ทางที่ต้องเลือก
หลังจากที่รู้ตัวว่าท้อง ทุกการกระทำของผมจึงเป็นไปอย่างระมัดระวังมากยิ่งขึ้น หาข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลตัวเองและการดูแลเด็กในครรภ์ สิ่งไหนที่ควรทำหรือไม่ควรทำ แน่นอนว่าช่วงแรกเป็นไปอย่างยากลำบากเพราะรูปลักษณ์ภายนอกของผมเป็นผู้ชาย ผู้ชายประหลาดที่ท้องได้ หากท้องโตมากกว่านี้ ผมคง...
"เป็นเด็กดีนะครับ" ผมลูบหน้าท้องตัวเองที่ยังคงแบนราบเรียบในตอนเช้าตรู่ ตามตำราบอกไว้ว่าครรภ์ในระยะนี้คุณแม่จะมีอาการแพ้ท้อง เวียนหัว หรือหน้ามืดอยู่บ่อยครั้ง หากสำหรับตัวผมที่ผ่านมา นอกจากกลิ่นอาหารบางประเภท ผมก็ยังคงใช้ชีวิตได้อย่างปกติ สงสัยเจ้าตัวน้อยจะรู้ถึงได้ไม่รังแกผม และให้ผมสามารถไปเรียนที่มหาลัยได้อย่างปกติ
แค่อีกไม่กี่เดือนผมก็จะเรียนจบชั้นปีหนึ่งแล้ว หลังจากนั้นต้องคิดหาทางใช้ชีวิตอยู่กับลูกต่อไปให้ได้
"น้ำหนึ่ง ทำไมถึงไม่บอกพี่เรื่อง..."
"พี่เนตรอย่าพูดเรื่องนี้ตอนนี้เลยนะครับ ผมขอร้อง" การปรากฏตัวของชายหนุ่มที่ผมคุ้นเคย ทำให้ผมมองพี่เนตรอย่างขอความเห็นใจ ที่นี่ยังมีนักศึกษาเดินผ่านไปมา และผมไม่อยากให้ใครรู้เรื่องที่ผมท้องในตอนนี้ เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก
"พี่ขอโทษ ยามพี่รู้เรื่องเรามาจากทาย พี่จึงรีบมาหาเราทันที น้ำหนึ่งโอเคใช่ไหมครับ"
"ทีแรกผมก็ไม่โอเคหรอกครับ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกดีมากแล้ว" น้ำเสียงและสายตาเป็นห่วงของพี่เนตร ทำให้ผมเพียงยิ้มบาง ก่อนผมจะถูกพี่เนตรพาเดินไปอีกฝั่งที่เป็นสถานที่ที่เงียบพอสมควรยามพักเที่ยงวันและเป็นสถานที่ที่ให้เราสามารถพูดคุยกันได้อย่างสะดวก
"น้ำหนึ่งจะลาออกจากมหาลัยและงานที่บาร์แล้วใช่ไหม"
"ครับ ผมคิดว่างานในครัวมันหนักเกินไปสำหรับผมและลูกในตอนนี้ และกลิ่นอาหารมันทำให้ผมรู้สึกไม่ดีสักเท่าไหร่" แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายเพราะมันเป็นงานเดียวที่ผมสามารถหาเงินได้ยามเรียน เพียงทำงานไม่กี่ชั่วโมง และพี่ๆ ที่ผมรู้จักภายในร้านก็ดีกับผมมาก ผมเองก็ไม่อยากจะจากพวกเขาไปเร็วๆ นี้เลย
"จำคำที่พี่เคยบอกเราได้ไหม เรื่องที่พี่เคยพูดกับเรา"
"ครับ?" ผมเพียงมองพี่เนตรอย่างไม่เข้าใจว่าพี่เนตรเคยพูดอะไรไว้กับผม
"ร้านคาเฟ่ดอกไม้ ร้านของพี่เองครับ ช่วงนี้น้องๆ ที่เคยทำงานต้องเตรียมตัวเข้ามหาลัย พี่ขาดคนงานพอดี น้ำหนึ่งสนใจมาทำตรงนี้แทนก่อนดีไหมครับ ไม่หนักมากส่วนค่าแรงพี่ให้น้ำหนึ่งสองเท่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ส่วนเรื่องที่พักน้ำหนึ่งย้ายไปนอนที่ร้านได้เลย มีห้องว่างหนึ่งห้อง"
"มันไม่มากไปเหรอครับพี่เนตร ผมกะ..."
