2
น้ำเพชรเดินมาตามทางเปลี่ยวท่ามกลางฝนโปรยปราย ร่างกายของเธอเริ่มเย็นเฉียบขึ้นมาหลังเปียกฝนอยู่นาน โชคยังดีที่สายตาเหลือบไปพบป้ายรถเมล์ที่มีป้ายส่องสว่างพอดี แม้ว่าร้านค้ากับบ้านเรือนของคนย่านนี้จะปิดหมดและเงียบสงัด
หญิงสาวย่างกรายเข้าไปยังที่พักพิงนั้นด้วยความเหนื่อยล้า เท้าเล็กเริ่มระบมและมีแผลเล็กน้อยจากการวิ่งมาตามถนน ลมหายใจเริ่มแผ่วลงและเนื้อตัวของเธอเริ่มสั่นเทา ไม่รู้ว่าเธอวิ่งมาไกลจากบ้านมากแค่ไหนแล้วและไม่รู้ด้วยว่าเธอควรจะไปที่ไหนต่อ
เธอตั้งคำถามมาตลอดทางว่าเรื่องเมื่อครู่มันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน เรื่องเล่าเกี่ยวกับการมีตัวตนของเธอในบ้านหลังนั้นยังเป็นเรื่องจริงอยู่หรือไม่ เธอไม่แน่ใจอะไรทั้งนั้น จนในที่สุดเธอก็เริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าทั้งคำพูดและดวงตาคู่นั้นของคุณธีร์เป็นความจริงหรือเพียงการเสแสร้งเพื่อเหตุผลอื่น
บรรยากาศภายนอกแสนเงียบเหงา ความเงียบและมืดมิดนั้นทำให้แสงไฟจากป้ายรถเมล์เป็นที่ปลอดภัยก่อนจะถึงเช้า ซึ่งน้ำเพชรเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถประคองสติตนไว้ถึงตอนที่แสงแดดมาเยือนหรือเปล่า เพราะความเพลียและพิษไข้เริ่มโจมตีและทำให้เธออยากหลับเสียเหลือเกิน
“!” น้ำเพชรสะดุ้งขึ้นมาหลังจะถูกแสงไฟหน้ารถของใครบางคนสาดเข้าตาอย่างจัง เหมือนก่อนนี้เธอสะลึมสะลือเกินกว่าจะรู้สึกตัวว่ามีรถขับมาจากอีกฝั่งถนนในจังหวะที่เธอกำลังจะข้ามเพื่อไปนั่งพักตรงป้ายรถเมล์พอดี
แสงไฟนั้นทำให้สติของเธอเลือนลางแต่เธอก็พยายามเพ่งมองรถคันนั้นก่อนที่คนขับจะลงมาจากรถ ชายแปลกหน้ายืนมองเธอเหมือนอยากจะช่วยแต่ก็ไม่มั่นใจ น้ำเพชรรู้สึกถึงความหวังแม้จะเสี่ยงแต่เธอก็เมื่อยล้าเกินกว่าจะเดินต่อไปแล้ว
ร่างบางล้มลงกับพื้นโดยที่ไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่ามีรถอีกคันขับมาจากอีกฝั่ง เป็นอันว่าเธอทำให้รถสองคันต้องจอดประจันหน้ากับโดยมีเธอสลบอยู่กึ่งกลางเสียอย่างนั้น ชายแปลกหน้าจากรถคันแรกจึงรีบวิ่งเข้ามาประคองตัวเธอขึ้นแล้วพยายามเขย่าตัวเรียกสติของเธอ
“คุณ! ตื่นก่อน คุณ...”
“ช่วย...ด้วย” หญิงสาวเอ่ยเสียงแผ่วก่อนจะหมดสติไป ชายแปลกหน้ารับรู้ถึงคำขอนั้นพลางมองใบหน้าของเธอที่ทำให้เขาต้องหยุดชะงักไป แต่เขาก็ต้องสะดุ้งขึ้นเมื่อรถอีกคันเปิดไฟสูงขึ้นมาแวบหนึ่งแทนคำทักทายก่อนที่ธีร์จะเดินเปิดประตูลงมาพร้อมร่วมคันใหญ่สีดำในมือพร้อมกับย่างกรายมาหยุดยืนตรงหน้าชายคนนั้นที่ประคองน้ำเพชรเอาไว้
“ได้ยังไงกัน...” ชายหนุ่มจดจ้องใบหน้าของเธอด้วยอาการตัวสั่น เขาจำหญิงสาวในอ้อมแขนได้เป็นอย่างดีและมันไม่ใช่เรื่องปกติแน่ที่เขาจะได้เจอกับเธอกลางสายฝนยามดึกแบบนี้
ธีร์มองชายตรงหน้าพร้อมกับน้ำเพชรที่สลบไป ย่านนี้ไม่ใช่ย่านที่คนพลุกพล่านมากนักโดยเฉพาะยามดึก ผู้คนที่จะมาที่นี่ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่มาคฤหาสน์สุริยันเป็นส่วนใหญ่ และแน่นอนว่าชายคนนี้ก็เป็นอีกคนที่มายังคฤหาสน์สุริยันโดยไม่ได้บอกล่วงหน้าแม้ว่ามันจะดึกมากแล้ว
“คงไม่ต้องถามแล้วล่ะมั้ง พากลับบ้านก่อนค่อยว่ากันอีกทีละกัน” ธีร์พูดก่อนจะยื่นร่มไปที่ชายหนุ่มที่ยังนิ่งค้างเพราะงงกับสถานการณ์ตรงหน้า “ทำหน้าโง่อีกแล้ว กางร่มให้หน่อยสิ”
“นี่มันอะไรกัน ทำไมเธอถึงยัง...”
“เดี๋ยวกลับไปค่อยเล่าให้ฟัง” ธีร์ตัดบทเพียงเท่านั้นก่อนจะอุ้มร่างของน้ำเพชรขึ้นมาโดยที่ชายหนุ่มคนนั้นลุกขึ้นยืนกางร่มให้ทั้งคู่ แม้จะยังไม่เข้าใจอะไรมากนักก็ตาม เขาจึงเริ่มถามโดยไม่รอช้า
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่นายใหญ่ ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงหน้าเหมือน... นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน”
“นายใหญ่? เดี๋ยวนี้เรียกพ่อไม่เป็นแล้วจริงๆ ใช่ไหมไตร”
และใช่ ชายแปลกหน้าคนนี้คือ ไตร ลูกชายของธีร์
แม้ว่าชายหนุ่มวัยเบญจเพสคนนี้จะไม่ถูกกับพ่อของเขาเท่าไหร่นักจนตัดสินใจไปอยู่ส่วนตัวเพียงลำพังตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นและไม่แสดงความนับถือพ่อแท้ๆ ที่อายุไม่ห่างกันนัก แต่เขาก็ยังทำงานในเครือข่ายตระกูลสุริยันและยังกลับมาคฤหาสน์บ้างเป็นบางครั้ง ซึ่งการมาครั้งนี้มันสุดแสนจะประจวบเหมาะกับการตั้งคำถามเหลือเกิน
“นั่นไม่ใช่ประเด็น ผมว่าเราต้องคุยกันเรื่องเธอนะ” ไตรพูดอย่างจริงจัง แม้เขาจะไม่เข้าใจในท่าทีที่ไม่สะทกสะท้านหรือมีอารมณ์ร่วมของผู้เป็นพ่อก็ตาม ทั้งที่หญิงสาวผู้ซึ่งมีหน้าตาและชื่อเหมือนกันกับคนในอดีตโผล่มาโดยไม่มีสาเหตุแบบนี้มันควรจะเป็นเรื่องใหญ่
พ่อของเขาคิดจะทำอะไรกันแน่
เช้าวันต่อมา
เปลือกตาสวยค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างอ่อนแรง น้ำเพชรพยายามปรับสายตาแล้วมองเพดานห้องที่มันดูจะคุ้นจนใจของเธอเริ่มหวั่น เมื่อตั้งสติได้ดังนั้นหญิงสาวจึงรีบลุกพรวดขึ้นมาจากเตียงทันใด เธอกวาดสายตามองโดยรอบและก็มั่นใจในทันทีว่านี่คือห้องนอนของตัวเองในคฤหาสน์สุริยัน
เกิดอะไรขึ้น หรือว่าพวกเขาตามหาเธอจนเจอและพากลับมาที่นี่ เขาคงรู้แล้วว่าเธอตั้งใจจะหนี แล้วถ้าหากเป็นเช่นนั้นจะเกิดอะไรขึ้นกับเธออีก น้ำเพชรเกิดคำถามมากมายในหัวด้วยความสับสนและหวั่นใจ เธอจำได้ว่าเมื่อคืนก่อนหมดสตินั้นเธอได้พบกับผู้ชายแปลกหน้าที่ขับรถมาแถวนั้นพอดี หรือเกิดอะไรขึ้นกับเขาไปแล้ว
“ตื่นแล้วหรือครับ?” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นพร้อมกับการเปิดประตูเข้ามาอย่างได้จังหวะของไตรนั้นทำให้หญิงสาวตกใจจนหลุดออกมาจากภวังค์ความคิดของตัวเอง เธอหันไปมองเขาแล้วก็จำได้ทันทีว่าเขาคือชายคนเดียวกับที่เธอขอความช่วยเหลือเมื่อคืน แล้วทำไมเขาจึงมาอยู่ที่นี่ได้กัน
“คุณ...เอ่อ ที่นี่”
“นายใหญ่เล่าเรื่องของคุณให้ผมฟังหมดแล้วครับ”
“คุณรู้จักเขาด้วยหรือคะ?”
“เขาเป็นพ่อผมเอง”
“...” น้ำเพชรหุบปากฉับหลังฟังคำตอบที่ทำให้เธอหน้าชา หนีเสือปะจระเข้หรือยังไงกันทั้งที่วิ่งหนีพ่อเขาไปไกลแล้วแท้ๆ กลับไปขอความช่วยเหลือจากลูกชายเขาเสียได้ แต่ทำไมลูกชายถึงดูอายุไม่ห่างกันเท่าไหร่เลย
“ไม่ต้องห่วงนะ ผมเข้าใจว่าคุณอาจจะยังสับสนหรือกลัว แต่ผมรับประกันเลยว่าจะไม่มีใครที่นี่ทำร้ายคุณอย่างแน่นอน และนายใหญ่ก็ไม่ได้พาคุณกลับมาเพื่อขังหรอก เพียงแต่เมื่อคืนคุณสลบไปเลยต้องกลับมารักษาตัวเท่านั้น”
หญิงสาวเงียบไปด้วยความไม่แน่นอนใจ ไตรมองมายังเธอแล้วพิจารณาทั้งชื่อ หน้าตาและน้ำเสียงช่างเหมือนกับเธอคนนั้นเสียเหลือเกิน เพียงแต่ท่าทางและความระแวงนั้นต่างกัน เพราะหากเป็นเธอคนนั้นคงไม่มีทางจะกลัวหรือวิ่งหนีเช่นนี้อย่างแน่นอน
“ผมชื่อไตรนะครับ ถ้ามีอะไรอยากรู้เกี่ยวกับบ้านหลังนี้ก็ถามผมหรือนายใหญ่ได้เลย ไม่ต้องกลัวนะ”
“นายใหญ่พูดอะไรบ้างหรือคะ?”
“หมายถึง?”
“เรื่องเมื่อคืน” น้ำเพชรเอ่ยถาม
“อ่า...เรื่องนี้ผมก็ไม่รู้แฮะ เขาพูดแค่ว่าคุณคงตกใจ ส่วนเรื่องอื่นคงต้องไปถามเขาเองนะครับ”
“...”
“เขาไม่ทำร้ายคุณหรอกครับ เพราะถ้าคิดจะทำก็คงไม่พากลับมานอนที่นี่ ยังไงซะถ้าถามไปตรงๆ ก็ไม่มีอะไรเสียหายหรอกครับ” ไตรพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะทำท่าเดินออกไป “ผมให้คุณพักผ่อนก่อนดีกว่า ตามสบายนะ”
“ขอบคุณค่ะ” น้ำเพชรตอบกลับเสียงเบาก่อนที่ไตรจะเดินออกไป หญิงสาวนั่งคิดในใจเพียงลำพังในห้องนอนกว้าง เธอต้องการหาคำตอบแต่เธอก็กลัวกับคำตอบนั้น ได้แต่ภาวนาให้ความทรงจำของเธอกลับมาในเร็ววัน แต่ก่อนจะถึงเวลานั้นเธอควรไปถามนายใหญ่กับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ
น้ำเพชรตัดสินใจเดินออกมาจากห้องนอนของตัวเองหลังทำใจอยู่นานเพราะไม่กล้าเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย ทั้งที่เธอมีเหตุผลในการจะหนีไปด้วยความหวาดกลัวแต่อีกใจกลับรู้สึกผิดที่หนีไปโดยไม่ถามเหตุผลที่แท้จริง อีกทั้งเขายังพาเธอกลับมาจนพิษไข้หายไปอีก
เธอคิดไว้ว่าจะมาถามให้รู้เรื่องกับเรื่องทั้งหมดที่เธอไม่เคยกล้าถามมาก่อน แล้วหลังจากนั้นค่อยตัดสินใจอีกทีว่าควรจะอยู่ที่นี่ต่อไปหรือไปจากที่นี่ซะ แม้ในความจริงแล้วเธอจะไม่มีที่ให้ไปก็ตาม
ประตูห้องรับรองถูกเปิดออกด้วยฝีมือของขุน ซึ่งยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องเพียงลำพังและไม่ตั้งคำถามกับน้ำเพชรที่เดินมายังห้องนี้หลังจากถามแม่บ้านว่านายใหญ่อยู่ที่ไหน น้ำเพชรจึงค่อยๆ เดินเข้าไปในห้องนั้นก่อนที่เธอจะรู้สึกถึงกลิ่นสีน้ำมันโชยเข้ามาในจมูก
ดวงตากลมหันไปจดจ้องชายเจ้าของบ้านที่นั่งวาดรูปบนผืนผ้าใบสีขาวเพียงลำพังภายในห้องกว้างที่มีเชลโล่และเปียโนวางอยู่ไม่ไกล มีภาพวาดสีน้ำมันมากมายถูกติดไว้ตรงผนังห้องราวกับพิพิธภัณฑ์ศิลปะ เสียงเพลงถูกเปิดจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงโบราณทำให้บรรยากาศในห้องสุนทรีย์มากขึ้น
เธอไม่คิดว่าธีร์จะมีอารมณ์ศิลป์ขนาดนี้ ตลอดอาทิตย์แรกที่อยู่ที่นี่เธอไม่ค่อยได้พบเขาเลยเพราะเขามักจะออกไปทำงานนอกบ้าน ผู้ชายคนนี้ดูจะมีอีกหลายสิ่งที่ทำให้เธอแปลกใจ ทั้งเรื่องลูกชายที่ดูไม่สนิทสนมกันถึงขั้นไม่เรียกพ่อเพราะไตรก็เรียกเขาว่านายใหญ่ แล้วไหนจะความเงียบเหงาในบ้านหลังใหญ่อีก
“ขอโทษนะคะ หนูรบกวนคุณหรือเปล่า?” น้ำเพชรเอ่ยทักขัดจังหวะ
“ไม่หรอก นั่งก่อนสิ” เขาตอบรับพลางมองไปที่เก้าอี้หน้าเปียโน น้ำเพชรจึงเดินไปนั่งพลางมองธีร์ที่กำลังจัดการกับกระดาษและกระดานวาดรูปของเขา “มีอะไรหรือเปล่า?”
“คือ...เรื่องเมื่อคืน”
“...”
“หนูเห็นคุณกับคนพวกนั้นแล้วก็...ปืน” น้ำเพชรพยายามระวังคำพูดที่สุดเพราะเธอก็ไม่อาจมั่นใจในความปลอดภัยของตัวเองได้ ธีร์มองเธอที่ทำตัวไม่ถูกก่อนที่เขาจะหันกลับมาวาดรูปต่อแต่ก็ตอบเธอไปด้วย
“เมื่อคืนเป็นการประชุมลับของเครือข่ายสุริยัน ส่วนคนที่ตายเป็นหนอนบ่อนไส้ที่ลอบทำร้ายฉัน”
“...”
“มันไม่ใช่เรื่องปกติหรอก งานที่ฉันทำมันไม่ใช่งานที่ดีทั้งหมด ฉันทำธุรกิจสุจริตก็จริงแต่ตราบใดที่ในที่ประชุมจักรวาลยังมีบางตระกูลทำธุรกิจอื่นปะปน มันก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการขัดแข้งขัดขาและชิงพื้นที่ทางธุรกิจกัน”
“ที่ประชุมจักรวาล?”
“ลองเปิดหลังเปียโนดูสิ” เขาบอกเสียงเรียบ ทำให้น้ำเพชรลุกขึ้นไปยังเปียโนหลังใหญ่แล้วเปิดมันขึ้นมา ดวงตาหญิงสาวเบิกโพลงกับสิ่งที่เห็นเพราะมันคือปืนไฟขนาดเท่าลำแขน ถึงจะดูเก่าแต่มันกลับดูสวยและน่าเกรงขามไม่น้อย
“นี่คือปืนอะไรคะ?”
“เราเรียกกันว่ากำเพลิงอาทิตย์ เป็นอาวุธประจำตระกูลสุริยัน มีเพียงผู้นำตระกูลที่จะครอบครองและใช้งานมันได้ มันเป็นเหมือนสัญลักษณ์การมีอยู่ของพวกเรา”
“ดูใหญ่กว่าปืนปกตินะคะ”
“แล้วก็อันตรายกว่าด้วย”
“...”
“ปืนปกติใช้กระสุน แต่กำเพลิงอาทิตย์จะปล่อยไฟออกมาอย่างรุนแรง”
“...”
“มันอาจจะฟังดูประหลาด แต่ความจริงแล้วอาวุธพวกนั้นเป็นส่วนหนึ่งจากการทำสัญญากับเทพและปีศาจของทั้ง 5 ตระกูลที่รวมกลุ่มกันแล้วเรียกว่าที่ประชุมจักรวาลมาตั้งแต่โบราณ อาวุธของแต่ละตระกูลจะถูกตกทอดต่อมายังลูกหลานที่เป็นผู้นำทางสายเลือด ไม่ก็คนที่ยอมรับเข้าร่วมกับตระกูลนั้น”
“แล้วอาวุธพวกนี้ใช้ได้จริงๆ หรือคะ?”
“ใช้ได้จริงๆ แต่มันก็เหนือธรรมชาติสักหน่อยนะ” ธีร์พูดพลางแค่นหัวเราะราวกับว่าตนกำลังเล่านิทานหลอกเด็กแต่ไม่ถึงเสี้ยววินาทีเขาก็วางมือจากพู่กันแล้วลุกขึ้นแล้วเรียกอาวุธของตัวเอง “อาทิตย์!”
พรึ่บ!
“!?”
น้ำเพชรสะดุ้งสุดตัวเมื่อจู่ๆ กำเพลิงที่ซ่อนไว้ใต้หลังเปียโนก็ไปโผล่ที่มือของธีร์ภายในชั่วพริบตาดั่งเวทมนตร์ แม้มันจะดูมีน้ำหนักมากแต่ธีร์ก็สามารถยกมันอย่างถนัดมือได้ภายในมือเดียว น้ำเพชรยืนอึ้งกับภาพตรงหน้าและไม่คิดว่าสิ่งที่ธีร์พูดจะเป็นเรื่องจริง มันดูเหมือนเป็นเรื่องมหัศจรรย์แต่มันกลับมีจริง มันมีจริงๆ
“ฉันดูเหมือนพ่อมดขนาดนั้นเลยหรือ?” ธีร์เหยียดยิ้มถามด้วยน้ำเสียงน่าหมั่นไส้ ให้ตายเถอะ คนปกติที่ไหนเขาเสกอาวุธเข้ามือได้แบบนั้นกัน เรียกโดยไม่บอกกล่าวกันล่วงหน้าแบบนั้นตั้งใจแกล้งกันหรือยังไง “ความจริงฉันไม่มีพลังวิเศษอะไรหรอก แต่พลังพวกนั้นมันมาจากอาวุธที่มีและฉันเป็นผู้นำตระกูลก็เลยใช้อาวุธนั้นได้”
“ยังมีคนอื่นที่ทำแบบนี้ได้ไหมคะ?”
“มีสิ อีกสี่ตระกูลของที่ประชุมจักรวาล” ธีร์ตอบพลางมองน้ำเพชรที่นั่งลงบนเก้าอี้หน้าเปียโนดังเดิมและเริ่มสนใจที่จะฟังสิ่งที่นายใหญ่กำลังจะเล่า “พวกเรามีกัน 5 ตระกูล สุริยัน จันทรา เมฆา โลกาและดารา ในอดีตผู้นำตระกูลเป็นเจ้าเมืองจากที่ต่างๆ ซึ่งทำสัญญาเป็นพันธมิตรเพื่อไม่ให้ทำร้ายกันเอง แต่ความจริงก็ลอบทำร้ายกันนอกเหนือกฎที่ตั้งไว้อยู่ดี”
“...”
“พวกเขาร่วมกันทำสัญญากับพ่อมดที่บูชาปีศาจเพื่อขออาวุธให้ตระกูลของตัวเองในการปกป้องเมือง แต่เพราะต้องคอยมอบชีวิตทายาทให้พ่อมดไปบูชาปีศาจในทุกร้อยปี ผู้นำรุ่นหลังจึงหาทางปฏิวัติให้พ่อมดทำสัญญากับปีศาจใหม่หรือไม่ก็จัดการปีศาจทิ้งไปซะ”
“...”
“พวกพ่อมดบางคนไปทำข้อตกลงแต่ไม่เป็นผล ปีศาจจะยึดพลังทั้งหมดคืนหากไม่ทำตามใจ จนมีหนึ่งในปีศาจนั้นเสนอตัวจะช่วยพวกผู้นำทำลายปีศาจตัวอื่นพร้อมกับฆ่าพ่อมดทิ้งซะ แต่มีข้อแม้ว่าต้องให้เขาเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลที่ถือครองอาวุธของเขา ถึงอย่างนั้นเขาก็จะไม่ยุ่งเรื่องในตระกูลต่างๆ ตราบใดที่ไม่มีใครไปทำสนธิสัญญาอะไรกับเขา”
เพชรนั่งฟังอย่างตั้งใจกับเรื่องราวเหนือธรรมชาติที่อยู่ในรูปแบบตระกุลมาเฟียหรือตระกูลช้างเผือก อาวุธ พลัง ปีศาจ พ่อมด เจ้าเมือง เรื่องพวกนั้นมันควรอยู่ในหนังสือนิยายแฟนตาซีเสียมากกว่า แม้จะฟังดูสนุกแต่เมื่อนึกถึงความทรงพลังพวกนั้นที่ตกทอดมายังปัจจุบันแล้วดูจะไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลยสักนิด
หญิงสาวจดจ้องนายใหญ่จนเขาลอบยิ้มออกมา มือหนาจับพู่กันแต้มสีลงบนผืนผ้าใบพลางเล่าเรื่องราวทั้งหมดต่อไปแล้วคอยมองน้ำเพชรที่อยู่ตรงหน้า เธอคงเริ่มผ่อนคลายลงบ้างแล้วแตกต่างจากเมื่อวานที่รีบวิ่งหนีออกไป
“ไม่เล่าต่อหรือคะ?” เธอเอ่ยถามเมื่อเห็นธีร์เงียบไปเพราะเอาแต่คอยลอบมองเธอ
เป็นเด็กขี้สงสัยนี่เองสินะ
“ล้างพู่กันให้หน่อยสิ” เขาพูดขึ้นพลางมองไปที่พู่กันซึ่งวางใกล้ตัวร่วมกับถังน้ำ ทำให้น้ำเพชรรีบลุกขึ้นแล้วหยิบพู่กันพวกนั้นมาล้างพร้อมกับรอฟังต่อไป
“...”
“ตอนนั้นทุกคนตกลงและจัดการทุกอย่างซะ อาวุธยังมีพลังเหมือนเดิมและปีศาจตนนั้นก็ใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ทั่วไปเพียงแต่มีพลังเชื่อมกับอาวุธ หากอาวุธใช้งานไม่ได้ เขาก็ยังใช้ชีวิตแบบมนุษย์ทั่วไปได้ เขาเป็นปีศาจของตระกูลเมฆาที่ล่มสลายไปเมื่อ 30 ปีก่อน”
“ล่มสลาย?”
“จะเรียกว่าล่มสลายก็ฟังดูยิ่งใหญ่ไป อืม...ความจริงแล้วเรียกว่าถูกยุบเพราะไม่มีผู้นำคนต่อไปมากกว่า”
“...”
“เมื่อ 30 ปีก่อนมีการทะเลาะกันเองในที่ประชุมจักรวาล เกิดการไล่ล่าและยึดครองอำนาจของตระกูลอื่นโดยเริ่มจากตระกูลดาราและจันทรา ตอนนั้นตระกูลจันทราและดาราต้องการยึดตระกูลเมฆาเพื่อควบคุมปีศาจตนนั้น แต่พวกเขาหาอาวุธไม่เจอจึงตัดสินใจฆ่าล้างตระกูลแล้วค่อยตามหาอาวุธอีกที”
“...”
“ความจริงตระกูลจันทราจะเข้าร่วมกับตระกูลดาราสำเร็จแล้วแต่น้องสาวของผู้นำตระกูลจันทราขโมยอาวุธและตั้งตนเป็นผู้นำตระกูลแทนพี่ชาย ตอนนี้ตระกูลจันทราจึงยังมีผู้นำอยู่เพียงแต่ไม่ได้เข้าร่วมกับที่ประชุมจักรวาลเพราะผู้นำหญิงคนนั้นหายตัวในเวลาต่อมา ที่ประชุมจักรวาลตอนนี้ก็เหลือแค่สุริยัน ดาราและโลกา”
“พวกคุณยังต้องฆ่ากันเองสินะคะ” น้ำเพชรพูดขึ้นหลังจากฟังเรื่องราวความเหลือเชื่อและโหดร้ายทั้งหมด ดูจะเป็นการแย่งชิงพลังอำนาจที่ไม่สิ้นสุดและมีความเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา ธีร์ลอบมองเธอที่ทำสีหน้าครุ่นคิดก่อนที่เขาจะพูดต่อไป
“มันเป็นเรื่องที่ฉันควบคุมไม่ได้หรอก คนเรานิสัยไม่เหมือนกัน”
“...”
“หลังจากจบเหตุการณ์นั้นมา 5 ปีก็มีคนรู้ที่ซ่อนอาวุธของตระกูลเมฆา มันคือง้าววาริธ เป็นอาวุธที่ปีศาจตนนั้นผูกพลังตัวเองเอาไว้ ผู้นำตระกูลเมฆาที่ครอบครองอาวุธนั้นอย่างลับๆ จึงต้องฆ่าตัวตายเพื่อซ่อนมันอีกครั้ง”
“ทำไมต้องฆ่าตัวตายล่ะคะ อาวุธก็ยังอยู่”
“ต่อให้มีอาวุธแต่ถ้าผู้นำคนล่าสุดตายโดยยังไม่ส่งมอบให้ใคร อาวุธก็จะไม่มีพลังและปีศาจตนนั้นก็กลายเป็นคนธรรมดาที่มีชีวิตเป็นอมตะเท่านั้น อาจเพราะแบบนี้จึงยอมตายเพื่อไม่ให้อาวุธมีพลังครบทุกตระกูล”
“...”
“ถ้ามีใครได้ครอบครองอาวุธที่มีพลังทุกชิ้น ก็เหมือนกับเขาครอบครองที่ประชุมจักรวาลทั้งหมด พอจบเหตุการณ์ที่ง้าววาริธหายไปอีกครั้ง ผู้นำตระกูลจันทราจึงกลับมาเพื่อเป็นเสียงในการสนับสนุนข้อตกลงว่าต่อไปนี้ห้ามมีการขโมยหรือทำลายอาวุธไม่ว่าจะตระกูลตัวเองหรือตระกูลอื่น หากฝ่าฝืนจะถูกถอดจากที่ประชุมและถูกทำลายอาวุธเสียเอง”
“แต่พวกคุณก็ยังทำร้ายกันอยู่”
“ตอนนี้สงบกว่าตอนนั้นแล้วล่ะ ตราบใดที่อาวุธไม่ครบก็ไม่มีประโยชน์ในการทำลายกันเอง แต่ถึงอย่างนั้นก็พูดได้ไม่เต็มปากหรอกนะว่าพวกเราจะญาติดีต่อกัน”
“แล้วหนอนบ่อนไส้ที่เข้ามาเมื่อคืนเป็นคนของตระกูลอื่นหรือเปล่าคะ?”
“ใช่ เป็นคนของตระกูลดารา แต่ขุนยิงทิ้งเพราะระหว่างประชุมชายคนนั้นจะลอบยิงฉัน”
“...”
“ฉันไม่ใช่คนดีหรอกน้ำเพชร ตั้งแต่ที่ฉันเกิดและอยู่ในวังวนของที่ประชุมจักรวาลก็ไม่เคยจะมือสะอาดได้เต็มตัวเลย แต่ฉันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องทำร้ายหนูหรอก”
“แล้วมีเหตุผลอะไรที่คุณให้หนูอยู่ที่นี่หรือคะ?” เธอเอ่ยถามด้วยความสงสัยจากใจจริง ทำให้ร่างสูงนิ่งไปก่อนที่จะหันมาจดจ้องใบหน้าหวานของอีกฝ่ายที่มองเขาเช่นกัน พวกเขาเป็นเหมือนคนรู้จักแต่ก็ราวกับคนแปลกหน้า และการอยู่ในบ้านของมาเฟียที่มีเสียงปืนและธุรกิจลับแบบนี้ก็คงไม่ใช่ชีวิตที่ใครอยากได้
“เพราะฉันอยากให้หนูใช้ชีวิตแบบที่หนูชอบ”
“?”
“ฉันไม่รู้หรอกว่าหนูอยากอยู่ที่นี่หรืออยากหนีไป นั่นเป็นการตัดสินใจของหนู”
“...”
“ต่อให้หนูจะไปอยู่ที่อื่น ฉันก็ไม่มีปัญหาเรื่องส่งเงินหรืออย่างอื่น หนูอยากได้อะไรก็แค่ขอฉันมาตรงๆ ก็พอ อยากไปที่ไหนหรือทำอะไรก็ตามใจ จะบอกหรือไม่นั่นเป็นสิทธิ์ของหนู แต่ถ้าอยากขอความช่วยเหลือ ฉันอยากให้หนูนึกถึงฉันเป็นคนแรกก็เท่านั้นและก็ขอแค่อย่างเดียว”
“อะไรคะ?”
“ช่วยมีชีวิตอย่างมีความสุข แค่นั้นแหละ”
น้ำเพชรนิ่งไปกับคำขอนั้นที่ฟังดูเป็นน้ำเสียงจริงจังของคนตรงหน้า คนๆ หนึ่งที่ไม่บังคับเธอสักเรื่องและพร้อมช่วยเหลือ ขอเพียงแค่ให้เธอมีชีวิตอยู่เนี่ยนะ มันออกจะน่าเหลือเชื่อสิ้นดี ทำไมเขาจะต้องตามใจเธอและทำเพื่อเธอด้วย ทั้งที่เธอกับเขามีสถานะที่ไม่ใช่ลูกหลานหรือคนรัก
เธอไม่เข้าใจเขาเลย แม้จะพยายามจดจ้องแววตาคู่นั้นมากแค่ไหนก็ไม่มีวันเข้าใจความหมายที่แท้จริงของมัน การมีชีวิตอยู่ของเธอมันมีความหมายอะไรกับธีร์ หรือมันมีความทรงจำบางอย่างที่จะตอบคำถามนี้ได้ แต่เธอจะไปค้นหาความทรงจำพวกนั้นมันจากที่ไหนในเมื่อเธอไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง และมีแต่คนที่นี่ที่รู้จักเธอ
“ทำไมคุณถึงอยากให้หนูใช้ชีวิตอย่างมีความสุขล่ะคะ ก่อนนี้ชีวิตหนูมันแย่หรือ?”
“ถ้ามันทำให้หนูอยากลืมจนจำอะไรไม่ได้ ฉันว่ามันก็คงแย่”
“...”
“ถือว่าตอนนี้หนูได้ชีวิตใหม่แล้ว มันก็คงจะดีกว่าถ้าหนูได้ใช้ชีวิตในแบบที่หนูต้องการเสียทีใช่ไหมล่ะ”
“คงจะอย่างนั้นมั้งคะ” น้ำเพชรตอบรับไป ก่อนที่เธอจะนึกได้จึงตัดสินใจถามออกไปขณะที่มือหนาของธีร์หยิบพู่กันขึ้นมาจรดลงบนรูปวาดอีกครั้ง “หลังจากเรื่องเมื่อคืน คุณยังอนุญาตให้หนูอยู่ที่นี่หรือเปล่าคะ?”
“หืม?”
“ที่หนูหนีไป...”
“บ้านหลังนี้เป็นของหนูเหมือนกัน”
“?”
“เพราะฉะนั้นอยากอยู่หรืออยากไปก็ไม่จำเป็นต้องขอฉันหรอก”
“คุณไม่โกรธหรือคะ?”
“ฉันไม่มีสิทธิ์โกรธหนูหรอก ชีวิตของหนู การตัดสินใจของหนู”
“...”
“แค่น้อยใจน่ะ บ้านก็เงียบเหงาอยู่แล้วยังไม่อยากอยู่ด้วยกันอีก เฮ้อ...” นายใหญ่ถอนหายใจและแสร้งพูดเสียงเล็กเสียงน้อยที่ทำให้น้ำเพชรรู้สึกหมั่นไส้มากกว่าสงสาร อะไรของเขาเนี่ย ทำเป็นพูดว่าน้อยจงน้อยใจเป็นเด็กไปได้
“หนูไม่ชินกับเสียงปืนในบ้านหรอกค่ะ คนตายทั้งคนเลยนะ” น้ำเพชรเถียง
“มันเป็นเหตุสุดวิสัย ถ้าขุนไม่ทำอย่างนั้นคนที่ตายก็คงเป็นฉันเอง”
“...”
“ขอโทษนะ”
“?”
“ฉันจะย้ายทุกการประชุมไปที่บริษัท จะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายกับบ้านแล้วก็หนูอีก” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงพร้อมกับลุกขึ้นอีกครั้งแล้วเดินมาหาน้ำเพชรก่อนจะหยิบปืนกระบอกหนึ่งจากข้างลำเอวขึ้นมาแล้วยื่นให้เธอ “ปืนกระบอกนี้ถูกกฎหมาย แต่ฉันจดทะเบียนไว้ในชื่อฉัน”
“คุณให้หนูหรือคะ?”
“ใช่ เอาไว้ป้องกันตัว”
“แต่หนูใช้ไม่เป็น”
“คนสอนมีทุกที่ในบ้าน แล้วแต่หนูจะเลือกเถอะ” เขาพูดพร้อมกับยกยิ้ม น้ำเพชรจึงรับปืนกระบอกนั้นมาด้วยความกังวลเพราะมันค่อนข้างจะอันตราย “เวลาจะยิง ต้องยิงตอนที่คิดว่าตัวเองจะตายหรือตอนที่ช่วยคนอื่นที่ใกล้ตายเท่านั้น”
“...”
“เตือนสติตัวเองทุกครั้งที่ใช้ ใช้ด้วยเหตุผลอย่าใช้ด้วยอารมณ์”
“ทำไมคุณถึงเชื่อว่าหนูจะใช้มันได้ล่ะคะ มันอันตราย”
“ฉันอยู่กับหนูตลอดเวลาไม่ได้หรอก หนูต้องดูแลตัวเองและปืนกระบอกนี้ก็เพื่อให้หนูอุ่นใจขึ้น” ธีร์เอ่ยก่อนจะเดินไปนั่งยังเก้าอี้ของตัวเองแล้วเอื้อมไปยกพู่กันขึ้นมาวาดต่อ
น้ำเพชรมองเขาแล้วคิดหลายสิ่งในใจ ทั้งที่เคยคิดไม่ไว้ใจเขาแต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าเขาเองก็ไม่ขอให้เธอไว้ใจเขาเช่นกัน เธอตั้งความหวังในการพึ่งพาหรือไว้ใจคนอื่นไปเองทั้งนั้น
ธีร์ยังคงเป็นคนที่อันตรายและทำงานไม่ใสสะอาด เขาไม่แก้ตัวเรื่องงานของเขา ทำเพียงอธิบายถึงเหตุการณ์ไปตามจริงและปล่อยให้เธอตัดสินใจด้วยตัวเองว่าควรคิดกับเขาอย่างไร น้ำเพชรจดจ้องปืนกระบอกลูกซองสั้นในมือก่อนจะเปิดปลอกกระสุนดูแล้วจึงพบว่ามันมีลูกสุนบรรจุอยู่ครบ
แต่ทำไมเธอถึงรู้วิธีการใช้มันล่ะ ทำไมเธอถึงเปิดปลอกกระสุนเป็น?
ณ คฤหาสน์ดารา
ฉึก!
เสียงปลายลูกศรธนูปักลงบนเป้าโลหะอย่างแม่นยำ แม้เหล็กกล้าซึ่งถูกหลอมมาทำเป็นเป้าจะแข็งแกร่งมากเพียงไหนก็ไม่อาจต้านทานแรงจากลูกศรที่ส่งมาจากธนูมูลา อาวุธประจำตระกูลดาราไปได้
ธนูทองแท้ที่มีน้ำหนักพอดีมือถูกส่งต่อรุ่นสู่รุ่นภายในตระกูลดารา หนึ่งในตระกูลช้างเผือกที่ร้ายกาจที่สุดในที่ประชุมจักรวาล แน่นอนว่าธนูนี้มีลูกศรเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะยิงไปกี่ครั้งคันธนูก็จะเสกลูกศรใหม่ขึ้นมาด้วยตนเอง
ลูกศรทองปลายคมนั้นสามารถทะลุเหล็กและโลหะได้ หากถูกร่างกายก็ยากจะสู้ไหว แม้จะเป็นร่างกายของหนึ่งในผู้นำตระกูลที่ต้านทานพลังของอาวุธตระกูลต่างๆ ได้มากกว่าคนทั่วไปก็ใช่ว่าจะต้านทานธนูมูลาได้ ยิ่งธนูคันนี้อยู่ในมือของผู้นำตระกูลหญิงที่มีความสามารถและสายตาแม่นยำแล้วยิ่งอันตรายกว่าเดิม
นายหญิงรสริน ผู้นำตระกูลดาราเหยียดยิ้มที่มุมปากอย่างพึงพอใจกับผลงานที่ไม่เคยพลาดของลูกสาวเพียงคนเดียวที่กำลังฝึกซ้อมธนูอยู่ แม้ว่าโรสจะรักงานศิลปะและไม่สนใจธุรกิจของตระกูลมากนัก แต่รสรินก็ไม่ยอมให้ลูกสาวทอดทิ้งอาวุธประจำตระกูลเด็ดขาด เพราะวันหนึ่งโรสอาจจะต้องได้ทำหน้าที่นี้ต่อจากเธอก็ได้
“ที่มหาลัยเป็นยังไงบ้าง ไม่เห็นเล่าให้แม่ฟังบ้างเลย” รสรินเอ่ยถาม
“ก็ปกตินะคะ แต่ที่แปลกๆ คืองานเมื่ออาทิตย์ก่อนมากกว่า”
“งานรูปวาดแปลกๆ ของแกน่ะหรือ”
“แม่ก็ไม่ชอบเรื่องนี้อยู่แล้วนี่คะ” โรสพูดปัดไปอย่างรู้นิสัยของผู้เป็นแม่ แม่ของเธอสนใจแต่เรื่องธุรกิจและอาวุธซึ่งแตกต่างจากเธออย่างมาก “มีผู้ชายคนนึงยืนมองรูปนึงนานมาก ตั้งแต่เปิดงานยันจบเลย แล้วเขาก็บอกว่ารู้จักแม่ด้วยนะคะ แต่หนูไม่เคยเห็นหน้าเลย”
“ใคร?”
“เขาบอกว่าชื่อ พระเพลิง ค่ะ” โรสตอบไปตามความจริง ซึ่งชื่อนั้นทำให้รสรินชะงักไปทันใด เธอขมวดคิ้วก่อนจะครุ่นคิดบางสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ตอนนี้เธอยังไม่มั่นใจอะไรนักแต่หากสิ่งที่โรสเป็นเรื่องจริง
เธอคงต้องไปคฤหาสน์สุริยันสักวันแล้วล่ะ
#วชิรอาญา