เจ้าตัวน้อย
"ตื่นเต้นหรือเปล่าน้ำหนึ่ง จะได้เห็นหน้าลูกเป็นครั้งแรก"
"ครับ พี่นิด ผมตื่นเต้นจนเมื่อคืนก็นอนไม่หลับ" ผมตอบพี่นิดที่ทำหน้าที่คนขับรถ เพราะตอนนี้เรากำลังเดินทางไปที่โรงพยาบาลกันตั้งแต่เช้าในวันหยุด ก่อนคนที่นั่งอยู่ข้างกายผมอีกคนจะพูดขึ้นมาบ้าง
"เราก็ตื่นเต้น จะได้เห็นหน้าหลาน" เอริโกะวางมือบนหน้าท้องของผมที่โตกว่าตอนมาที่นี่ ผมก้มมองตามทั้งรอยยิ้ม เพราะวันนี้ผมจะได้เห็นหน้าของลูกเป็นครั้งแรก
กระทั่งเราเดินทางมาถึงที่โรงพยาบาล พี่นิดและเอริโกะก็ช่วยพยุงร่างกายผม และสื่อสารกับคุณหมอ เพราะภาษาญี่ปุ่นของผมยังไม่แข็งแรง บางคำศัพท์ผมก็ยังไม่เข้าใจ และช่างโชคดีที่คุณหมอสามารถโต้ตอบกับผมเป็นภาษาอังกฤษได้บ้าง ก่อนเราสามคนจะถูกพาไปยังอีกห้องสำหรับว่าที่คุณแม่เคสพิเศษอย่างผม คุณหมอก็ให้ผมนอนลงบนเตียงโดยมีเครื่องบางอย่างตั้งอยู่ด้านบนศีรษะ คราวนี้ผมตื่นเต้นหนักกว่าเดิมอีกครับ มือเคลื่อนจับกันแน่น โดยมีพี่นิดและเอริโกะยืนอยู่ใกล้ๆ อย่างให้กำลังใจ
"ทำใจให้สบายนะครับ"
"ครับ" สำเนียงภาษาอังกฤษของคุณหมอ ผมจึงตอบคุณหมอกลับไปด้วยรอยยิ้มแหย่ ถึงจะให้ผมทำตัวตามสบาย แต่เครื่องมือมากมายที่รายล้อมผมตอนนี้ก็ทำให้ผมอดหวั่นใจไม่ได้ ก่อนคุณหมอจะหันไปสื่อสารกับพี่นิดเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด ผมเพียงมองตามเท่านั้นเพราะไม่สามารถจับใจความว่าพูดถึงเรื่องอะไร แล้วพี่นิดก็หันมาพูดกับผมต่อ
"เขาบอกว่าท้องของน้ำหนึ่งเหมือนคนท้องเจ็ดแปดเดือน อาจจะมีเด็กสองคน" พี่นิดยิ้มตอบผมอย่างตื่นเต้น ทว่าผมกลับตื่นเต้นมากกว่า ก้มมองหน้าท้องของตัวเอง ความรู้สึกตอนนี้ผมก็ตอบตัวเองไม่ได้ มันฟูๆ ไปหมด
"จะ...จริงเหรอครับ"
"แต่เดี๋ยวก็ต้องตรวจให้แน่ใจ" ผมเห็นด้วยกับพี่นิด เพราะเรายังไม่ได้เริ่มการตรวจ ก่อนคุณหมอจะขออนุญาตให้ผมเปิดเสื้อโชว์หน้าท้องนูน ความเย็นของเจลบางอย่างที่สัมผัสลงมายังหน้าท้องทำเอาผมสะดุ้งเล็กน้อย อีกทั้งเครื่องมือที่สัมผัสลงมาทำเอาผมใจเต้นแรงไปหมด คุณหมอบอกให้ผมทำใจให้สบายอีกครั้ง ให้ผมพลิกตะแคงไปมาเพื่อเช็กเด็กที่อยู่ภายในห้อง