"มามัวเกรงใจกันตอนนี้ไม่ได้แล้ว น้ำหนึ่งต้องคิดถึงลูกให้มากๆ ยิ่งการดูแลตัวเองยามท้องไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะครับ และที่พี่ให้น้ำหนึ่งย้ายของไปอยู่ที่นั่นเพราะร้านของพี่ไม่ได้อยู่ที่นี่ครับ"
"ที่ไหนเหรอครับ"
"ญี่ปุ่นครับ" ไม่ใช่ไกลต่างจังหวัด หากเป็นไกลข้ามประเทศเลยต่างหาก ผมไม่รู้ว่าผมควรจะตัดสินใจอย่างไรดี
"พี่เดินทางไปที่นั่นปีละสี่ครั้ง มีพี่สาวของพี่บริหารงานที่นั่นอยู่ ถ้าน้ำหนึ่งตกลงพี่จะได้สบายใจ"
"พี่เนตรผมขอบคุณพี่มาก ที่พี่ดีกับผม" ไม่ว่าเมื่อไหร่พี่เนตรก็มักจะหยิบยื่นสิ่งที่ดีให้กับผมเสมอ อย่างที่พี่เนตรบอก ผมต้องคิดถึงลูกให้มากๆ เพราะผมไม่ใช่ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้ว และการเลือกไปใช้ชีวิตที่นู่นอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่ทำให้ผมได้เริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกที่กำลังจะเกิดมาอีกไม่นานแล้วก็ได้
"หลังจากน้ำหนึ่งเรียนจบเราจะออกเดินทางกันทันที"
.
"คุณอัคคีคะ คุณนรินทร์ขอเข้าพบช่วงบ่าย จะให้เข้าพบไหมคะ" เสียงของเลขาที่เข้ามารายงานภายในห้อง ทำให้ชายหนุ่มที่กำลังไล่สายตาอ่านเอกสารบนมือหยุดเพียงครู่ เพราะชื่อของใครที่ไม่คุ้นเคย
"ใคร" หากเป็นชื่อของคู่ค้าคนสำคัญ อัคคีจำได้ทั้งหมด
"คุณนรินทร์ ลูกสาวของคุณทิวา ผู้บริหารบริษัทนำเขารถหรูค่ะ"
"อืม บอกเธอว่าฉันไม่ว่างไปพบ" ชื่อทิวา เขาจำชายคนนี้ได้หากแต่ชื่อนรินทร์ลูกสาวของชายคนนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับงานของเขา ก็ไม่จำเป็นต้องออกไปพบ
"ค่ะ" เกวรับคำ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป อัคคีจึงกลับมาทำหน้าที่ของตัวเอง ทำได้เพียงครู่เดียวก็ต้องหมุนเก้าอี้ไปอีกทาง ปลดเนกไทตรงลำคอให้หละหลวมเพื่อคลายความอึดอัด ยกจิบน้ำขิงร้อนที่ถูกเสิร์ฟทุกๆ สองชั่วโมงยามรู้สึกไม่ดีกับตัวเอง ก็ได้แต่หวังว่าสักวันอาการนี้จะรีบๆ หายไปสักที
"คุณอัคคี เชิญครับ" ยามเลิกงานการ์ดทั้งสองคนก็เข้ามาในห้องของชายหนุ่ม เพื่อพาไปที่รถที่จอดรอรับหน้าบริษัท ใบหน้าที่ยังคงแสดงความซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัดของคนที่เป็นเจ้านาย ทำให้คนที่มีหน้าที่ดูแลยิ่งต้องเพิ่มความดูแลมากขึ้นเป็นเท่าตัว ระหว่างที่รถกำลังขับเคลื่อนไปตามท้องถนน ภาพของใครบางคนที่ไม่ได้พบหน้ากันมานานนับเดือน ก็เผลอออกคำสั่งที่ไม่ใช่ทางกลับบ้านไปยังสถานที่ที่เคยพบเจอกันเมื่อครั้งนั้น
"พาฉันไปที่บาร์"
"อ่า ครับ" รถที่กำลังมุ่งหน้ากลับบ้าน ถึงกับวนรถเพื่อพาผู้เป็นนายไปยังสถานที่ที่ต้องการ
รถเคลื่อนมาจอดตรงด้านหน้าตรงจุดที่เขาเคยเจอคนคนนั้นใช้เป็นที่รอแท๊กซี่ อัคคีเพียงนั่งรอภายในรถเท่านั้นไม่ได้เข้าไปนั่งภายในร้านเหมือนอย่างปกติ กลายเป็นที่น่าสงสัยของการ์ดทั้งสองคนที่หันหน้าเข้าหากันกับบางสิ่งบางอย่างในตัวของคุณอัคคีที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนคุณอัคคีคนเดิม
เพราะคุณอัคคีที่พวกเขารู้จักคือผู้ชายที่เห็นเรื่องเวลาเป็นสำคัญที่สุด ไม่ใช่มานั่งรอให้เวลาผ่านไปภายในรถอย่างเสียเปล่าแบบนี้
อัคคีเพียงนั่งรอเวลา ช่วงที่พบเจอกันเมื่อครั้งนั้นคืออีกหนึ่งชั่วโมงต่อจากนี้ เขาจึงเลือกพักสายตา โดยการนั่งหลับตาลงภายในรถ เพียงครู่เดียวก็ต้องลืมตาขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงเอะอะอะไรบางอย่างด้านนอก
"เสียงอะไร"
"ผมเองก็ไม่ทราบครับ แต่ว่าผู้ชายคนนั้นช่างน่าสงสาร" การ์ดชี้มือออกไปนอกรถ ภาพที่ผู้ชายตัวเล็กคนนั้นถูกผู้ชายตัวโตสองสามคนรุมล้อมช่างดูน่าเห็นใจ แต่จะให้ลงไปช่วยก็ใช่เรื่องเพราะไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของคนที่ต้องช่วย หากแต่ใบหน้าที่คุ้นเคยนั้นทำให้อัคคีหรี่ตาลงรีบเปิดประตูออกนอกรถไปทันที ร่างกายที่ไวกว่าสมองพาตัวเองเข้าไปอยู่ในจุดจุดนั้น การ์ดทั้งสองคนที่ไม่เคยเห็นท่าทีของคุณอัคคีเป็นเช่นนี้มาก่อนก็รีบลงจากรถด้วยความตกใจเช่นกัน รีบตามไปปกป้องคุณอัคคี
"อย่าทำผมเลยครับ ผมขอร้อง"
"คงไม่ได้เพราะเจ้านายของฉันรออยู่ที่รถให้นำตัวเธอไปพบ" ชายร่างกำยำทั้งสามคนมองคนตัวเล็กกว่าอย่างพึงพอใจ ใบหน้าน่ารักเช่นนี้ น่าเสียดายที่ไม่สามารถลองชิมได้ต้องนำตัวไปให้เจ้านายเสียนี่สิ หากแต่มือที่กำลังจะเคลื่อนไปจับก็ถูกแรงมหาศาลจากใครบางคนปัดออกอย่างแรง
"อย่ามายุ่งเรื่องของผัวเมีย" หนึ่งในชายสามคนพูดอย่างรู้สึกหงุดหงิดที่มีคนเข้ามาขวาง แต่คำว่า 'ผัวเมีย' จากคนที่ยืนตรงหน้าทำให้อัคคีแน่นิ่งเสียยิ่งกว่าเดิม
"ไม่ใช่นะครับ ผมกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกัน เขาจะทำร้ายผม คุณ..."
"คุณอัคคี" การ์ดที่วิ่งตามมาได้ทันก็รีบยืนเข้าขวางหน้าของชายฉกรรจ์ทั้งสามคนเพื่อไม่ให้ทำอันตรายแก่ผู้เป็นนาย ฝีมือของพวกเขาคือการต่อสู้ที่ฝึกปรือมาอย่างชำนาญหรือจะแพ้แค่พวกชายฉกรรจ์ที่ร่างยักษ์ทว่าการต่อสู้ไม่มีศิลปะเหมือนเป็นการชกต่อยของเด็กประถม
"จัดการพวกมันให้หมด แล้วมารายงานฉันด้วย" อัคคีออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นเหยียบ ขนาดการ์ดทั้งสองคนยังรู้สึกกลัวไปด้วย มีไม่กี่เรื่องที่คุณอัคคีจะมีอารมณ์โกรธถึงขนาดนี้ พวกมันช่างโชคร้ายที่เข้ามาตอนที่คุณอัคคีอารมณ์ไม่ดี
"ครับ"
ระหว่างที่การ์ดกำลังจัดการกับชายสามคน อัคคีก็มองคนที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังของตัวเองด้วยท่าทีที่ไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมถึงแสดงอาการออกมาเช่นนี้ แค่เพียงเห็นเธอตกอยู่ในอันตราย เขาก็รีบลงมาจากรถอย่างขาดสติไม่เหมือนกับเขาอย่างทุกครั้งที่ต้องใช้ความคิดไตร่ตรองหาเหตุผลถึงความได้เปรียบเสียเปรียบ ไม่ใช่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงในจุดที่รู้ว่ายังไงก็ไม่ชนะ
"ขอบคุณ" เสียงหวานเอ่ยแผ่ว ทำให้ชายหนุ่มเคลื่อนมือไปตรงหน้าของคนตัวบางที่ยังคงยืนนิ่งมองมาทางตัวเองเช่นกัน คว้าจับลงตรงปลายคางของเธอ ดวงตากลมโตที่สั่นระริกไปมาทำให้อัคคีเผลอจ้องมองอยู่นานทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นดวงตา จมูก แก้ม หรือกระทั่งริมฝีปากอวบอิ่มที่ครั้งหนึ่งเคยได้สัมผัส เคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้มากยิ่งขึ้น สายตาที่มองเขายิ่งสั่นไหวหนักกว่าเดิม เสียจน...
"เออ...ผม" เขารีบคว้าลำตัวของคนที่จู่ๆ ก็เป็นลมล้มพับไปต่อหน้า อัคคีพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ สองสามที เมื่อกี้เขาเป็นอะไร ไม่สามารถบังคับความต้องการของตัวเองได้เลย
"คุณอัคคีพวกผมจัดการพวกมันหมดแล้วครับ พวกมันสารภาพความผิดจนผมจับผู้บงการได้หนึ่งคน" การ์ดรีบเข้ามารายงานยามจับพวกชายฉกรรย์มัดแล้วเรียกให้คนของตัวเองมาจัดการนำตัวไปสอบปากคำต่อไป และผู้หญิงคนนี้ที่ยืนแอบมองอยู่ห่างๆ ก็ทำให้พวกเขาล้อมจับเธอได้ทันที ส่วนคนที่อยู่บนรถไม่สามารถตามจับได้ทันเพราะรู้ตัวแล้วหนีไปก่อน แต่แค่นี้ก็เพียงพอต่อการนำจับคนอื่นๆ ต่อไปได้ไม่ยาก
"ผู้หญิง" อัคคีเพียงปรายตามองหญิงสาววัยกลางคนที่ถูกมัดมือ มัดเท้าและปิดตรงริมฝีปากเพื่อป้องกันไม่ให้เธอโวยวายยามพาตัวไปด้วยกัน ดวงตาที่ตื่นตระหนกยามเห็นเขาไม่ได้ทำให้อัคคีรู้สึกเห็นใจแม้ว่าจะเป็นผู้หญิง คิดมาทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดก็เตรียมตัวรับโทษกันได้เลย
"นำตัวมันไปสอบสวน"
"ครับ แล้วเออ..." การ์ดทั้งสองมองไปยังคนที่อยู่ภายในอ้อมแขนของเจ้านายที่ถูกกอดประคองอย่างอ่อนโยน ท่าทีเช่นนี้ของคุณอัคคีที่เห็นเป็นครั้งแรกก็แทบทำเอาพวกเขาช็อกไปเป็นเรื่องที่สองของวันนี้ หากมองดีๆ แล้วเธอช่างรู้สึกคุ้นเคยเหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน
"พาเธอไปด้วย" ไม่ได้มีเหตุผลอะไร เพียงแต่การได้อยู่ใกล้กับเธอมันทำให้อาการที่เขาเป็นอยู่นานนับหลายเดือนเบาบางลงและสบายใจก็เท่านั้น
+ + + + + + + + + + + + + +