วชิรอาญา
1
เปรี้ยง!
เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นกลางดึกบ่งบอกสัญญาณของความไม่ปกติที่กำลังจะเกิดขึ้น ดวงตาสีนิลลืมตาขึ้นอย่างฉับพลันด้วยอาการสะดุ้งตื่นพร้อมเหงื่อท่วมหน้าผาก ร่างสูงลุกขึ้นนั่งพรวดพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปมองนาฬิกาตั้งโต๊ะเรือนเล็กที่ตั้งอยู่บนชั้นวางข้างหัวนอนของเตียงกว้าง
นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนตามข้อตกลงที่เขามอบให้กับใครบางคนไว้ ธีร์ได้แต่หวังว่าข้อตกลงนั้นจะส่งผลให้ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี เพราะมันเป็นสิ่งที่เขารอมาเนิ่นนาน
ก๊อกๆๆ!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนที่ไตรจะลุกขึ้นจากเตียงแล้วย่างกรายไปเปิดประตู ร่างสูงมองชายวัยกลางคนตรงหน้าซึ่งคือขุน บอดี้การ์ดคนสนิทของเขาเอง
“คุณน้ำเพชรฟื้นแล้วครับนายใหญ่” การันต์เอ่ยด้วยความร้อนใจ ก่อนที่ธีร์จะรีบสาวเท้าไปยังห้องพักของน้ำเพชรซึ่งอยู่อีกปีกขวาของบ้านหลังใหญ่ของตระกูลสุริยัน หนึ่งในห้าตระกูลมาเฟียที่สืบทอดอาวุธและกฎต่างๆ ของที่ประชุมจักรวาล
คนทั่วไปไม่เคยรู้เกี่ยวกับการมีอยู่ของทั้งห้าตระกูลนี้และพลังจากอาวุธเหนือธรรมชาติ ซึ่งประกอบไปด้วยตระกูลสุริยัน ตระกูลจันทรา ตระกูลเมฆา ตระกูลดาราและตระกูลโลกา ตระกูลเหล่านี้สืบทอดพลังวิเศษประจำตระกูลรวมไปถึงอาวุธที่ผู้นำตระกูลเท่านั้นจะพึงมี
พวกเขาใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป ไม่ใช่เทพหรือผู้มีพลังวิเศษ เพียงแต่อาวุธที่แต่ละตระกูลครอบครองนั้นมีพลังของเทพหรือปีศาจจากครั้งอดีตกาลและอาวุธแต่ละชิ้นก็มีความพิเศษแตกต่างกัน หากมีอาวุธของตระกูลใดสูญสลายก็เท่ากับว่าอำนาจของตระกูลนั้นถูกตัดออกจากที่ประชุมจักรวาลไปด้วย
ทุกตระกูลมักจะมีธุรกิจถูกกฎหมายของตนเองอยู่เบื้องหน้า แต่แน่นอนว่าพวกเขาเติบโตได้จากธุรกิจลับในเบื้องหลังเช่นกัน และการปกปิดความลับทั้งเรื่องอาวุธ พลังอำนาจและธุรกิจของแต่ละตระกูลจึงทำไปเพื่อผลประโยชน์และความปลอดภัยของทุกฝ่าย แม้ว่าพวกเขาจะต้องการโจมตีตระกูลอื่นอยู่ตลอดเวลา
ธีร์เป็นผู้นำตระกูลสุริยันมา 25 ปีแล้ว ปัจจุบันเขาอายุ 45 ปีบริบูรณ์ ชีวิตของเขายังคงต้องอยู่ในวงจรของที่ประชุมจักรวาล มันเป็นโชคชะตาที่ยากจะเลี่ยงได้ แม้จะครอบครองอาวุธทรงพลังแต่ก็แลกมากับอิสรภาพทั้งชีวิต เขารับตำแหน่งต่อมาจากพ่อที่จากไปและยังคงดำรงตำแหน่งอยู่จนถึงตอนนี้
ขายาวก้าวเดินไปตามทางเดินในคฤหาสน์หลังใหญ่ ยามวิกาลบ้านหลังนี้ก็เป็นดั่งปราสาทผีสิงที่ไร้แสงสว่างและปกคลุมไปด้วยความเงียบ แม้ความจริงแล้วมันจะเคยเป็นบ้านแสนสุขมาก่อนก็ตาม
ณ ROSE GALLARY