ภาพบางอย่างที่ถูกฉายผ่านหน้าจอบนเครื่องยังไม่เป็นรูปเป็นร่างดีนัก ก่อนมันจะเริ่มชัดเจนขึ้น ภาพของลูก ครั้งแรกที่ได้เห็นเขา
"เด็กมีสองคนจริงๆ ด้วย" พี่นิดชี้ให้ผมดูภาพบนหน้าจอและอธิบายให้ผมเข้าใจตามที่คุณหมอกำลังอธิบายอยู่ในตอนนี้ เด็กสองคนที่นอนหันหน้าเข้าหากัน เป็นเด็กผู้ชายหนึ่งคนและเด็กผู้หญิงอีกหนึ่งคน ผมมองถาพนั้นอยู่นานทีเดียว จนเสียงของพี่นิดไม่ได้เข้าหูผมเลย
"น้องน่ารักจัง" เอริโกะก็พูดเสียงอย่างตื่นเต้นไม่แพ้กัน ผมมองภาพนั้นด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง จนน้ำตาปริ่มตรงหางตาอย่างไม่สามารถเก็บความยินดีภายในใจเอาไว้ได้
ก่อนกลับ คุณหมอก็กำชับผมในเรื่องการดูแลตัวเองในช่วงนี้และให้สมุดเช็กสุขภาพมาหนึ่งเล่ม ภาวะเด็กในครรภ์ที่อาจจะขยับตัวบ่อยครั้ง ผมยิ้มรับและกล่าวขอบคุณคุณหมอ และอีกสามเดือนนับหลังจากนี้ ผมจะต้องเตรียมตัวผ่าคลอด เพื่อรอวันที่จะได้พบเจอกัน
"ตามสบายนะน้ำหนึ่ง"
"ขอบคุณมากครับพี่นิด เอริโกะ ที่ไปเป็นเพื่อนผม" ผมยิ้มขอบคุณทั้งสองคน หลังกลับมาจากโรงพยาบาล ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง ผมจึงเดินกลับเข้าไปในห้อง ภายในห้องของผมที่เต็มไปด้วยภาพวาดแปะผนังอยู่เต็มไปหมด ภาพวาดของเด็กชายและเด็กหญิงที่ผมบรรจงวาดขึ้นมา และภาพของลูกในวันนี้ที่ผมได้เห็นเขาครั้งแรก ผมรีบลงมือวาดทันทีเพื่อจะมอบเป็นของขวัญชิ้นแรกให้กับพวกเขายามคลอด
"หวังว่าพวกหนูจะชอบกันนะครับ" ผมพูดคุยกับลูกภายในท้องด้วยรอยยิ้ม และกว่าภาพที่ผมวาดจะเสร็จสมบูรณ์ก็ปาไปเกือบสองชั่วโมง ผมลุกจากที่นั่งนำภาพที่เพิ่งวาดเสร็จไปรวมกับผลงานอื่นๆ ผลงานที่มีใครอีกคนที่ผมเผลอหลงลืมเขาไปนานทีเดียว หลังจากที่ได้ตัดสินใจมาใช้ชีวิตใหม่ที่นี่
"คุณอัคคี" ไม่รู้ทำไมผมถึงนำภาพของลูกแปะไว้ข้างกันกับภาพของเขา แค่เพียงภาพถ่ายที่ผมขอเห็นแก่ตัว ที่มีคุณอยู่ด้วยกันในทุกวัน
"น้ำหนึ่ง พี่ขอโทษนะ พี่ไม่รู้จริงๆ"
"ไม่เป็นไรครับพี่นิด เดี๋ยวผมจะออกไปคุยกับเขา" เช้าในวันต่อมาก็เหมือนเช้าในวันปกติทั่วไปที่ผมจะออกไปทำงานที่ร้าน แต่เช้านี้กลับต่างออกไปสักเล็กน้อย เมื่อมีชาวต่างชาติเข้ามาในร้านและถามถึงคนที่ผลิตผลงานที่ติดอยู่ผนังข้างร้าน ที่พี่นิดขอภาพจากผมมาโชว์ผลงานที่นี่ ทั้งที่ก็เป็นภาพธรรมดาภาพหนึ่ง แต่ชายคนนี้กลับต้องการเจอคนที่ผลิตผลงานชิ้นนี้ออกมา
