของตัวเองมีชื่อเสียงในแง่ที่ดี เราอาจเจอพวกเขาตามงานพวกนั้น”
“คุณก็ทำแบบพวกเขาหรือคะ”
“งานการกุศลก็ทำกันทุกบริษัท หาเงินก็ต้องให้อะไรกับสังคมบ้าง”
“หมายถึงพวกธุรกิจทุจริตน่ะค่ะ”
“ถ้านับตอนนี้ก็มีแค่สุราอย่างเดียวนะที่ผิดกฎหมายในไทย” ธีร์ตอบตามตรงโดยไม่มีท่าทีโกรธหรือรำคาญหญิงสาวตรงหน้า “ฉันเป็นตัวกลางส่งพวกเหล้าเบียร์ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนไปขายต่างประเทศน่ะ ที่ไทยไม่ให้ทำเหล้ากินเอง”
“แล้วงานอื่นล่ะคะ?”
“ถูกกฎหมายหมดแล้ว ความจริงพ่อฉันก็ไม่ชอบขายยามาตั้งแต่แรก ขายแต่อาวุธ พอมาถึงรุ่นฉันก็เลยเลิกขายอาวุธไปซะ จะได้เลิกมีปัญหากับที่ประชุมจักรวาลสักที”
“ปัญหา?”
“แย่งตลาดกันน่ะ ฉันเบื่อตลาดมืดพวกนั้นแล้ว พอขัดขากันเรื่องราคาก็ไล่ฆ่ากันจนฉันเสียคนทำงานไปเยอะ บางคนที่มาทำงานกับฉันก็ไม่ได้อยากตาย แค่อยากมาหาเงิน”
“เป็นช้างเผือกแต่ไม่ค้าอาวุธกับยาเสพติด มีแบบนี้ด้วยหรือคะ”
“ก็ตราบใดที่ธุรกิจของฉันมันเจริญจนไปกระทบคนอื่น มันก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องรับมือกับพวกเก่าๆ ที่ยังทำงานในตลาดมืดอยู่ ยังไงซะพวกเราก็ยังเป็นนักธุรกิจที่วัดอำนาจกันที่เงินกับคนในปกครอง ที่ประชุมจักรวาลก็ไม่ได้รักกันขนาดนั้น”
“แล้วคุณทำธุรกิจอะไรคะ?”
“เพชร ทอง น้ำมัน อืม...บ่อนแต่ถูกกฎหมายนะ แล้วก็พวกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์”
“อ่อ...”
“ไม่ต้องกลัวหรอก เลิกขายบางอย่างแต่ก็ยังรวยเหมือนเดิมนั่นแหละ”
ไม่ได้กลัวไม่มีเงินค่ะนายใหญ่ กลัวกระสุนเจาะกบาลเสียมากกว่า...
ผมเป็นคนที่โชคดีที่สุดที่ได้แต่งงานกับคุณ
ผมรักคุณ
น้ำเพชร อย่าไปกับมัน ขอร้อง
ผมสัญญาว่าจะอยู่กับคุณ
กลับมาเพชร กลับบ้านเราเถอะ
เฮือก!
น้ำเพชรสะดุ้งขึ้นจากความฝันอันแสนพิกล มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอฝันแบบนี้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ความฝันของเธอชัดเจนมาขนาดนี้ ทั้งภาพความทรงจำนั้น ทั้งน้ำเสียงของเขาคนนั้นในความฝัน
ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร
หญิงสาวหอบหายใจเพียงลำพังบนเตียงกว้างภายในห้องนอนมืดมิด เสียงฝนพร่ำดังมาจากนอกหน้าต่างจนทำให้เธอรู้สึกไม่ดีภายในใจโดยไม่ทราบสาเหตุ ความฝันพวกนั้นที่เธอฝันติดกันมาหลายวันมันเป็นความทรงจำของเธอหรือเปล่า และผู้ชายในฝันคนนั้นคือใครกันแน่
ในความฝันนั้นมีทั้งภาพงานแต่งงานของเธอกับชายแปลกหน้าคนนั้น ชายหนุ่มหน้าคมที่บอกรักกับเธอและพูดรั้งเธอในวันที่ฝนตก คนที่เหมือนรู้จักกับเธอเป็นอย่างดีทั้งที่เธอยังไม่เคยพบเจอ
แต่งงาน?
ทำไมเธอถึงเห็นภาพแบบนั้นในความฝัน เธอจดจำใบหน้าของชายคนนั้นได้อย่างดีและรอคอยให้ได้พบเขา ดั่งว่าเขาคือเศษเสี้ยวความทรงจำที่ขาดหายไป และเขาอาจเป็นคนต่อเติมความทรงจำทั้งหมดของเธอให้กลับมาอีกครั้ง
เขาเป็นใคร อยู่ที่ไหน...
กลับมาเพชร กลับบ้านเราเถอะ
คำพูดนั้นยังก้องกังวานอยู่ในโสตประสาทของหญิงสาวจนเธอเผลอร้องไห้ออกมาอย่างไม่เข้าใจเหตุผลที่แท้จริง รู้เพียงว่าความรู้สึกในใจของเธอตอนนี้มันทรมานเหมือนใจจะขาด น้ำเพชรสะอื้นพลางกอดเข่าแล้วนั่งชิดหัวเตียง เธอจำชื่อของเขาไม่ได้ จำอะไรเกี่ยวกับเขาไม่ได้เลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็จะรอ รอถามทุกคำถามที่ค้างคาใจกับเขา
สักวันหนึ่งที่จะได้เจอกัน...
ณ สนามบิน
“ครับ ผมถึงแล้ว” ชายหนุ่มร่างสูงในเสื้อเชิ้ตสีดำสนิทและกางเกงขายาวย่างกรายพร้อมคุยโทรศัพท์ออกมาจากช่องทางออกผู้โดยสารนอกประเทศ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขากลับมาไทยอีกครั้งเพื่อพบเจอคนสำคัญที่ไม่เจอมาแสนนานหลังจากรู้ข่าวการกลับมาของเธอ
ช่วงเวลาที่เขาอยู่ต่างประเทศนั้นไม่ได้ทำให้เขารับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นภายในไทยน้อยกว่าคนอื่นเลยสักนิด โดยเฉพาะเรื่องของน้ำเพชรกับความทรงจำที่หายไปนั้นยิ่งทำให้เขาต้องรีบกลับมาทันใด
“ลืมนัดของเราหรือไงจอมทัพ อุตส่าห์รอเจอนะเนี่ย” พระเพลิงในชุดสูทแดงที่ยืนคอยเอ่ยถาม จอมทัพจึงหยุดเดินแล้วหันมามองเขาเพราะก่อนนี้ไม่ทันได้สังเกต เมื่อพบกันจอมทัพจึงลอบยิ้มออกมา
“ใจดีจังนะ ผมอยากคุยกับคุณเรื่องน้ำเพชรพอดีเลย”
“งั้นก่อนจะคุยเรื่องนั้น เราคงต้องเลี้ยงต้อนรับกลับบ้านหน่อยซะแล้วล่ะมั้ง”
#วชิรอาญา