ชายหนุ่มในชุดสูทสีแดงก่ำยืนจดจ้องไปที่รูปภาพหนึ่งภายในงานจัดแสดงศิลปะจิตรกรรม ซึ่งรวบรวมผลงานของศิลปินนิรนามหลายคนในไทยมาจัดแสดง มีทั้งผลงานเก่าและใหม่แต่ชายหนุ่มชุดแดงกลับสนใจเพียงภาพเดียวภายในงานนั้น
ผู้คนที่เดินผ่านไปมาในงานล้วนแล้วเป็นพวกมีเงินและมีเวลาว่างในการเสพงานศิลป์ เพราะเจ้าของแกลลอรี่แห่งนี้เป็นลูกสาวของผู้นำตระกูลใหญ่ซึ่งครองตลาดสิ่งทอและอหังสาริมทรัพย์ เพียงแต่ลูกสาวเพียงคนเดียวนั้นสนใจในเรื่องศิลปะมากกว่าธุรกิจของที่บ้านจึงจัดงานนี้ขึ้นมา
“ฉันเห็นคุณจ้องรูปนี้มานานมาแล้ว ชอบรูปสีน้ำมันหรือคะ?” โรส เจ้าของแกลลอรี่เดินมาถามพลางยิ้มหวานให้กับชายหนุ่มสูทแดงที่ถือแก้วไวน์ทรงสูงจิบพร้อมดูภาพวาดสีน้ำมันผืนเดิมตรงหน้า
ไม่ได้มีเพียงรูปภาพที่ดึงดูดความสนใจจากคนที่ย่างกรายผ่านมา แต่ชายหนุ่มสูทแดงคนนี้ก็กลายเป็นจุดสนใจของคนในงานเช่นกัน ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูดีทั้งหน้าตาและการแต่งกาย แต่ก็ไม่มีใครกล้าเสียมารยาทในการเสพงานศิลป์ของเขา
โรสเองก็ไม่อยากจะรบกวนเวลาส่วนตัวของชายคนนี้ เพียงแต่งานจัดแสดงใกล้หมดเวลาเต็มที่และเธอก็สังเกตตั้งแต่แรกแล้วว่าผู้ชายคนนี้ยืนดูรูปตรงหน้าตั้งแต่ช่วงเปิดงานจนถึงตอนนี้
“คุณไปได้รูปนี้มาจากไหนหรือครับ?” ชายหนุ่มหันมาถามพลางยิ้มที่มุมปากด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปจากเมื่อครู่ จากความสุขุมกลับเปลี่ยนเป็นสายตาขี้เล่นที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ในแบบเจ้าเล่ห์อย่างบอกไม่ถูก
“ได้มาจากศิลปินนิรนามคนหนึ่งน่ะค่ะ เขาฝากคนอื่นมาจัดแสดงอีกทีแต่เหมือนว่ารูปนี้จะถูกวาดมาสักพักใหญ่ๆ แล้ว” โรสตอบเท่าที่รู้ก่อนที่เธอจะเอะใจแล้วเอ่ยถาม “ว่าแต่คุณรู้ด้วยหรือคะว่าฉันเป็นเจ้าของที่นี่”
“สงสัยผมคงรู้จักคนเยอะน่ะครับ” เขายิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนจะหันกลับไปมองรูปภาพตรงหน้าอีกครั้ง ดูเขาจะสนใจรูปผืนนี้มากทั้งที่มันเป็นเพียงรูปผู้หญิงนั่งเล่นเชลโล่เท่านั้น “งดงามมากเลยนะครับ”
“จริงค่ะ ศิลปินดูใส่ใจรายละเอียดในภาพมากๆ”
“...”
“เขาคงรักรูปนี้มากนะคะ”
“ผมว่าไม่นะครับ”
“?”
“เขาน่าจะรักความทรงจำที่มีกับคนในรูปนี้มากกว่า”
คฤหาสน์สุริยัน
“เป็นยังไงบ้าง?” ร่างสูงเอ่ยถามแม่บ้านที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องนอนของน้ำเพชร ก่อนที่เธอจะตอบกลับ
“ดิฉันติดต่อคุณหมอพายัพมาแล้วค่ะ คุณหมอบอกอาการคร่าวๆ หลังจากฟังดิฉันบอกอาการว่าความทรงจำของคุณน้ำเพชรถูกกระทบกระเทือนไปเพราะอุบัติเหตุ คงต้องใช้เวลานานกว่าจะคืนกลับมาได้ค่ะ”
“แล้วตอนนี้น้ำเพชรเป็นยังไงบ้าง อยู่ข้างในหรือ?”
“ใช่ค่ะนายใหญ่”
“ทุกคนรออยู่ข้างนอก เดี๋ยวฉันเข้าไปเอง” ร่างสูงเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะเปิดประตูห้องแล้วเดินเข้าไปในนั้นเพียงลำพัง เขาเดินเข้าไปช้าๆ พลางมองหญิงสาวที่นั่งทำหน้างงอยู่บนเตียง
คนตรงหน้าเขาคือน้ำเพชร หญิงสาวคนหนึ่งซึ่งหลับใหลเป็นเจ้าหญิงนิทราไปเป็นเวลานานนับปีและตื่นขึ้นมาโดยไม่มีความทรงจำใดหลงเหลืออยู่ เธอมองเขาพลางเอียงคอด้วยความสงสัยถึงผู้มาเยือนก่อนที่ธีร์ผู้เป็นผู้ใหญ่กว่าจะเดินเข้าไปประชิดปลายเตียงแต่เว้นระยะห่างเพื่อไม่ให้คนตัวเล็กตกใจ
“คุณเป็นใครคะ?” น้ำเพชรเอ่ยถามพร้อมมองเขาตาแป๋ว
“ฉันเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ ชื่อธีร์ ส่วนใหญ่เรียกว่านายใหญ่”
“นายใหญ่?”
“หนูจำฉันได้ไหม?” ร่างสูงเอ่ยถามพลางมองหน้าหญิงสาว เธอส่ายหัวเป็นเชิงปฏิเสธอย่างที่เขาคาดการณ์ไว้พร้อมทำหน้าเศร้า คงเพราะผิดหวังในตัวเองเล็กน้อย “แล้วหนูจำได้ไหมว่าตัวเองเป็นใคร?”
“หนู...จำไม่ได้ค่ะ” เธอเอ่ยเสียงแผ่วพร้อมกับก้มหน้าด้วยสีหน้าเจื่อน ธีร์มองใบหน้าหวานที่มองสิ่งรอบข้างด้วยความสับสน เขารับรู้ถึงความอึดอัดที่ก่อตัวขึ้นภายในห้องนี้จึงตัดสินใจพูดปลอบเพื่อให้น้ำเพชรสบายใจ
“ไม่เป็นไรนะ เราจะรักษากันไปเรื่อยๆ”
“หนูเป็นใครหรือคะ?” เธอถามพลางเงยหน้าขึ้นมามองร่างสูง
“หนูชื่อน้ำเพชร เป็นคนของบ้านตระกูลสุริยัน ที่นี่เป็นบ้านของหนู”
“แล้วหนูกับคุณเป็นอะไรกันคะ?”
“...” ธีร์เงียบไปหลังฟังคำถามนั้น เขาไม่ทันได้เตรียมคำตอบนี้มาเสียด้วยสิ ทั้งที่มันเป็นคำถามที่คนความจำเสื่อมต้องถามผู้ที่มาพบอยู่แล้ว น้ำเพชรมองร่างสูงแล้วขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าเขาเงียบไปอึดใจ เธอจึงชิงถามก่อน
“คุณเป็นพ่อของหนูหรือคะ?”
“...”
อะไรนะ?
นี่ก็เป็นคำตอบที่เขาไม่คิดว่าจะได้ยินเช่นกัน ให้ตายเถอะ ความห่างของอายุมันทำให้คนตรงหน้าคิดไปได้ขนาดนั้นเลยสินะ หรือตอนนี้เขาจะดูแก่มากเกินกว่าอายุที่แท้จริงเสียแล้ว แต่ก็ว่าไม่ได้ เพราะน้ำเพชรก็อายุไล่เลี่ยกับลูกชายของเขาเลยด้วยซ้ำ
“ไม่ใช่”
“...”
“ฉันแค่คอยช่วยหนูเรื่องรักษาพยาบาลหลังเกิดอุบัติเหตุ ตอนนั้นหนูรอดมาคนเดียว” ธีร์อธิบายอย่างไม่รีบร้อนนัก เพราะเขาคิดว่าหญิงสาวคงจะยังไม่เข้าใจอะไรมาก “เสียใจกับพ่อแม่ของหนูด้วย”
“เกิดอะไรขึ้นหรือคะ?”
“หนูเพิ่งสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ไม่กี่วันก่อนที่หนูจะประสบอุบัติเหตุรถชนน่ะ แล้วหนูก็หลับไปนานถึงสองปีเลย”
“สองปีเลยหรือคะ”
“ใช่ ตลอดเวลาสองปี ฉันส่งหนูไปรักษาที่โรงพยาบาลในอเมริกาเพราะฉันทำงานที่นั่น มันจะง่ายกว่าหากว่าหนูฟื้นและหนูก็ฟื้นขึ้นมาจริงๆ แต่กว่าจะฟื้นฉันก็ย้ายกลับไทยแล้ว” ร่างสูงเอ่ยพลางยิ้มบาง ขณะที่น้ำเพชรยังทำสีหน้าสงสัยเหมือนมีคำถามมากมายอยู่ในใจของเธอ
น้ำเพชรตื่นมาพร้อมความทรงจำที่ว่างเปล่า เธอไม่รู้ว่าตัวเองควรเริ่มถามจากตรงไหน แค่เพียงรู้ชื่อของตนเองและชื่อของคนที่เธอต้องมาอยู่ด้วยเท่านี้มันก็ดีมากแล้ว แม้อยากจะรู้เรื่องมากกว่านี้แต่เธอก็เกรงใจคนอายุมากกว่าตรงหน้าจนไม่กล้าถามอะไรออกไป
ธีร์เห็นท่าทีของหญิงสาวดังนั้นก็รู้ได้ทันทีว่าเธอคงกำลังสับสนเป็นแน่ ตื่นมาในบ้านที่ไม่คุ้นเคยและพบกับคนแปลกหน้าแบบนี้คงยากที่เด็กสาวจะรับมือได้ อีกทั้งการนอนอยู่บนเตียงนานเป็นปีก็ทำให้ร่างกายของเธอยังไม่สามารถเคลื่อนไหวได้มากนัก
“หนูอยากถามอะไรก็ถามมาเถอะ ฉันจะตอบเอง” เขาเอ่ยกับเธอ
“ทุกเรื่องเลยหรือเปล่าคะ?”
“แน่นอน” ร่างสูงพยักหน้า
“หนูอายุเท่าไหร่หรือคะ?”
“20 ปีแล้ว”
“หนูยังต้องไปเรียนหรือเปล่าคะ?”
“ตามใจหนูเถอะ ฉันมีหน้าที่ส่งไม่ได้มีหน้าที่สั่ง” ธีร์พูดเป็นเชิงไม่บังคับการตัดสินใจของอีกฝ่าย
“หนูมีเพื่อนไหมคะ? ไม่มีเพื่อนหนูคนไหนตามหาหนูตอนหนูป่วยเลยหรือคะ?”
“ฉันยังไม่เคยเห็นนะ ยังไม่มีใครติดต่อมาเลย” ธีร์ตอบตามตรงทำให้หญิงสาวสีหน้าสลดลง เธอเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าก่อนหน้านั้นเธอเป็นคนแบบไหนจึงทำให้เพื่อนไม่สนใจได้ขนาดนี้ แล้วไหนจะครอบครัวที่ไม่น่าจะมีใครเหลืออยู่แล้ว มิเช่นนั้นผู้ชายตรงหน้าคงไม่อุปการะเธอมาตั้งแต่ม.ปลาย
น้ำเพชรถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะอึดอัดกับความว่างเปล่าในหัว เธอไม่อาจรู้เลยว่าตัวเองเคยทำอะไรไว้และรู้จักใครบ้าง หนำซ้ำยังยากที่จะไว้ใจใครได้ด้วย นั่นจึงทำให้เธอพยายามที่จะเว้นระยะห่างกับธีร์อยู่เสมอ
“แล้วที่นี่มีใครอยู่บ้างหรือคะ?” เธอถามต่อ
“มีหนู ฉัน แล้วก็คนของฉันประมาณ 4-5 คน หนูน่าจะเจอเกือบครบแล้วล่ะ”
“อ่า...”
“ฉันคงต้องไปคุยกับหมอก่อน ถ้าอยากได้อะไรก็เรียนทุกคนได้เลยนะ”
“ขอบคุณค่ะ” น้ำเพชรกล่าวก่อนที่ธีร์จะทำท่าเดินออกไปแต่หญิงสาวเรียกรั้งร่างสูงไว้เสียก่อน “เอ่อ...คุณคะ”
“?”
“ก่อนนี้เราสนิทกันไหมคะ?” คำถามนั้นทำให้ร่างสูงขมวดคิ้วสงสัยเล็กน้อย แต่ก็ไม่ขัดที่จะตอบหญิงสาวไป “ความจริงฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน การที่เรารู้สึกสนิทกับใครไม่ได้แปลว่าเขาจะคิดแบบเดียวกันหรอก”
“...”
“มันขึ้นอยู่กับว่าต่อไปนี้หนูจะคิดยังไงมากกว่า อย่ากังวลเลย”
“ค่ะ”
“น้ำเพชร”
“คะ?”
“ฉันเข้าใจนะว่ามันคงยากเพราะหนูจำอะไรไม่ได้เลย แต่มันไม่ได้หมายความว่ามันจะยากต่อการใช้ชีวิตต่อหรอกนะ หนูแค่ใช้ชีวิตในแบบที่หนูอยากเป็น ถ้าจำไม่ได้จริงๆ ก็ไม่ต้องจดจำก็ได้”
“...”
“แค่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก็พอแล้ว” ธีร์พูดเพียงเท่านั้นก่อนจะเดินออกไป เหลือเพียงน้ำเพชรที่นั่งครุ่นคิดคำพูดของเขาเพียงลำพัง เธอไม่รู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับที่นี่หรือแม้แต่เรื่องของตัวเอง แต่การที่เขาบอกให้ใช้ชีวิตแบบไม่สนใจอดีตแบบนั้นมันคือทางเลือกที่ดีแล้วจริงๆ หรือ
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
เป็นเวลาหลายวันที่น้ำเพชรพยายามปรับตัวในการอยู่ที่คฤหาสน์สุริยัน เธอต้องเข้ารับการทำกายภาพบำบัดเพราะร่างกายติดเตียงมานานจนเดินแทบไม่ได้ และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่เธอต้องมาหัดเดินภายในสนามหญ้าหลังบ้านกับนักกายภาพที่คุณธีร์จ้างมาและแม่บ้านที่คอยดูแลเธอ
“ดิฉันก็ไม่ทราบนะคะคุณหนู พวกเราไม่มีใครเคยเจอคุณหนูมาก่อนหรอกค่ะ”
“ทำไมล่ะคะ?”
“ส่วนใหญ่แม่บ้านกับคนสวนเพิ่งเข้ามาใหม่น่ะค่ะ ประมาณปีกว่าเอง อีกอย่างนายใหญ่ก็พาคุณหนูกลับมาบ้านเมื่อเดือนที่แล้ว คนที่อยู่นานที่สุดก็คงเป็นนายใหญ่กับคุณขุน การ์ดส่วนตัวของนายใหญ่น่ะค่ะ”
จากบทสนทนาเมื่อเช้าของน้ำเพชรกับแม่บ้านยิ่งทำให้หญิงสาวเอะใจไปมากกว่าเดิม เหมือนว่าการมีตัวตนอยู่ของเธอมันดูแปลกเกินกว่าที่ควรจะเป็น ทั้งเรื่องเพื่อนที่ไม่มาเยี่ยมเยียนทั้งที่เธอป่วยมาเป็นปี พ่อแม่ที่จากไป และคนในบ้านที่ไม่มีใครเคยรู้จักหรือคุยกับเธอมาก่อนเลยนอกจากนายใหญ่กับขุน
เธอยังไม่มีโอกาสได้คุยกับขุน เพราะเขาอยู่กับนายใหญ่ธีร์ตลอดและดูเป็นคนไม่พูดมาก หากจะถามอะไรก็คงจะถูกรายงานไปที่คุณธีร์เสียหมด ในความจริงแล้วคุณธีร์เองก็ไม่ได้เลวร้าย เขาดูแลเธอตลอดเวลาที่เธออยู่ที่นี่แม้ว่าค่ารักษาตัวของเธอจะค่อนข้างสูง และยังไม่เคยห้ามเวลาที่เธอขอไปไหนหรือทำอะไร
แต่ที่ทำให้เธอยังไม่สามารถไว้ใจเขาได้ก็เป็นเพราะเขาไม่ค่อยพูดเรื่องของเธอในอดีต แม้จะดูเหมือนว่าไม่สนิทกันแต่เขาทำเหมือนว่าเขาไม่รู้จักเธอเลยสักอย่าง มันก็ดูแปลกเกินไป เขาไม่เล่าเรื่องของพ่อแม่เธอและยังทำงานที่ดูลึกลับ คนที่นี่ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาเป็นนักธุรกิจแต่งานของเขาค่อนข้างเป็นความลับ
“โอ๊ย!”
น้ำเพชรเหม่อคิดจนใจลอยเผลอล้มระหว่างหัดเดิน จนร่างของเธอลงไปกองกับพื้น โชคดีที่มันเป็นพื้นหญ้าจึงนุ่มกว่าพื้นคอนกรีตเป็นไหน เธอลอบถอนหายใจให้กับตัวเองที่ยังไม่สามารถเดินได้อย่างคล่องแคล่วเสียที จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าอุบัติเหตุรถชนที่เธอเจอมาส่งผลต่อการเดินมากเท่าช่วงเวลาที่เธอหลับไปหรือเปล่า
“คุณหนู เป็นยังไงบ้างคะ?” แม่บ้านรีบวิ่งเข้ามาถามเธอด้วยความเป็นห่วง แต่น้ำเพชรส่ายหน้าเบาๆ พลางยิ้มตอบรับเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ ตอนนี้ขาของเธอเริ่มดีขึ้นแล้ว คงต้องรอเวลาอีกสักพักจะได้ไม่ล้มอีก
“ไม่เป็นไรค่ะ ล้มนิดเดียวเอง”
“มาค่ะ เดี๋ยวพี่ช่วยพยุง”
“อย่าเลยค่ะ หนูอยากลองลุกเองดู”
“ได้ยังไงกันคะ ขาคุณหนูยังไม่แข็งแรงดีเลย”
“ลองดูสักหน่อยสิ” เสียงทุ้มแทรกขึ้นมาจากด้านหลังของน้ำเพชรที่นั่งอยู่บนพื้นหญ้า เธอเงยหน้าพลางหันไปมองธีร์ที่เดินมาพร้อมกับขุนที่ถือแฟ้มเอกสารมาด้วย เหมือนว่าขุนจะเป็นทั้งบอดี้การ์ดและเลขาในเวลาเดียวกันเลยสินะ
น้ำเพชรมองร่างสูงที่คอยการลุกขึ้นยืนของเธอ เท่าที่อยู่ในบ้านหลังนี้มาเกือบอาทิตย์ น้ำเพชรก็ได้เห็นลักษณะของแต่ละคนในบ้านมากขึ้น ธีร์เป็นหนึ่งในคนที่เธอสังเกตมากเป็นพิเศษ เขาดูเป็นคนนิ่งและงานยุ่ง แต่จริงๆ แล้วเขาค่อนข้างใจดี แต่ก็ไม่ได้โอ๋เธอมาก
หญิงสาวพยายามรวบรวมแรงกำลังของตัวเองแล้วใช้มือยันพื้นไว้เพื่อดันร่างของตัวเองขึ้นมา ขาเรียวเริ่มมีแรงขึ้นมาบ้างจึงทำให้เธอมีหวังที่จะลุกขึ้นด้วยตนเอง แม้จะยังทุลักทุเลแต่เธอก็พยายามสุดความสามารถของเธอในตอนนี้จนในที่สุดน้ำเพชรก็ลุกขึ้นมาได้
“ได้แล้วค่ะ! ว้าย!” ไม่ทันที่จะดีใจได้สุดเสียง น้ำเพชรก็เริ่มเซแล้วจะล้มอีกครั้งเพียงแต่ครั้งนี้มีธีร์ที่รีบเข้ามารับเธอไว้ทัน หญิงสาวรีบเกาะร่างสูงไว้ตามสัญชาตญาณจนเผลอซุกอกเขาเต็มๆ ก่อนที่น้ำเพชรจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้นายใหญ่ของบ้าน “แบบนี้ถือว่าหนูลุกได้ใช่มั้ยคะ?”
“ลุกได้ แต่ต้องฝึกยืนด้วยนะ หน้าทิ่มเชียว”
“ฮ่าๆๆๆ” น้ำเพชรหัวเราะด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ค่อยๆ เดินตามมาแล้วจับมือฉันนะ มีข้าวเย็นเป็นรางวัล” ร่างสูงพูดพร้อมยิ้มบาง น้ำเพชรพยักหน้าตอบรับข้อเสนอนั้นก่อนที่ธีร์จะค่อยๆ คลายอ้อมแขนเขาออกจากเธอแล้วเปลี่ยนเป็นประคองมือเธอแทน
หญิงสาวจับมือหนาคู่นั้นไว้ ขาเรียวสั่นเทาและยังทรงตัวยากแต่เธอก็พยายามก้าวทีละก้าวโดยที่ร่างสูงนั้นเริ่มเอามือออกเพื่อให้เธอลองทรงตัวเอง แต่เขาก็ไม่ห่างจากเธอไปไหน ฝ่าเท้าเปล่าเหยียบย่ำพื้นหญ้าอย่างระมัดระวังพร้อมมองคนตรงหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นนั้นทำให้น้ำเพชรรู้สึกดีมากขึ้น
น้ำเพชรเริ่มรู้สึกคุ้นเคยกับแววตาคู่นั้นที่มองมายังเธอ เหมือนกับว่าเธอเคยเห็นมาก่อนแต่ก็จำไม่ได้เสียทีเดียวว่าในอดีตนั้นเธอเคยเห็นจริงหรือไม่ เธอเริ่มปรับตัวเข้ากับบ้านหลังนี้และผู้คนที่นี่ได้ แต่สัญชาตญาณของเธอก็คอยเตือนเสมอว่าไม่ควรไว้ใจอะไรง่ายๆ มันเป็นดั่งนิสัยในส่วนลึกของจิตใต้สำนึกเสียแล้ว
ความทรงจำที่หายไปมันคือความทรงจำที่ดีหรือร้ายกัน
ค่ำคืนหนึ่ง
น้ำเพชรยังคงอาศัยอยู่ที่คฤหาสน์สุริยันต่อไปจนล่วงเลยเข้าสู่อาทิตย์ที่สอง ในตอนนี้เธอเดินได้อย่างคล่องแคล่วและใช้ชีวิตได้อย่างปกติ แม้จะไม่ค่อยคุ้นชินกับข้าวของบางอย่างและยังใช้บางสิ่งไม่เป็นก็ตาม ถึงอย่างนั้นเธอก็พยายามปรับตัวและเรียนรู้มันอยู่เสมอ
หญิงสาวรู้สึกคอแห้งกลางดึกหลังจากลองใช้โทรศัพท์เป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าอาการความจำเสื่อมนั้นจะลำบากขนาดที่เธอลืมวิธีการใช้มันไปเสียได้ โชคดีที่เธออ่านหนังสือออก อาจเป็นเพราะในอดีตเธอเคยรู้หนังสือและการใช้ชีวิตบางอย่าง หากว่าเธอค้นพบความสามารถอื่นของตัวเองอีกก็คงจะช่วยเรื่องความทรงจำของเธอด้วย
บรรยากาศภายในบ้านยามดึกนั้นวังเวงพิกล ไหนจะสายฝนที่โหมกระหน่ำยามดึกยิ่งทำให้ช่วงเวลานี้น่ากลัวกว่าที่คิด คฤหาสน์หลังใหญ่ที่มีผู้อาศัยไม่กี่คนนั้นทำให้ทุกอย่างดูโล่ง น้ำเพชรเดินมาตามทางพลางคิดไปเรื่อยเปื่อยก่อนจะลงไปทางบันไดแต่เธอก็ต้องชะงักฝีเท้าเอาไว้เสียก่อนเพราะได้ยินเสียงดังขึ้น
ปัง!
“เฮือก!” น้ำเพชรสะดุ้งขึ้นทันทีหลังได้ยินเสียงปืน เธอไม่รู้ว่าตนเองรู้ได้อย่างไรว่ามันเป็นเสียงปืนแต่เธอค่อนข้างมั่นใจเลยว่านี่ไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน
เธอค่อยๆ เดินไปตามเสียงปืนนัดนั้นก่อนจะหลบซ่อนที่มุมทางเข้าเมื่อเห็นกับกลุ่มคนที่มายังคฤหาสน์ยามดึก พวกกลุ่มคนหญิงชายที่ดูไม่ได้มาดีนักยืนอยู่ในห้องรับรองชั้นสองโดยมีคนที่ดูเป็นหัวหน้านั่งอีกฝั่ง ลักษณะการถือปืนและอาวุธที่พกมานั้นอันตรายจนน้ำเพชรไม่กล้าส่งเสียงหรือสาวเท้าวิ่ง เธอยังหลบอยู่ที่เดิมและลอบมองเข้าไปยังคนกลุ่มนั้น
นายใหญ่?
น้ำเพชรขมวดคิ้วทันทีเมื่อเห็นธีร์ยืนตรงหน้ากลุ่มคนพวกนั้นและเหมือนกับว่าพวกเขากำลังเจรจาเรื่องบางอย่าง สายตาของเธอไล่ลงไปมองมือหนาของนายใหญ่ที่ถือปืนกระบอกหนึ่งไว้ในมือโดยที่มีร่างไร้ลมหายใจนอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นข้างเก้าอี้ของเขา
ภาพตรงหน้านั้นทำให้น้ำเพชรชะงัก ความสับสนและความไม่ไว้ใจเริ่มก่อตัวเป็นความกลัวและกดดัน ดวงตาหญิงสาวสั่นระริก สัญชาตญาณส่งสัญญาณเตือนถึงความไม่ปลอดภัย น้ำเพชรนิ่งค้างและไม่กล้าพูดสิ่งใดในเวลานี้ เธอหอบหายใจอย่างลำบากพร้อมกับพยายามถอยหลัง
ไม่ได้ เธออยู่ที่นี่ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
นั่นคือสิ่งแรกที่เธอคิดได้ ก่อนที่น้ำเพชรจะรวบรวมความกล้าแล้ววิ่งลงบันไดไปพร้อมสาวเท้าวิ่งออกจากบ้านไปอย่างไร้จุดหมาย ในหัวของเธอเต็มไปด้วยคำถามและความกลัวต่อคำตอบ เธอยอมรับว่ามีหลายอย่างในบ้านหลังนี้ที่ทำให้เธอไม่ไว้ใจ แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะมีเรื่องแบบนี้
ต่อให้เธอจะไม่มีความทรงจำใดและเหมือนคนโง่ แต่เธอก็คิดว่าตัวเองไม่ได้โง่ถึงขั้นเดาไม่ได้ว่าการมีคนตายโดยการถูกยิงในบ้านเป็นเรื่องไม่ปกติสิ้นดี เธอไม่รู้ว่านี่เป็นงานของนายใหญ่เจ้าของบ้านหรือเป็นเรื่องอะไรกันแน่ แต่เธอไม่พร้อมจะรับรู้หรือรับฟังอะไรทั้งนั้น รู้เพียงแค่ว่าเธอยอมฝ่าฝนออกจากบ้านแล้วไปหาที่พึ่งข้างหน้าดีกว่า
ไม่ผิดแน่ ศพนั้นถูกยิงด้วยฝีมือของคุณธีร์แน่นอน เพราะเขาถือปืนในระยะที่ยิงไปทางนั้นได้พอดี และนี่คงไม่ใช่เรื่องดีที่คนในห้องยังสามารถเจรจาบางอย่างต่อได้โดยไม่สนใจร่างไร้วิญญาณตรงนั้นเลยแม้แต่คนเดียว พวกเขาอยู่ในสังคมแบบไหนกันแน่ นายใหญ่เป็นใครกันแน่ ทำไมเขาถึงต้องฆ่าคนในบ้านตัวเองด้วย
น้ำเพชรตั้งคำถามไปตามทางที่วิ่งผ่านท่ามกลางสายฝนโปรยปราย เธอใกล้จะถึงรั้วบ้านเต็มทีและพร้อมจะออกไปจากที่นี่เพื่อความปลอดภัยแม้จะไม่แน่ใจว่าข้างนอกนั้นจะอันตรายกว่าหรือไม่ หญิงสาววิ่งด้วยเท้าเปลือยเปล่าในชุดนอน เธอพยายามใช้มือทั้งสองข้างพังรั้วออกไปก่อนที่จะมีใครมาเห็นเข้า ในที่สุดเธอก็สามารถหาทางออกจากบ้านจนได้
ขณะเดียวกันกลับมีสายตาคู่หนึ่งที่ยืนมองลงมาที่เธอจากหน้าต่างบานสูง หลังจากที่ก่อนนี้เขารับรู้ว่ามีคนแอบฟังเขาจากข้างนอกแต่เขาก็เลือกที่จะไม่แสดงอาการอะไรและเจรจาเรื่องตรงหน้าต่อไป แต่ก็อดไม่ได้ที่เขาจะเดินมาดูว่าน้ำเพชรพยายามจะทำอะไร และก็เป็นอย่างที่เขาคิด น้ำเพชรเห็นและคงตั้งสติทำใจยอมรับอะไรไม่ได้
ทางเลือกที่เธอเลือกคือหนี
“นายใหญ่ครับ คุณน้ำ...”
“ครั้งแรกเลยนะที่จะได้เห็นเธอหนีแบบนี้”
“...” ขุนเงียบไปหลังถูกนายใหญ่พูดขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน ความทรงจำในอดีตของทั้งคู่เห็นภาพไม่ต่างกันนัก เพียงแต่ขุนไม่สามารถเดาใจอีกฝ่ายได้ว่าเหตุใดเขาจึงดูไม่ร้อนรนกับการหนีของน้ำเพชร ดวงตาคมคู่นั้นกลับดูสลดลงและเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเสียมากกว่า
“ปกติเธอเผชิญหน้ามากกว่าวิ่งหนี น่ากลัวมากกว่าจะกลัว”
“...”
“แต่ก็ยังลืมพกร่มเหมือนเดิม” ธีร์พูดพลางมองน้ำเพชรที่วิ่งไปสุดสายตา คฤหาสน์ของเขาอยู่ลึกจากตัวเมืองแต่ก็ไม่ไกลจากถนนใหญ่มากนัก หากเธอวิ่งตากฝนไปเรื่อยๆ ก็ไม่ยากที่จะเจอป้ายรถหรือเมืองที่มีผู้คน ร่างสูงหยุดมองก่อนจะไล่ทุกคนในห้องออกไปเพื่อเลิกการประชุมลับพร้อมกับเดินไปหยิบร่มที่มุมห้องแล้วเดินไปตามทาง
“จะทำยังไงกับคุณน้ำเพชรต่อครับ?” ขุนเอ่ยถาม
“เอาร่มกับรองเท้าไปให้นั่นแหละ เธอลืมมันนี่นา”
“แล้ว...”
“ค่อยให้เธอตัดสินใจเอง บ้านหลังนี้ก็เป็นของเธอเหมือนกัน”
#วชิรอาญา