ผมจึงเดินออกไปพบเขาอย่างไม่ให้เสียมารยาท ชายวัยกลางคนและหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้วยกัน ทำให้ผมเก้อเขินเล็กน้อยที่จะต้องพูดคุยอย่างเป็นทางการ
"สวัสดีครับ" ผมเอ่ยทักทายทั้งสองคน พวกเขาจึงลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ยื่นมือมาทักทายผมและตอบกลับมาเป็นภาษาอังกฤษ ผมยิ้มตอบกลับไปเช่นกันก่อนเราสามคนจะนั่งลงพร้อมกันบนเก้าอี้เพื่อพูดคุย
"คุณคือเจ้าของผลงาน"
"ครับ มีอะไรกับผมหรือเปล่า"
พอผมตอบกลับไปว่าผมนั้นเป็นเจ้าของผลงานที่ติดอยู่ตรงผนังภายในร้าน พวกเขาทั้งสองคนก็ยิ้มให้แก่กันและเปิดภาพบางอย่างในโทรศัพท์ให้ผมดู ภาพที่ผมมอบให้กับคุณฟาโรห์เมื่อหลายเดือนที่แล้วกับภาพชุดแรก ผมไม่คิดว่าพวกเขาจะจดจำฝีมือของผมได้ และยิ่งเขินอายที่ถูกกล่าวชมต่อหน้าและขอการติดต่อจากผม หากได้ร่วมมือกันในครั้งต่อไป
อีกทั้งก่อนจากกันพวกเขายังขอซื้อภาพที่ติดอยู่ตรงผนัง ซึ่งภาพนี้ผมได้มอบมันให้กับพี่นิดไปแล้ว แต่พี่นิดก็สนับสนุนให้ผมนำออกมาขาย แต่ว่าผมไม่รู้ราคาของมันเพราะคุณฟาโรห์จัดการให้ผมแทบทั้งหมด แต่เมื่อเห็นตัวเลขภายในเช็คที่เขายื่นมาให้ ผมถึงกลับตาโตเพราะไม่คิดว่าราคาจะสูงถึงเพียงนี้ กับจำนวนตัวเลขหกหลัก
"มันมากเกินไปครับ" ผมว่าอย่างเกรงใจ พวกเขาจึงยิ้มมองผมอย่างเอ็นดู
"ไม่มากไปกับผลงานที่ผมพึงพอใจ" และนั่นเป็นคำตอบของพวกเขาก่อนจะจากกันไปจริงๆ ผมเดินไปส่งพวกเขาที่หน้าประตู อีกทั้งยังถูกอวยพรให้ผมคลอดลูกออกมาอย่างแข็งแรง ผมยิ้มกับความสุขเล็กๆ ที่ผ่านเข้ามาในวันนี้และกล่าวขอบคุณพวกเขาอีกครั้ง
"แบบนี้เจ้าตัวน้อยก็ไม่ลำบากแล้วล่ะ" เอริโกะยิ้มให้กับผม คงได้ยินมันทั้งหมด ผมก้มมองท้องตัวเองพร้อมกับลูบมือลงบนหน้าท้องอย่างแผ่วเบาอย่างรักใคร่
"แต่อย่างไร เราก็ยังต้องขยันให้มากกว่านี้" เพราะตอนนี้ไม่ได้มีเพียงหนึ่ง แต่มีถึงสองคน ผมคงต้องเตรียมพร้อมให้มากกว่านี้เพื่อรอวันที่พวกเขาจะลืมตาขึ้นมาบนโลกใบนี้
.
.
"อาการไม่สบายหายแล้วนี่นา อัคคี" โรมันเอ่ยทักชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะอาหารบนเรือสำราญที่ยังคงลอยเคว้งคว้างไปตามทะเลอันกว้างใหญ่ อัคคีเพียงปรายตาขึ้นมอง ตอบรับเสียงในลำคอเท่านั้น เพราะหลังจากที่เขาเดินทางมายังประเทศแห่งนี้ก็เป็นเวลาเกือบครึ่งปีที่ต้องเสียเวลาเจรจางานที่ไม่จบไม่สิ้น ในเรื่องของผลประโยชน์ที่ยังไม่ลงตัว และนอกเหนือจากการเจรจางาน เรื่องอาการที่เป็นก่อนหน้านี้อย่างไม่รู้สาเหตุก็หายไปด้วยเช่นกัน จนเขาสามารถกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติสุขอีกครั้ง
"อืม"
"นายกำลังคิดถึงใครอยู่หรือเปล่า"
ดั่งคำที่กระแทกใจของชายหนุ่ม อัคคียิ่งเงียบงันและเผลอแสดงอาการหงุดหงิดออกมาอย่างชัดเจน ยิ่งทำให้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยกยิ้มกับปฏิกิริยาที่ไม่มีให้เห็นบ่อยนักกับคนที่เก็บอารมณ์ได้อย่างยอดเยี่ยม และผลก็ไม่ได้ต่างจากที่คิด
"ฉันขอโทษอีกครั้งแล้วกัน ว่าไม่ได้ตั้งใจจะทำโทรศัพท์นายตกทะเล มันเป็นอุบัติเหตุ" โรมันยกมือขึ้นแสดงอาการขอโทษที่เผลอทำของสำคัญของอัคคีตกทะเลไปเมื่อหลายเดือนก่อน ช่วงที่เขาเดินทางตามชายหนุ่มมาที่ประเทศแห่งนี้ จนเวลาล่วงเลยมาเพื่อนของเขาก็นั่งไม่ติดพื้นเพราะคะนึงหาถึงโทรศัพท์เครื่องนั้นที่หายสาบสูญไป หรือไม่ก็อาจจะเป็นคนที่กำลังคุยด้วยในตอนนี้อยู่ก็ได้
"แต่ตอนนี้ฉันว่านายควรคิดถึงเรื่องที่จะเข้าประชุมในวันนี้ก่อนจะดีกว่า ยังไงพื้นที่ตรงนั้นเราต้องเอามาให้ได้ ไม่ว่าจะวิธีไหนก็ตาม" โรมันเปลี่ยนจากท่าทีทีเล่นเป็นจริงจังขึ้นมา เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ก็ยังไม่สามารถครอบครองพื้นที่เกาะกลางมหาสมุทรที่ถูกค้นพบอัญมณีเมื่อไม่นานมานี้ เมื่อหลายคนรู้เข้า ก็กรู่กันเข้ามาร่วมประมูลและเปิดเสนอราคาและอ้างอิงถึงเรื่องผลประโยชน์กันอย่างไม่หวาดหวั่น ซึ่งแน่นอนว่า พื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์เช่นนั้นจะต้องกลายมาเป็นของพวกเขา คนอื่นไม่มีสิทธิ์
"ฉันรู้" อัคคีตอบกลับไปทันที อย่างไรตอนนี้เรื่องการประมูลก็ต้องมาก่อน เพราะแบบนี้ไงอัคคีถึงรู้สึกหงุดหงิดที่มันไม่ยอมจบสักที เขาอยากกลับแล้ว แต่ก็ไม่สามารถกลับไปได้ เพราะยังติดพันกับเรื่องนี้อยู่ แต่ว่าอย่างไรวันนี้มันก็ต้องจบ เขาปล่อยให้มันยืดเยื้อมานานเกินไปแล้ว ถ้าใครไม่เห็นด้วยก็คงต้องใช้วิธีอื่นมากกว่าเงินในการแก้ปัญหาให้จบสิ้น
"คุณอัคคี คุณโรมัน เชิญเข้าประชุมได้แล้วครับ" และแล้วการ์ดสองคนที่ตามติดชายหนุ่มก็เข้ามาเรียกที่โต๊ะอาหาร เมื่อถึงเวลาการเข้าร่วมประชุม อัคคีจึงลุกขึ้นจากที่นั่งทันทีจัดสูทสีดำสนิทให้เข้าที่เข้าทาง โดยมีโรมันตามติดเข้าไปด้านในไม่ห่าง
"น่าเบื่อเป็นบ้า ยามพูดกับคนแก่หัวโบราณคร่ำครึ" คนที่เดินตามหลังยังพูดออกมาไม่หยุด แต่เพราะเขาเชื่อในฝีมือของอัคคีที่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรชายคนนี้ก็จัดการปัญหาได้ทุกอย่าง
แต่เหมือนว่าตอนนี้จะมีอีกเรื่องที่ชายหนุ่มยังไม่รู้ แต่อย่างไรโรมันก็ให้อัคคีรู้เรื่องที่ปิดบังไว้ไม่ได้ หากชายหนุ่มรู้เข้า เรื่องงานที่จะดำเนินการต่อจากนี้คงได้หยุดตัวลง
อย่างไรงานก็ย่อมมาก่อน และเพื่อความสำเร็จ เขาจะต้องกีดกันทั้งคู่ออกจากกัน และมัวแต่คิดถึงเรื่องนี้เสียงข้อความโทรศัพท์ที่ดังเข้ามาก็ทำให้ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์ โรมันก้มมองโทรศัพท์ในมือพร้อมกับแผ่นหลังของอัคคีที่กำลังเดินเข้าไปในห้องประชุม
"นายเข้าไปด้านในก่อนเลยนะ"
"อืม"
อัคคีพยักหน้าลง โรมันจึงเดินออกไปอีกทาง ภาพบางอย่างที่ฟาโรห์ส่งมาให้ ทำให้เขาขมวดปลายคิ้วเข้าหากันยุ่ง ภาพวาดที่เหมือนไม่มีอะไร แต่มันกลับสะกิดใจคนที่รู้ความลับทุกอย่าง แต่โรมันก็ยังเชื่อว่าฟาโรห์ก็ไม่รู้เรื่องนี้เพราะเขาเป็นสั่งให้ปกปิดหลักฐานทั้งหมด ไม่ให้ใครสามารถตามสืบข้อมูลได้
ภาพวาดของเด็กชายและเด็กหญิง อีกทั้งภาพชายหนุ่มที่เหมือนกับอัคคีที่ยืนอยู่ใกล้ๆ อย่างไรก็ห้ามเผยแพร่ออกไป
โรมันจึงรีบต่อสายหาคนของตัวเองด้วยท่าทีเคร่งเครียด สั่งให้ซื้อภาพเหล่านั้นมาทั้งหมด โดยเปิดเสนอราคาที่มากกว่าตลาด
"ยังไงก็จับตามองให้ดีๆ"
(ครับ นาย)
นอกจากภาพที่สั่งให้คนของตัวเองกวาดซื้อมาทั้งหมด เด็กผู้ชายคนนั้นเขาก็ได้สั่งให้คนตามอยู่ห่างๆ รู้สึกว่าจะย้ายไปอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น ใช้ชีวิตใหม่ร่วมกับคนที่กำลังจะลืมตามาบนโลกใบนี้
คนที่จะทำให้ชะตาชีวิตของอัคคีเปลี่ยนไปตลอดกาล
+ + + + + + + + + + + + + +
ต้าวอ้วนสองแฝดกำลังจะคลอดแล้ว พี่อัคคีก็ยังไม่รู้ตัว 5555
#คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว