บทที่ 5
คลื่นชีวิต
.
.
.
#คิมหันต์
กริ้งๆ…นาวา
“เห็นโทรมาหลายสายแล้ว ปลายสายคงเป็นห่วงมึง กูขอรับแทนให้นะ”
“ฮัลโหลนาวี เป็นอะไรมากไหม อาการเป็นยังไงบอกพี่มาสิ” น้ำเสียงปลายสายรีบพูดด้วยความร้อนใจ
“นาวีอาการดีขึ้นแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะไม่ให้เขาเป็นอะไรเด็ดขาด”
“มึงเป็นใคร แล้วมารับสายแทนน้องกูได้ไง…กูขอสายน้องกู!” น้ำเสียงตกใจพลันจะคุยกับไอ้นาวีให้ได้ลูกเดียว
“พี่มึงจะคุยด้วย…” ผมยื่นโทรศัพท์ในไอ้นาวีที่หน้ามึนสะลึมสะลือ
.
.
#นาวี
“ว่าไงพี่ ผมดีขึ้นแล้ว…”
“แล้วผู้ชายที่ไหนมารับสายแทนมึง” น้ำเสียงตะคอกดุไม่พอใจผม
“เขาชื่อ คิมหันต์ เป็นเพื่อนข้างบ้านที่อ่างทอง ไม่ต้องกังวลไป เขาเป็นคนดี ผมมึนหัวขอไปนอนพักก่อนนะพี่ แค่นี้แหละ…” ขณะที่ผมว่างสายคิมหันต์พูดแทรกถาม “ยังมึนหัวอยู่หรอ?” …และอีกหลายคำถามที่ไม่เว้นช่องว่างให้ผมได้ตอบเขา
“อาการเป็นยังไงตอนนี้?”
“คลืนไส้”
“ปวดหัว”
“เวียนหัว”
“หิวไหมหรือ…”
“ใจเย็นๆนะ…ตอบไม่ทัน ขนาดพี่กูเรียนหมอยังไม่ถามขนาดนี้เลย! ตอนนี้แค่อยากไปนอน หมดคำถามแล้วนะ?”
“ก็กูเป็นห่ว…ง” เขาดุผมขึ้น แต่ก็หยุดชะงัก ก่อนจะเปลี่ยนคำตอบ “ก็ถ้ามึงเป็นอะไรขึ้นมา และนักข่าวมาเห็นหรือมีคนเอาไปพูดไม่ดีโรงแรมเพื่อนกูก็เสียชื่อเสียงกันพอดี!”
“อ่า! ยังไงก็ขอบใจนะที่เข้ามาช่วย ขอตัวนะมึง” ผมที่ฝืนร่างกายจะลุกเข้าไปในโรงแรม แต่ก็ต้องเสียหลักเมื่อจู่ๆหน้าก็มืด
“ไม่ไหวแน่ ถ้ามึงไปคนเดียวด้วยสภาพนี้…” สิ้นเสียงแข็งๆของคิมหันต์ ภาพเบื้องหน้าของผมก็ตัด
.
.
#นาวา
“อยู่ๆก็ตัดสายใส่ ไอ้น้องบ้า! เพื่อนบ้านหรอ ใครว่ะ เรามีเพื่อนบ้านชื่อนี้ด้วย?” หลังจากว่างสายผมก็ยืนนึกอยู่เป็นวังเป็นเวร
“ไปนั่งเรือกัน!” น้ำเสียงออกคำสั่งมากกว่าคำถามที่ต้องการคำตอบดังขึ้นจากด้านหลังผม พลันมือหน้าใหญ่เข้ามาจับที่แขนของผมอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ไม่ไป” ผมหันไปตอบไอ้ธาราที่แก้มแดงก่ำจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่กินเข้าไป
“จะเดินไปเองหรือให้กูอุ้ม” มันกดน้ำเสียงสั่งย้ำผมอีกครั้ง
“ห๊ะ…มึงจะบ้าหรอ กูไม่ตลกด้วยนะ?” ผมสบถใส่มันกับคำพูดบ้าๆของมัน
“พูดมากว่ะ จะเอาแบบนี้ใช่ไหม ได้…” ไอ้ธาราที่ท่าทีหงุดหงิดอารมณ์ร้อน จับผมที่ร่างเล็กกว่าอุ้มขึ้นบ่ามัน
“เห้ย! ปล่อย ปล่อยกู” ผมที่ตกก็พยายามดิ้นตัวและส่งเสียงร้อง แต่มันเหมือนยิ่งสะใจ มันกอดรัดผมแน่นขึ้น
“พี่เอกไปเตรียมเรือ!”
“แต่คุณท่านบอกว่าให้อยู่แต่ภายในงานนะครับคุณหนู”
“อย่าขัดใจผมพี่เอก ผมบอกให้ไปเตรียมเรือ”
“ครับ…” พี่เอกถึงจะชอบห้ามผมในทุกเรื่องที่เห็นว่าไม่เพราะสม แต่ถ้าคนอย่างผมต้องการ พี่เขาก็ยอมทำตามผมเสมอ
“ปาร์ตี้กันไปก่อนนะพวกมึง กูขอพาไอ้หน้าจืดนี่ไปสอนสั่งสักหน่อย” มันตะโกนขึ้นกลางห้องโถงกว้าง
“ยังไงก็เบาๆมือนะมึง หิ้วๆๆๆ” แขกเหรื่อในงานไม่มีการห้ามปราม แต่กลับยุยงและพากันส่งเสียงร้องดีใจกับการกระทำของไอ้ธารา
…มันอุ้มผมลงมาจากลิฟท์โดยไม่แคร์ต่อสายตาผู้คนที่เข้ามาใช้บริการภายในโรงแรม จนมันปล่อยตัวผมลงที่เรือยอร์ชขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่แต่หรูหรา
“มึงพากูมาทำไม?” เมื่อเรือที่ขับโดยพี่เอกเริ่มเคลื่อนที ผมก็ได้ถามมันด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ต้องเอามือกุมขมับเมื่อได้ยินคำตอบของมัน
“ไม่รู้”
“โว้ยยยยยยย ไม่ กูไม่อยากต่อยมึงตอนนี้! ขอตัว…” ผมเดินหนีมันมายืนสงบสติด้านหัวเรือ
“เป็นไรว่ะ สะดีดสะดิ้ง มึงแม่งทำตัวเหมือนผู้หญิงเลย”
“มึงว่าไงนะ!!” ผมหันไปถามย้ำ อย่างโกรธๆ
“ฮ่าๆ แกล้งมึงก็สนุกดีว่ะ…กูเบื่อ มึงไม่คิดว่าคนในงานแม่งน่าเบื่อหรอ มีแค่พวกเห็นแก่เงินและบารมีพ่อกูทั้งนั้นแหละ” มันขำ พลางเดินถือแก้วแชมเปญมายืนจิบที่ราวกั้นกันตกหัวเรือ
“กูนึกว่ามึงจะถูกใจเสียอีก”
“…” มันไม่พูดตอบโต้ผม แต่เลือกที่จะเปลี่ยนประโยคสนทนา
“กูแอบได้ยินพ่อกูกับพ่อมึงเขาคุยโทรศัพท์กัน เหมือนเขาจะอยากให้กูอยู่ใกล้ๆมึงมั้ง…”
…เมื่อเรือดับเครื่องลง ผมมองไปบริเวณรอบก็เห็นไรตึกโรงแรมตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่รำไร ก่อนที่แรงลมจากคลื่นทะเลที่ซัดเข้ามา จะทำกระดุมที่ติดอยู่เสื้อเชิ้ตสีขาวบางๆของมันค่อยๆเผย่อออก ทำให้ผมเห็นรอยสักสีดำเข้มบนเนื้อขาวๆของมัน…
“ไม่เข้าใจ” ผมถาม
“กูได้ยินมาแค่นี้ มึงก็ลองไปถามพ่อมึงสิ!” ป๊าคิดจะทำอะไรของเขา มิหน่าถึงได้อยากให้เรามานักไอ้งานเลี้ยงฉลองนี่
“แต่มึงคงต้องเสียใจ เพราะกูไม่ว่างดูแลเด็กน้อยอย่างมึงหรอก?” มันได้ยินผมตอบอย่างนั้นก็ยิ้มมุมราวกับว่ารู้อะไร
“แล้วกูจะรอคำตอบ…” มันยิ้มๆก่อนจะกระดกแชมเปญที่เหลืออยู่ค้อนแก้วจนหมด
.
.
#ธารา
…ผมกำลังยืนอิ่มอกอิ่มใจกับบรรยากาศที่มีเสียงลม ท้องฟ้าปลอดโปร่งสดใส บนเรือไม่มีผู้คนพรุกพร่านให้อึดอัดใจ แต่แน่นอนว่าที่นี่คือกลางทะเล เมื่อทะเลยังมีคลื่นลม ความสงบที่ผมต้องการมันก็คงยังไม่ปรากฏขึ้น…
“มึงนิ่งไว้นะ อย่าขยับ” ขณะที่ผมขยับตัวเดินลงไปเก็บแก้วแชมเปญที่ดื่มหมด น้ำเสียงทุ้มแน่น ตรึงเครียดพูดทักผมขึ้น จนผมต้องหันไปดูว่ามีอะไร
“กูบอกว่าอย่าขยับ! มึงอยากตายหรือไง?” น้ำเสียงดุย้ำดังขึ้นเสียงดังกว่าเดิม
สายตาที่มองผมด้วยความเป็นกังวล ทำผมยิ่งงงเข้าไปใหญ่ ไอ้นาวาต้องการสื่อถึงอะไร ก่อนที่สายตาเขาจะค่อยๆเคลื่อนมองลงไปที่กลางหน้าอกด้านซ้ายของผม ผมค่อยๆมองตามมันก็เห็นแสงเลเซอร์สีแดงจางๆถูกมาร์คตำแหน่งอยู่ที่กลางหัวใจผมพอดีเป๊ะ
#นาวา
“มึงคิดมากไป เราอยู่กลางทะเล ตอนนี้มันคงแค่วัดระยะความไกลจากตึกสูงที่ไหนสักแห่งบนฝั่ง ทำไรคนอย่างกูไม่ได้หรอก?” มันตอบด้วยท่าทางที่สบายใจ แต่ผมก็รู้ว่าลึกๆมันก็กลัวและตกใจอยู่ไม่น้อย
“แล้วยังไง ถ้ามันรู้ระยะแล้ว มันก็สามารถยิงมึงได้ปะ ใครมันจะไปรู้?”
“เอางี้ เพื่อความสบายใจของมึง กูจะตะโกนบอกพี่เอกให้ออกเรือ ถ้าเรือเคลื่อนที่ มึงรีบวิ่งลงไปหลบด้านล่างเลยนะ เข้าใจไหม?”
“เอออ แล้วมึงล่ะ ถ้ามึงเป็นไรไปกูชดใช้ให้พ่อมึงไม่ไหวนะ…”
“เอาตามนี้…” ความไม่ฟังใครและเอาแต่ใจตัวเองของมัน ทำผมยิ่งเป็นห่วง
“พี่เอกออกเรือ!!…” เมื่อเสียงแข็งๆของมันพูดขึ้น ร่างกายก็ขยับตัวขณะตะโกนบอก แสงเลเซอร์ก็ได้หายไปจากหน้าอกของมันเช่นกัน เรืออกตัวตามคำสั่งของมัน พร้อมกับเสียงและความรู้สึกของผม ที่รู้ว่าเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังพุ่งแทรกผ่านชั้นบรรยากาศมา
…สมองผมก็ไม่รู้ว่าตอนนั้นคิดอะไรอยู่ มันถูกสั่งไม่ให้ผมทำตามคำพูดของไอ้ตี๋น้อยคนนี้ ที่ยอมให้คนอย่างผมหนีไป ผมเข้าไปก่อนรัดร่างหนาๆของมันเพื่อบังสิ่งที่คิดหัวว่ามันคือ ‘ลูกกระสุน’ ที่ถูกส่งมาจากใครบางคนที่ไม่หวังดีต่อตัวไอ้หมอนี่…
‘ปึก…อ๊า…’ กระสุนปืนที่พุ่งตัวมาด้วยความเร็วม่านอากาศและแรงลมจากคลื่นทะเลแหวกมาปักที่หลังด้านขวา พลันเสียงแก้วแชมเปญที่ธาราดื่มก็หลุดมือด้วยความตกใจกับการกระทำของผม ‘เพล้ง…’
“กูเคยนึกสงสัย ตอนดูหนังต่อสู้ยิงปืนกราดบ้าระห่ำว่า...เวลาพระเอก-นางเอกเขาโดนยิงระดับความเจ็บมันขนาดไหน?”
“เห้ยยยยย มึงพูดบ้าอะไร ทำไมทำแบบนี้ กูบอกให้หลบไปไม่ใช่มารับกระสุนปืนแทนกู…” ผมยิ้มให้กับน้ำเสียงดุไม่พอใจขอมัน
ก่อนที่หัวเข่าผมจะล้าจนยืนไม่ไหว ทรุดตัวลงไปกับพื้น ไอ้ธารามันก็เข้ามาประคองตัวผมไว้ พื้นเรือสุดหรูกำลังเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงสดของผมที่พรั่งพรูออกมาจากบาดแผล ผมเจ็บ เจ็บจนตัวชาซาบซ่านไปทั้งร่าง เจ็บกว่าการทำทดลองแล้วน้ำยาในบีกเกอร์หกใส่มือเป็นแผล ความเจ็บปวดมันทวีคูณหลายสิบหลายร้อยเท่า เจ็บอย่างที่บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้
…ธาราพยายามใช้มืออุดห้ามเลือดไว้ ขณะที่เรือกำลังแล่นเข้าฝั่งด้วยความเร็ว
สายน้ำจากท้องทะเลก็พัดกระเซ็นละอองน้ำ พร้อมกับสายลมที่ต่างพัดเข้ามากระทบกับร่างกายผม เหมือนพวกมันกำลังปลอบผมยังไงยังงั้น
เมื่อผมเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีสันสดใส หมู่ก้อนเมