3
คนเดิมที่ไม่ใช่คนเดิม
ลิปสติกสีแครนเบอร์รี่จากแบรนด์ดังถูกทาบทับบนริมฝีปากหยักเล็ก นิ้วเรียวค่อยๆ เกลี่ยเพื่อไล่เฉดสีให้ดูโดดเด่น พอได้โทนที่ต้องการแล้วหล่อนจึงเผยอมุมปากทั้งสองข้างให้อยู่ในองศาที่เท่ากัน เพื่อจะได้ดูเป็นรอยยิ้มที่ปราศจากการเสแสร้ง ทว่าหล่อนคงลืมไปว่ารอยยิ้มนั้นจะดูจริงใจมากน้อยแค่ไหนมันต้องมาจากดวงตาเป็นส่วนประกอบด้วย คีติกาจ้องมองนัยน์ตาสีสนิมในกระจกเงา หล่อนเห็นเพียงความแห้งแล้งผสมผสานกับความหวั่นเกรง วูบหนึ่งคล้ายมีเงาของความอวดเก่งเชิดรั้น มันเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายจนยากจะหาคำนิยาม แต่ความรู้สึกอย่างหนึ่งที่ไม่มีในแววตาของหล่อนก็คือความสุข
“เอาใหม่ ลองยิ้มอีกทีนะน้ำหนาว เธอทำได้” คีติกาให้กำลังใจตัวเองเสียงราบเรียบ เธอพยายามฝึกยิ้มให้เต็มวงหน้าเพื่อแสร้งว่าทุกอย่างสดใสหวานเจี๊ยบดั่งขนมสายไหม แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรริมฝีปากบางก็ฉีกได้ไม่ถึงครึ่งของใบหน้าเลย
ก็อกๆ
“พี่ขอเข้าไปหน่อยนะน้ำหนาว” เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมเสียงหวานใสของคติยา แฝดผู้พี่ไม่รอคำอนุญาตให้เสียเวลา เธอเปิดประตูและสาวเท้าเข้ามายังห้องแต่งตัวแบบ Walk-in Closet ซึ่งคีติกาจัดสรรปันส่วนข้าวของได้อย่างลงตัว ฝั่งหนึ่งเป็นที่อยู่ของเสื้อผ้า รองเท้า อีกฝั่งเป็นกระเป๋าแบรนด์หรูและเครื่องประดับนับสิบๆ ชิ้น สุดปลายทางเดินคือโต๊ะแต่งหน้าที่จัดแสงอย่างลงตัว แม้ว่าคีติกาไม่ค่อยกลับมานอนบ้านใหญ่เพราะส่วนมากเธอมักขลุกอยู่ที่คอนโดฯ หรือไม่ก็โฮมออฟฟิศ แต่ด้วยความเป็นแฟชั่นนิสต้าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเครื่องแต่งกายและเมคอัพต้องพร้อมสำหรับเธอเสมอ
“พี่หนึ่งมีอะไรเหรอ” คีติกาหมุนตัวกลับมาประจันหน้าแต่ยังไม่กล้าสบตาพี่สาวตรงๆ
“น้ำหนาวแต่งตัวเสร็จแล้วใช่ไหม งั้นเดี๋ยวเราไปโรงพยาบาลกันนะ”
“ไปทำไม”
“ไปเยี่ยมพี่กุล”
“ไม่อะ! หนาวไม่ไป” ร่างอรชรในชุดกระโปรงยาวสีชมพูกะปิแบบผ่าข้างรีบเดินลิ่วไปนั่งกอดเข่าบนโซฟาปลายเตียง
“น้ำหนาวไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น พี่กุลยังไม่ตาย ตอนนี้สถานการณ์มันกลับตาลปัตรแล้ว” ใช่สิ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างน่าใจหายราวกับดาวเคราะห์โลกหมุนพลิกไปอยู่อีกขั้วหนึ่ง มันเป็นไปได้อย่างไร ทุกอย่างมันสามารถกลับตาลปัตรได้ในชั่วข้ามคืนเชียวหรือ? คติยาได้แต่เฝ้าถามตัวเองเช่นนี้ตลอดทั้งคืน เธอร้องไห้จนตาบวมช้ำ สำหรับเธอแล้วมันไม่ง่ายเลยสักนิดที่จะทำใจรับกับสถานการณ์เช่นนี้
“แต่หนาวกลัว พี่กุลตายไปแล้วแท้ๆ ไม่มีทางหรอก ไม่ใช่แน่ๆ” คีติกายกสองมือกุมศีรษะตัวเองอย่างสับสนจนพี่สาวต้องเข้ามาดึงมือและเรียกสติหล่อน
“น้ำหนาวฟังพี่นะ พี่ก็ไม่อยากเชื่อว่ามันคือความจริง แต่มันเป็นไปแล้ว มันเกิดขึ้นแล้ว ที่สำคัญตอนนี้พี่กุลความจำเสื่อม เขาจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ยกเว้นก็แต่ชื่อคีติกาและใบหน้าของน้ำหนาว” ประโยคสุดท้ายคติยาเอ่ยด้วยเสียงเบาหวิวคล้ายกับหัวใจเธอล่องลอยไปไกลแสนไกล มันเจ็บปวดทุกครั้งเพียงแค่นึกถึงนัยน์ตาว่างเปล่าของชายคนรักที่มอบให้เธอเมื่อคืน
“พี่กุลความจำเสื่อมงั้นเหรอ”
“ใช่ พี่กุลยืนยันว่าจะเจอน้องให้ได้ เขาเฝ้ารอแต่น้อง เขาทำเหมือนว่าทั้งรักทั้งคิดถึงน้ำหนาวอย่างสุดหัวใจ”
“เพ้อเจ้อแล้วพี่หนึ่ง! มันจะเป็นอย่างนั้นได้ยังไง”
“พี่ไม่รู้ แต่มันเป็นไปแล้ว น้องไปเยี่ยมพี่กุลเถอะนะ”
“ฉันไม่ไป ฉันไม่กล้าสู้หน้าพี่กุลหรอก” คีติกาลุกขึ้นยืนพลางเดินไปเดินมาอย่างกลัดกลุ้ม คติยารู้ดีว่าน้องสาวเครียดด้วยเรื่องอะไรจึงลุกตามมาแล้วกุมมือบางไว้แน่น
“ไม่ต้องห่วงนะ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันจะเป็นความลับระหว่างเรา พี่จะเหยียบไว้จนวันตาย” ประกายตาที่แน่วแน่ น้ำเสียงที่แข็งกร้าวจากหญิงสาวผู้งดงามอ่อนหวานดั่งนางในวรรณคดีสามารถทำให้คีติกาเบาใจลงได้อย่างน่าประหลาด แม้ใครต่อใครมองว่าพี่สาวเธอดูอ่อนแอไม่สู้คน แต่คีติการู้ดีว่าผู้หญิงคนนี้ทั้งเข้มแข็งและซ่อนความเด็ดเดี่ยวไว้เกินกว่าใครจะคาดคิด เธอมีความเรียบร้อย อ่อนช้อย งดงามทั้งกริยาวาจา อุทิศตนให้กับมูลนิธิเพื่อคนด้อยโอกาสและทำงานการกุศลมาตลอดหลายปี เธอประพฤติตัวดีไม่มีเสื่อมเสียสมดังความหมายของชื่อ ‘คติยา’ ที่แปลว่าผู้เป็นแบบอย่าง ซึ่งในแบบอย่างนั้นคีติกาไม่มีวันเป็นได้ แม้จะเลียนแบบเพียงแค่ประเดี๋ยวประด๋าวเธอก็ทำไม่ได้ ด้วยบุคลิกที่แตกต่างราวฟ้ากับเหวจึงทำให้คนภายนอกสามารถแยกสองฝาแฝดออกจากกันได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
“นะน้ำหนาวเราไปเยี่ยมพี่กุลกัน” คติยายังพยายามเกลี้ยกล่อม
“พี่กุลจำเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้จริงๆ ใช่ไหม” แววตาคนถามสั่นระริก หัวใจเธอยังเต้นแรงกับฝันร้ายที่เผชิญมา
“เขาจำอะไรไม่ได้เลย คนเดียวที่อยู่ในความทรงจำของพี่กุลคือน้ำหนาว แววตาของเขามีแต่ความคิดถึง ไม่มีความโกรธเกลียดอยู่ในนั้นเลย” คติยาเอื้อมมาลูบเรือนผมน้องสาวอย่างปลอบประโลม “ไปเผชิญหน้าด้วยกันนะ ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอก”
คีติกาเงียบอยู่ชั่วอึดใจก่อนพยักหน้าตอบรับ จะช้าหรือเร็วหล่อนก็ต้องเผชิญหน้ากับมหากุลอยู่วันยันค่ำ เปล่าประโยชน์ที่จะเดินหลบหลีกเช่นนี้ อีกอย่างการที่เขาความจำเสื่อมอาจเป็นผลดีมากกว่าผลเสียก็ได้
“ไม่เอา ไม่กิน ไม่อร่อย!”
เสียงทุ้มเข้มอันแสดงถึงความหงุดหงิดดังลอดไปถึงหน้าประตูที่สองพี่น้องฝาแฝดกำลังยืนอยู่ คติยาหันมองหน้าน้องสาวพร้อมส่งยิ้มให้กำลังใจก่อนผลักประตูเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย
“นั่นไง หนูน้ำหนึ่งกับน้ำหนาวมาแล้ว” น้ำเสียงเจือความโล่งใจของภีมพิมลเอ่ยพร้อมรอยยิ้มเหน็ดเหนื่อย คล้ายสื่อเป็นนัยๆ ว่าการรับมือกับลูกชายคนป่วยดูดพลังเธอไปเยอะเหลือเกิน
“สวัสดีค่ะคุณป้า สวัสดีค่ะพี่ธีร่า” คติยาเอ่ยทักพร้อมพนมมือไหว้ ส่วนน้องสาวก็ปฏิบัติตามเช่นกัน
“คีติกา!” คนบนเตียงเอ่ยเรียกเสียงดัง รอยยิ้มกระจ่างเต็มวงหน้าส่งมายังแฝดผู้น้องที่แววตาเจือความตระหนกเล็กน้อย กระนั้นเธอก็ยังฝืนส่งยิ้มกลับคืนอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“เจ้ากุลจะไปไหน อย่าใจร้อนสิ” มหาธนดันตัวน้องชายที่ทำท่าจะผลุนผลันลงจากเตียง ในขณะที่สายตาคู่คมก็ทอดมองเพียงคีติการาวกับคนอื่นๆ เป็นเพียงสรรพเสียงที่ไร้กายหยาบ
“จะไปหาคีติกา”
“เออ! รู้แล้ว นอนอยู่บนเตียงนี่แหละ นางก็มาแล้วไงจะอะไรนักหนา ทำอย่างกับไม่ได้เจอกันมาชาติหนึ่ง” มหาธนบ่นอุบพลางปรายมองคีติกาที่ยังยืนก้มหน้าหลุบสายตา ในขณะที่พี่สาวเดินมานั่งข้างภีมพิมลตรงโซฟา
“พี่กุลเป็นยังไงบ้างคะคุณป้า” คติยาถาม ใบหน้าของสตรีวัยห้าสิบห้าปีหันมายิ้มเนือยๆ ก่อนตอบ
“ดีขึ้นมากแล้วจ้ะ ออกจะแข็งแรงผิดหูผิดตา และอย่างอื่นก็พลอยดูผิดหูผิดตาไปด้วย” ภีมพิมลพ่นลมหายใจพลางแลมองลูกชายคนเล็กที่นั่งส่งยิ้มหวานให้คีติกาอยู่บนเตียง
“คุณป้าหมายความว่าไงเหรอคะ”
ภีมพิมลนิ่งไปครู่ใหญ่แต่สายตาคลางแคลงยังคงจับจ้องที่ลูกชายคนเล็ก ก่อนสะบัดหน้าไปมาเป็นเชิงปฏิเสธ “ไม่มีอะไรหรอกจ้ะหนูน้ำหนึ่ง แค่ป้าได้เจ้ากุลกลับมาก็บุญมากโขแล้ว”
“กินข้าวก่อน จะได้กินยา” มหาธนคะยั้นคะยอน้องชาย และจงใจเอาตัวบังสายตาของมหากุลที่เอาแต่ทอดมองน้องสาวของคติยา
คนป่วยถอนหายใจยาวพรืดเหลือบมองพี่ชายอย่างไม่สบอารมณ์ “ก็มันไม่อร่อยจะให้ยัดเข้าไปได้ยังไง จืดก็จืด เมื่อเช้าก็อะไรนะที่เป็นข้าวแฉะๆ น่ะ ข้าวต้มใช่ไหม พอตอนนี้ก็แกงจืดอีก โอ๊ย! กินไม่ลง ไม่เอาแล้ว”
“เรื่องมากจริงๆ แกนี่ แต่ก่อนอะไรก็กินได้หมด ไม่เคยบ่นสักคำ” มหาธนว่า
“ก็ตอนนี้ไม่ใช่คนก่อนแล้วไง” ประโยคราบเรียบแฝงความรำคาญของร่างบนเตียงทำเอาหลายชีวิตในห้องเงียบกริบ ต่างฝากสายตาสงสัยไปที่เขาเป็นจุดเดียว ภีมพิมลเองที่แอบครามครันอยู่ในใจว่าบุตรชายไม่เหมือนเดิมก็อดรู้สึกตกใจกับคำปรารภนั้นไม่ได้
“เอาอย่างงี้นะ เดี๋ยวแม่กับพี่ธีร์จะลงไปซื้ออาหารข้างล่างให้ เผื่อว่ากุลจะทานได้คล่องคอกว่านี้” ภีมพิมลลุกขึ้นยืนพลางพยักหน้ากับบุตรชายคนโต เธอสะดวกเรียกมหาธนว่าธีร์ซึ่งเป็นชื่อเล่นดั้งเดิมมากกว่าธีร่าตามชื่อที่เขาแปลงขึ้นเอง แม้ภีมพิมลไม่ติดขัดที่มหาธนเป็นเพศที่สาม แต่กระนั้นก็ไม่อาจทำใจเรียกธีร่าได้อย่างเต็มปากเต็มคำนัก
“ก็ดีครับ เอาแบบที่อร่อยที่สุดในเมืองมนุษย์เลยนะ” ร่างสูงบนเตียงกอดอกสั่งอย่างเอาแต่ใจ มหาธนได้แต่ส่ายหน้าระอาก่อนเดินไปหยิบกระเป๋า
“ไปกันค่ะคุณแม่ ต้องไปตามหาเมนูวิลิศมาหราให้ลูกชายเทวดาของคุณแม่”
“ตาธีร์นี่ น้องเพิ่งผ่านเรื่องร้ายๆ มานะ อย่าพูดจาไม่ดีสิ” นางภีมพิมลปรามลูกชาย พลางดึงแขนไปทางประตูแต่เดินได้เพียงครึ่งก้าวก็ต้องชะงักให้กับคำพูดต่อมาของมหากุล
“ขอคุยกับคีติกาตามลำพังได้ไหม” สายตาเฉยชาปรายมองคติยาที่นั่งอยู่บนโซฟา หญิงสาวฝืนกล้ำกลืนความเจ็บปวดแล้วยิ้มรับอย่างยินดี
“ได้สิคะพี่กุล” คติยาพยักหน้าและเดินไปหาภีมพิมล “คุณป้าคะหนึ่งขอไปด้วยคนนะคะ”
“มาเถอะลูก”
นางภีมพิมลโอบไหล่พาคติยาที่เธอเอ็นดูเหมือนบุตรสาวออกไปจากห้องพักผู้ป่วย มหาธนเองก็ชำเลืองมองหญิงสาวอย่างอดเห็นใจไม่ได้ เขายินดีที่น้องชายหมั้นหมายกับคติยาแทนที่จะเป็นคีติกา เพราะมหาธนไม่ชอบนิสัยแข็งกระด้าง นัยน์ตาเย็นชาของแฝดผู้น้อง และความเกลียดขี้หน้ายิ่งพอกพูนทบทวีเมื่อทราบภายหลังว่าคีติกายังมีเยื่อใย และพยายามเข้าหามหากุลตลอดเวลาที่ผ่านมา ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าผู้ชายคนนั้นหมั้นหมายกับพี่สาวของตัวเองแล้ว
“น้ำหนึ่งไม่ต้องเครียดมากนะลูก ป้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตากุลถึงเปลี่ยนไปขนาดนั้น มันราวกับคนละคนเลยด้วยซ้ำ” นางภีมพิมลปลอบหญิงสาวพลางถอนหายใจกลัดกลุ้ม ประกายความกังวลยังท่วมท้นในแววตา เธอก็ดีใจอยู่หรอกที่ได้ลูกชายคนเล็กกลับคืนจากเงื้อมือมัจจุราช ทว่ายังไม่ทันข้ามวันเธอก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของมหากุลได้อย่างชัดเจน ด้วยความเป็นแม่จะไม่ให้รู้สึกรู้สาและทำเป็นมองข้ามก็กระไรอยู่
“หนึ่งโอเคค่ะคุณป้า” คติยายิ้มตอบแกนๆ
“ไม่โอเคก็บอกว่าไม่โอเคสิ จะปฏิเสธความจริงทำไม สีหน้าของหล่อนฉันมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเศร้าสลดแค่ไหนที่คู่หมั้นฟื้นขึ้นมาแล้วจำหล่อนไม่ได้ แต่กลับจำแฟนเก่าได้ซะงั้น”
“ตาธีร์!” ภีมพิมลเอ็ดบุตรชายคนโตที่โพล่งออกไปแบบนั้น
“ก็มันจริงนี่คะคุณแม่” มหาธนเถียงกลับมารดาก่อนแลมาทางคติยา “หัดปากตรงกับใจบ้างก็ได้ เสียใจก็บอกว่าเสียใจ เดี๋ยวจะกลายเป็นคนเก็บกด และก็ไม่ต้องทำตัวเป็นคนดีมากนักหรอกนะ”
“พี่ธีร่าหมายความว่าไงคะ” หญิงสาวช้อนตามองมหาธน ชายหนุ่มที่มาพร้อมกับความสูงกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร แต่ยังเตี้ยกว่ามหากุลไปห้าเซ็นฯ
“ก็หมายความว่าไม่ต้องเล่นบทคนดีทำตัวเป็นพี่ที่แสนดียอมเสียสละให้น้องสาวไง”
“หนึ่งก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีค่ะพี่ธีร่า” คติยานิ่วหน้า ดวงตาสีสนิมยังคงจับจ้องใบหน้าสวยของชายหนุ่มที่ลงรองพื้นให้นวลผ่องเป็นธรรมชาติ
“เอาเป็นว่าช่างมันก็แล้วกัน ฉันได้แต่หวังว่าเรื่องนี้มันจะไม่ดรามาจนเกินไป” มหาธนตอบปัดๆ ทีแรกเขาตั้งใจจะอธิบายให้อีกฝ่ายกระจ่างแจ้งกว่านี้ แต่เกรงใจสายตาดุเป็นเชิงปรามของมารดาจึงยอมเงียบปากไปเสีย
“ว่าแต่คุณหมอว่ายังไงบ้างคะเกี่ยวกับอาการของพี่กุล” คติยาเปลี่ยนเรื่องและหันไปตั้งคำถามกับภีมพิมลแทน
“หมอบอกว่าร่างกายของตากุลอยู่ในสภาพสมบูรณ์เกือบครบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว แถมแผลที่ศีรษะก็ทำท่าสมานกันอย่างรวดเร็วจนคุณหมอแปลกใจ”
“แล้วเรื่องความทรงจำล่ะคะ”
“คุณหมอบอกว่าหลังจากทำ MRI พบว่าสมองส่วน….” หญิงวัยกลางคนหรี่ตาครุ่นคิดอยู่ชั่วอึดใจก่อนหันไปถามลูกชายเมื่อนึกอย่างไรก็นึกไม่ออก “ส่วนอะไรนะตาธีร์”
“ฮิปโปแคมปัสค่ะคุณแม่” มหาธนตอบ
“นั่นแหละจ้ะ สมองส่วนนั้นที่เกี่ยวกับความทรงจำได้รับการกระทบกระเทือน แต่คุณหมอบอกว่าความเสียหายอยู่ในระดับที่ไม่รุนแรงมากนัก แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องใช้เวลารักษาตัวสักระยะหนึ่งเหมือนกัน”
“ฟังแล้วก็น่าเป็นห่วงอยู่ดีนะคะ” คติยาออกความเห็น
“น่าห่วงสิ ยิ่งจำได้แค่น้องสาวเธอยิ่งน่าเป็นห่วงคูณสิบเลย” มหาธนว่าก่อนตามมาด้วยเสียงร้องโอดโอย เพราะถูกมารดาฟาดต้นแขน
“ตาธีร์นี่! ทำไมชอบตั้งแง่กับน้ำหนาวนักนะ” ถึงจะพูดออกไปแบบนั้นแต่ส่วนลึกในใจภีมพิมลก็มีป้อมกำแพงที่ตั้งไว้สำหรับคีติกาไม่ต่างจากมหาธน
“ก็คนมันไม่ถูกชะตาด้วยนี่แม่ ยายนั่นน่ะทั้งเชิดทั้งหยิ่ง นิสัยก็ใช่ว่าจะดี ไม่งั้นตากุลไม่ขอเลิกหลังจากคบกันได้ไม่ถึงปีหรอก” มหาธนยังเถียงมารดาฉอดๆ พลางกระโดดหนีห่างเมื่อมือเหี่ยวย่นนั้นทำท่าจะฟาดใส่เขาอีก
“แต่อย่างน้อยการที่พี่กุลยังจำน้ำหนาวได้ก็ดีกว่าจำใครไม่ได้เลยไม่ใช่เหรอคะ” คติยากล่าวด้วยรอยยิ้มสดใส เธอเอ่ยในสิ่งที่ตรงข้ามกับใจอีกแล้ว เมื่อคืนเธอยังคิดในแง่ร้ายอยู่เลยว่าการที่เขาฟื้นขึ้นมาแล้วจำได้แค่น้องสาวของเธอ สู้จำใครไม่ได้เลยจะดีกว่า
“หล่อนนี่ก็มองโลกในแง่ดีจริงๆ เลยนะ เกิดในทุ่งลาเวนเดอร์เหรอยะ” มหาธนแขวะ แต่คติยากลับยิ้มอย่างไม่ถือสา
ภายในห้องพักผู้ป่วย เวทิศในร่างมหากุลยังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด ในใจก็บ่นปนแค้นถึงยมทูตตัวแสบที่ร่ายคาถาวิเศษให้แผลตามร่างของมหากุลสมานตัวไวขึ้น ก็ดีอยู่หรอกที่เวทิศไม่ต้องทนทรมานกับความเจ็บปวด แต่มันน่าเจ็บใจตรงที่ไม่ยอมซ่อมแซมสมองส่วนที่เสียหายให้ด้วยนี่สิ เหมือนฉันทัชจงใจให้เวทิศดำรงอยู่ในร่างไร้ความทรงจำเพื่อหวังให้เขางมหาคำตอบของการเสียชีวิตอย่างสะเปะสะปะ
“ช่างร้ายกาจนัก อย่าให้เจอนะจะด่าให้ลืมทางกลับนรกเลย” ร่างสูงคำรามเสียงลอดไรฟัน ก่อนเบนสายตาไปทางหญิงสาวหนึ่งเดียวในห้องที่นั่งนิ่งบีบมือตัวเองอยู่ตรงโซฟา เธอก้มหน้างุดราวกับจงใจซ่อนเร้นความรู้สึกบางอย่าง เวทิศพินิจเธอเงียบๆ คีติกาคือต้นแบบของผู้หญิงสวยอย่างแท้จริง ตั้งแต่ได้สบตาเธอเมื่อคืนเขาก็รู้เลยว่าเลือกคนไม่ผิดแน่ มันเป็นความสวยแบบไม่จืดชืดในขณะเดียวกันก็ไม่ฉุดฉาดจนมองแล้วเกะกะลูกตา ส่วนพี่สาวของเธอที่ชื่อคติยานั้นดูนิ่งขรึมและเรียบร้อยในแบบฉบับของกุลสตรีซึ่งไม่ใช่ทางของเวทิศมาตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว แม้ว่าเธอจะสวยหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้าก็ตาม
“มานี่สิคีติกา”
น้ำเสียงที่เอ่ยเรียกอย่างนุ่มนวล กอปรกับสายตาที่ปราศจากแววมาดร้ายหรือโกรธเกลียดจึงทำให้หญิงสาวตัดสินใจเดินตรงไปหาเขา
“เป็นอะไรไป ทำไมถึงดูกลัวพี่นัก ไม่ดีใจเหรอที่พี่ยังไม่ตาย” เวทิศใช้สรรพนามในแบบมนุษย์ได้อย่างไม่มีหลุด เพราะก่อนหน้านี้ฉันทัชช่วยติววิชามนุษย์ ๑๐๑ ให้คร่าวๆ แล้ว คงกลัวว่าเขาจะแสดงพิรุธจนถูกจับโป๊ะได้ล่ะสิ
คีติกายิ้มจืดเจื่อน เมื่อช้อนสายตามองเขาตรงๆ ก็พบว่ามันดูแตกต่างจากมหากุลคนเดิม ผู้ชายที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยตอนนี้มีออร่าแห่งความลุ่มลึกอีกทั้งประกายตาก็ดูวาววาบอย่างน่าประหลาด ในขณะเดียวกันก็แฝงความอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก พลอยทำให้เงาดำที่เกาะกุมใจคีติกาค่อยๆ ลอยห่างออกไปเรื่อยๆ
“คิดอะไรอยู่คีติกา” ฝ่ามือเย็นเยียบเอื้อมมากุมมือบางจนหญิงสาวสะดุ้งตกใจแต่ก็ไม่ชักกลับ สายตาและรอยยิ้มของชายหนุ่มทำให้คีติการู้สึกกล้าที่จะพูดกับเขามากขึ้น
“เปล่าค่ะ หนาวแค่ตกใจที่พี่ฟื้นขึ้นมา”
“แล้วดีใจไหม” ดวงตาคู่คมจ้องเขม็งจนหัวใจเธอวูบไหว เป็นอีกครั้งที่คีติการู้สึกประหลาดใจเพราะมหากุลคนนี้มีความแพรวพราวบางอย่างที่ซ่อนอยู่ทั้งในสีหน้าและแววตา
“ต้องดีใจอยู่แล้วสิคะ ใครจะอยากให้พี่ตาย” แม้การตื่นจากความตายของมหากุลได้เข้าไปกระเพื่อมต่อมความกลัวของเธอก็ตาม กระนั้นคีติกาก็ไม่เคยนึกปรารถนาให้เขาตายเลย “แล้วนี่พี่เจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ”
“เจ็บแผลที่หัวนิดหน่อย แต่เจ็บใจมากกว่าที่ไม่ได้ความทรงจำกลับคืนมา” เขาแค่นเสียงเยาะเมื่อนึกถึงยมทูตตัวแสบ
“แล้วพี่กุลจำอะไรได้บ้างคะ”
“จำได้แค่เธอ นอกนั้นก็ไม่เหลืออะไรในความทรงจำอีกเลย” แต่บางครั้งก็มีอยู่ชั่ววูบหนึ่งที่สมองดึงภาพบางอย่างฉายแวบออกมา เวทิศคิดเอาเองว่าคงเป็นกลไกการทำงานสมองของมนุษย์ แม้ร่างนี้ลืมเลือนเหตุการณ์สำคัญๆ ไป ทว่ากล่องความทรงจำบางกล่องยังไม่เลือนหายไปเสียทีเดียว
“แปลว่าพี่กุลจำเรื่องระหว่างเราได้ทั้งหมดเลยเหรอคะ” หญิงสาวหรี่ตาถาม เธอพยายามอ่านความสับสนงุนงงในประกายตาคู่นั้น
“ไม่เลย จำได้แค่ใบหน้า ชื่อ และแววตาของเธอเท่านั้นคีติกา” ซึ่งข้อมูลหาใช่มาจากสมองของมหากุล หากแต่เป็นข้อมูลอย่างหยาบๆ ที่ได้รับจากยมทูตฉันทัช เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคีติกาเลย สุ่มเลือกเธออย่างลวกๆ ราวกับรจนาเสี่ยงพวงมาลัยเลือกคู่ แต่ในกรณีของเขาร้ายกว่านางรจนาตรงที่เลือกแล้วไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนใจได้อีก คีติกาคนนี้คงไม่ได้มีดีแค่หน้าตาและรูปร่างที่น่าหลงใหลหรอกนะ หวังว่าเธอจะสามารถละลายกำแพงใจของเขาได้ในที่สุด
“เรียกว่าน้ำหนาวเถอะค่ะ ได้ยินพี่เรียกชื่อเต็มแบบนั้นฟังดูจั๊กจี้พิกล” คีติกายิ้มได้เต็มวงหน้าในที่สุด หลังจากสัมผัสถึงรังสีความสบายใจที่แผ่มาจากร่างสูง
“ฉันราวกับเกิดใหม่บนโลกใบนี้ เธอจะสามารถเป็นดาวเหนือส่องนำทางให้ฉันได้ไหม ณ ดินแดนแสนพิศวงที่ฉันไม่เคยมาเยือนทุกอย่างดูแปลกตาไปหมด ฉันรู้สึกไว้ใจเธอแค่คนเดียว ดังนั้นได้โปรดช่วยชี้แนะการเป็นอยู่บนโลกใบนี้ให้ฉันได้ไหม” เวทิศตรึงสายตาหล่อนไว้อย่างแน่วแน่มั่นคง น้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงพลังก้องกังวานทำหัวใจเธอเต้นรัวอย่างประหลาด วูบหนึ่งคีติการู้สึกเหมือนดวงตาสีดำขลับถูกแซมด้วยสีมรกตจนเธอเบิกตาตกใจแต่เพียงแวบเดียวก็กลับมาเป็นปกติ คีติกาให้คำตอบกับตัวเองว่าเธอคงตาฝาดไป
“ว่าไงน้ำหนาว เธอสามารถช่วยชี้แนะเกี่ยวกับการใช้ชีวิตบนโลกมนุษย์ให้ฉันได้หรือไม่” เวทิศในร่างมหากุลถามย้ำ
“คะ? ค่ะ ได้สิคะ น้ำหนาวยินดี” เธอสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกเรียกให้กลับจากห้วงภวังค์ ก่อนเสสายตามองผ้าม่านสีขาวที่โบกสะบัดรับแรงลมเมื่อรู้สึกว่าดวงตาคู่นั้นราวกับแฝงไปด้วยพลังงานอย่างน่าประหลาด
ไม่แน่ว่าการตื่นขึ้นมาจากความตายของมหากุลอาจเป็นเส้นทางของพรหมลิขิตที่พัดพาให้เขากลับมาเคียงคู่เธออีกครั้งแทนที่จะเป็นพี่สาว คีติการู้สึกปลื้มปริ่มเมื่อคิดถึงความจริงข้อนี้ อย่างไรก็ตาม เธอก็อดเห็นใจคติยาไม่ได้ มหากุลและพี่สาวของเธอหมั้นหมายกันไว้และมีกำหนดการวิวาห์ปีหน้านี้แล้ว
คีติกากลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่าระหว่างความรักที่ต้องเสียสละกับความรักที่ได้มาเพราะความเห็นแก่ตัว เธอควรเลือกทางไหนดี ถนนสายนี้ไม่มีแผนที่บอกทางชัดเจน ราวกับเธอยืนงงอยู่ตรงทางแยกสองเลน กำลังหันมองซ้ายขวาอย่างชั่งใจ แต่หากในท้ายที่สุดเมื่อยังไม่สามารถเลือกเองได้ เธอก็จะปล่อยให้โชคชะตาหรือไม่ก็เวรกรรมชักนำไปสู่วิถีทางที่ถูกที่ควร
“กุลคะ!”
เสียงหวานใสเจือความออดอ้อนดังขึ้นพร้อมกับเสียงเปิดประตูห้อง ร่างเพรียวระหงในชุดเดรสยาวคลุมเข่าสีเหลืองสดเดินนวยนาดตรงมาด้วยระดับฝีเท้าที่เร็วกว่าปกติ นิ้วเรียวที่สวมแหวนประดับทั้งสองข้างค่อยๆ กรีดแว่นกันแดดสีดำออกจากดวงตา จากนั้นจึงเลื่อนไปปลดหน้ากากอนามัยสีฟ้าเผยให้เห็นริมฝีปากสีแดงสดตัดกับความเหลืองอร่ามของอาภรณ์ ดวงหน้าสวยคมกับรูปโฉมสะพรั่งตรึงสายตาของเทพหนุ่มไว้ราวกับโดนสะกด
หล่อนสวย...สวยมากเลยทีเดียว
“กุลเป็นไงบ้างคะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เรือนร่างสะโอดสะองพร้อมกับความสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสองเซ็นติเมตรจงใจใช้สะโพกผายเตะเบียดคีติกาให้เซออกไป “เกลทราบข่าวของกุลตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ใจนึกอยากเลิกกองมาหาซะเดี๋ยวนั้นเลย แต่เพราะละครใกล้ออนแอร์แล้วเกลจึงทำแบบนั้นไม่ได้”
“ถึงพี่เกลจะรีบแจ้นมาตั้งแต่เมื่อคืนก็ใช่ว่าจะช่วยอะไรได้ เคยเล่นละครเป็นหมอแต่ก็ไม่ได้เป็นหมอจริงๆ นะคะ อย่าลืมสิ” คีติกาแขวะเข้าให้ สายตาจิกกัดเหล่มองสตรีชุดอำพันอย่างรำคาญ เกวลีคือนางแบบวัยสามสิบสองปี ควบตำแหน่งนางร้ายพ่วงท้ายด้วยศัตรูหมายเลขหนึ่งของคีติกา
กาลครั้งหนึ่งเกวลีเคยใช้ความโด่งดังของตัวเองทำให้เอเจนซี่ที่สนับสนุนพาเกวลีไปเดินแบบในงานประกาศผลรางวัลภาพยนตร์ที่ยุโรป ยกเลิกชุดและรองเท้าแบรนด์ ‘คีติกา’ ทั้งหมด เกวลีประกาศกร้าวว่าจะใส่ของอีกแบรนด์เท่านั้นไม่งั้นหล่อนจะไม่ไปร่วมงานที่คานส์ ด้วยความที่เกวลีเป็นซุปเปอร์สตาร์ระดับแถวหน้าของเมืองไทยทางเอเจนซี่จึงยอมตามใจอย่างไม่ขัดขืน เจ้าของห้องเสื้อและแบรนด์รองเท้า ‘คีติกา’ จึงผูกใจเจ็บมาตั้งแต่ตอนนั้น
อย่างไรก็ตาม ซุปเปอร์สตาร์ชื่อดังที่ไปเดินแบบเมืองคานส์ไม่ได้มีแค่เกวลีคนเดียว คีติกาใช้ความกว้างขวางและผลงานสุดอลังการของตัวเองไปนำเสนอให้เอเจนซี่อีกเจ้า ซึ่งรายนั้นก็รีบตอบรับแทบจะทันทีที่คีติกาเอ่ยประโยคแรกจบ และผลตอบรับมันก็น่าสะใจจนคีติกาหัวเราะลั่นออฟฟิศ เพราะนางแบบคนนั้นนำพาให้แบรนด์คีติกาโด่งดังจนสื่อนอกยกให้เป็นชุดที่ดีที่สุดในงาน ส่วนเกวลีได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนต่างแดนน้อยถึงน้อยมาก ในขณะที่นางแบบที่สวมแบรนด์คีติกามียอดผู้ติดตามในอินสตาแกรมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับชื่อแบรนด์คีติกาที่ถูกค้นหาบนเว็บไซต์จนติดอันดับต้นๆ ในเวลานั้น ดีไซน์เนอร์สาวสวยได้แต่ยิ้มอ่อนกับชัยชนะที่เกวลีเป็นคนโยนมาให้เธอเอง และนอกเหนือจากเรื่องงานก็มีเรื่องหัวใจนี่แหละที่นำพาให้ทั้งสองคนยังคงยืนอยู่บนเส้นขนานที่ไม่อาจบรรจบกันได้เสียที
“แล้วเธอล่ะมาเสนอหน้าทำไม คนที่อยู่ตรงนี้ควรจะเป็นพี่สาวของเธอไม่ใช่เหรอ”
“พี่เกลเองก็ไม่ควรมาเสนอหน้าอยู่ตรงนี้เหมือนกันนะคะ” คีติกาเขยิบเข้าไปประชิดดาราสาว จรดสายตามองอย่างกึ่งๆ หาเรื่อง “เป็นแค่เพื่อน ถึงครั้งหนึ่งเคยเลื่อนเป็นแฟนแต่สถานะนั้นก็โดนลดขั้นไปแล้ว ไม่มีทางได้กลับไปชูคอเฉิดฉาย แต่ก็ยังมาทำตัวออเซาะผู้ชายอยู่ได้”
เกวลีกำมือแน่นนึกอยากฟาดปากเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนี่สักที แต่ฝืนยั้งไว้ก่อน เธอไม่อยากแสดงกริยานางร้ายต่อหน้ามหากุล แม้ชายหนุ่มจะรู้เช่นเห็นชาติหล่อนจนหมดไส้หมดพุงแล้วก็ตาม
“แหม น้องน้ำหนาวก็พูดออกมาได้ไม่นึกเจ็บแปลบบ้างเหรอคะ เพราะถ้อยคำเหล่านี้ก็ทิ่มแทงตัวน้องเหมือนกัน” เกวลีเบ้ปากเหยียดหยัน “น้องเองก็เคยเป็นแฟนเก่าของกุล ไม่ควรจะถากถางพี่แบบนี้นะคะ อย่างน้อยก็ควรละอายปากบ้าง”
“ไม่ละอายเพราะไม่เจ็บ” คีติกาเชิดหน้าตอบกลับ แววตาดูมั่นใจจนอีกฝ่ายเหยียดริมฝีปากอย่างหมั่นไส้
“หน้าด้านหน้าทนเนอะ ไม่แปลกใจเลยที่พยายามสตีลคู่หมั้นจากพี่สาว”
คำหมิ่นประมาทรอบนี้ได้ผล คีติกาหน้าตึงส่งประกายตามาดร้ายและด่าทอกลับไปให้เกวลี ท่ามกลางคนป่วยที่มองสองสาวสลับกันไปมาโดยไร้ช่องว่างให้เขาเอื้อนเอ่ย
“ฉันไม่เคยแย่งคู่หมั้นพี่หนึ่ง” เสียงเธอดุดันมีความขรึมในแบบที่ไม่ใช่การจิกกัดเหมือนเมื่อครู่
“ปฏิเสธไปก็เท่านั้น เรื่องนี้คนวงในเขารู้กันทั่วแล้ว แม้แต่ครอบครัวของกุลเองก็ทราบดี แต่ไม่มีใครห้ามปรามเพราะเห็นแก่ความสนิทสนมของแม่เธอและคุณป้าพิมล”
“ปากพี่ยังแดงไม่พอใช่ป่ะ อยากมีเลือดซิบที่มุมปากล่ะสิถึงได้พูดแบบนี้” คีติกาง้างมือรอท่า แต่คนป่วยบนเตียงรีบยกลำแขนขวางทัพทันที
“หยุดก่อนๆ มาเถียงกันอะไรตรงนี้ เวียนหัว” เวทิศในร่างมหากุลเอ่ยออกไปห้วนๆ การปะทะคารมของสาวสวยทั้งสองทำเขารู้สึกมึนศีรษะจริงๆ อีกทั้งต่างฝ่ายต่างก็ดูร้ายกาจอย่างไม่มีใครยอมใครเลยด้วย
คีติกาลดฝ่ามือลงเพราะเห็นแก่มหากุล ส่วนเกวลีนั้นยิ้มอ่อนราวกับรู้สึกว่าตนคือผู้ชนะ ก่อนหันไปออเซาะจับเนื้อต้องตัวมหากุล
“กุลไม่เป็นไรมากใช่ไหมคะ รู้ไหมว่าเกลเป็นห่วงแค่ไหน เมื่อคืนแทบไม่มีสมาธิถ่ายละครเลย” เกวลีจับฝ่ามือของชายหนุ่มมาแนบแก้มตัวเอง คีติกาได้แต่กลอกตามองบน จริตมารยาของนักแสดงคงฝังลึกในหัวเกวลีไปแล้ว เพราะการกระทำของเธอมันดูไม่ธรรมชาติเอาเสียเลย แม้สายตาคู่นั้นบ่งบอกว่าห่วงใยชายหนุ่มอย่างแท้จริงก็ตาม
“ครับ ไม่เป็นอะไรมาก” เวทิศตอบรับอย่างไม่เต็มปากเต็มคำนัก คำถามมากมายเหลือเกินที่ผุดขึ้นในหัวของเขาราวกับดอกเห็ด
“พี่กุลจำได้หรือเปล่าคะว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร” คีติกายิ้มเย็นเมื่อนึกวิธีที่สามารถทำให้ดาราสาวหน้าหดเหลือสองนิ้วได้แล้ว
เทพหนุ่มในกายหยาบของมนุษย์มองใบหน้าสวยจัดของเกวลีพลางส่งยิ้มฝืดๆ ไปให้ พร้อมส่ายหน้าระรัว “จำไม่ได้เลย คนเดียวในโลกที่รู้จักคือคีติกา”
“กุล” เกวลีเรียกชื่อชายหนุ่มเสียงแผ่ว รู้สึกราวกับจังหวะหัวใจเต้นอ่อนลงในชั่วพริบตา ร่างกายเบาหวิวพร้อมปลิดปลิวได้ทุกเมื่อดั่งใบไม้แห้งที่ใกล้ร่วงหล่นจากกิ่งก้าน
“ได้ยินชัดแล้วเนอะ คงรู้แล้วสินะว่าใครคือคนสำคัญของพี่กุล ใครที่สลักอยู่ในจิตใต้สำนึกของพี่กุลจนไม่อาจลืมเลือนได้ จะเรียกว่าน้ำหนาวคือความทรงจำโดยปริยายของพี่กุลก็ไม่ผิดอะไรค่ะ” ใบหน้าสวยหวานอมเปรี้ยวยกยิ้มเย้ยหยันเมื่อสามารถทำดาราสาวหน้าจืดเจื่อนได้
ในระหว่างที่โดยสารรถมาโรงพยาบาลกับพี่สาว คีติกานั่งเซิร์ชหาข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานของความทรงจำ เพราะคำบอกเล่าของคติยาที่ว่ามหากุลจดจำคีติกาได้เพียงคนเดียวจึงทำให้คนขี้สงสัยอย่างเธอไม่อาจทนอยู่เฉย จึงต้องลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อหาคำอธิบายอย่างง่ายให้ตัวเอง เมื่ออ่านข้อมูลในหน้าจอทัชสกรีนไปมาคีติกาจึงสรุปรวบรัดได้ว่า เธออาจเป็นความทรงจำโดยปริยายของมหากุล เนื่องจากความทรงจำชนิดนี้เป็นความทรงจำระยะยาวที่ยากจะทำลาย อาจเพราะฝังอยู่ในกล่องของจิตใต้สำนึกของมนุษย์อย่างลึกซึ้งไปแล้ว
“กลับมาแล้วจ้า” เสียงทุ้มในแบบเริงร่าของมหาธนดังขึ้นพร้อมกับบานประตูที่เปิดออกกว้าง
“สวัสดีค่ะคุณป้า สวัสดีค่ะพี่ธีร่า” เกวลีพนมมือไหว้ผู้ใหญ่ที่ตนเคารพ ใบหน้าสวยจัดยังคงหม่นหมองกับความทรงจำของเพื่อนชายที่อดีตเคยมีช่วงเวลาหวานซึ้งด้วยกัน แต่ที่น่าเจ็บใจยิ่งกว่าอะไรคือทำไมต้องเป็นคีติกาที่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำของเขา ทำไมต้องเป็นผู้หญิงคนนี้ ผู้หญิงที่ไม่คู่ควรกับมหากุลเลยสักนิด
“หนูเกลมานานแล้วเหรอจ๊ะ” หญิงวัยกลางคนเอ่ยทักอย่างเป็นมิตร เธอเห็นเกวลีมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้น หล่อนมีสถานะเป็นเพื่อนสนิทของลูกชายคนเล็ก เข้าออกบ้านพิพัศเกียรติมาตั้งแต่วัยแตกสาว เพราะเด็กๆ มักรวมกลุ่มกันมาทำงานและติวหนังสือที่บ้านมหากุลบ่อยครั้ง นางภีมพิมลเองก็มีความเอ็นดูรักใคร่ให้เกวลีอยู่ไม่น้อย ถึงแม้จะดูเป็นสาวเปรี้ยว จริตจะก้านห่างไกลจากความเป็นกุลสตรีหลายขุม แต่กระนั้นเกวลีก็นับว่าเป็นคนมีสัมมาคารวะ รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ ภีมพิมลจึงไม่อาจตั้งป้อมกับหล่อนได้
“เพิ่งมาถึงนี่แหละค่ะคุณป้า” ริมฝีปากแดงสดคลี่ยิ้มเจื่อนๆ เมื่อหันไปทางมหากุล “กุลเขาความจำเสื่อมใช่ไหมคะ”
“ใช่จ้ะลูก แต่แม่ดูแล้วคงไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่ บาดแผลตามร่างกายก็ไม่มีอะไรสาหัส ปาฏิหาริย์มากเลยนะว่าไหม” นางภีมพิมลตอบในขณะจัดอาหารคาวหวานใส่สำรับให้ผู้ป่วย
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ เกลยังมองว่าน่าเป็นห่วงอยู่ดี” ยิ่งจำได้แต่คีติกาความน่ากังวลยิ่งทวีรุนแรงหลายริคเตอร์ เกวลีเหล่มองใบหน้าเชิดรั้นของคีติกาแล้วก็รู้สึกคันยุบยับที่หัวใจ จนอยากผรุสวาทออกไปอีกสักที แต่เพราะมีผู้ใหญ่อยู่ในห้องนี้ด้วยหล่อนจึงจำต้องสงวนท่าทีเสียหน่อย
‘หึ! ทำเป็นชูคอเหมือนหงส์ในทะเลสาบ คอยดูเถอะ ฉันจะทำให้แกกลายเป็นอีกาในสักวัน’
“พี่เกลมีอะไรจะบอกน้ำหนาวหรือเปล่าคะ เห็นจ้องหน้าอยู่นานเลย” คีติกาเลิกคิ้วแสร้งถามกลับหน้าซื่อตาใส ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าอีกฝ่ายกำลังก่นด่าเธอในใจ
ดาราสาวไม่ตอบเพียงแค่นเสียงเยาะแล้วหันไปทางภีมพิมล “คุณป้าคะเกลขอตัวกลับก่อนนะคะ พอดีมีอีเวนต์ต้องไปต่อ นี่เกลขอคิวเร่งด่วนจากพี่จีน่าเพื่อมาเยี่ยมกุลโดยเฉพาะเลยนะคะเนี่ย เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ต้องบินไปโปรโมทหนังที่จีนอีกเป็นอาทิตย์ ไม่งั้นคงไม่ได้เห็นหน้ากุลแน่ๆ” เกวลีเอ่ยถึงจีน่าสาวประเภทสองที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวของเธอ
“จ้ะลูก ยังไงก็หาเวลามาเยี่ยมตากุลบ่อยๆ นะ เผื่อลูกชายป้าจะจำอะไรได้บ้าง”
“แน่นอนค่ะคุณป้า เกลจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ความจำของกุลกลับคืนมาในเร็ววัน เขาต้องจำคุณป้า จำพี่ธีร่า และก็จำเกลได้ ไม่ใช่แค่...” เกวลีจงใจเว้นวรรคลากเสียงยาวพลางปรายสายตาไปทางคีติกาที่ยืนกอดอกฟังอยู่ “...น้องน้ำหนาว เพราะเราทุกคนล้วนมีความสำคัญกับกุล ยังไงซะกุลก็ต้องจำพวกเราได้ในสักวันค่ะ”
“ป้าก็ภาวนาให้เป็นเช่นนั้นจ้ะ”
เกวลีพนมมือไหว้พร้อมกล่าวลาภีมพิมลและมหาธน โดยแลสายตาไร้รอยยิ้มไปทางคติยาเพียงเล็กน้อยอย่างไว้ตัว จากนั้นจึงเดินไปฝากรอยจูบสีแดงที่แก้มมหากุล ซึ่งคนป่วยถึงกับผงะตกใจไม่คิดว่าจะโดนสตรีเพศจู่โจมท่ามกลางสายตาหลายคู่เช่นนี้
เมืองมนุษย์ผู้คนเปิดเผยไร้ความละอายแบบนี้เองเหรอเนี่ย
“น่าเกลียด เพื่อนชายหญิงที่ไหนเขาทำกันแบบนี้” คีติกาแขวะ
“ก็เพื่อนที่รู้ใจไงจ๊ะน้องน้ำหนาว” เกวลีตอบพลางตบท้ายด้วยรอยยิ้มยั่วโทสะ ก่อนอำพรางโฉมด้วยหน้ากากอนามัยและแว่นกันแดดยี่ห้อหรู จากนั้นจึงเดินนวยนาดออกไปจากห้องพักผู้ป่วย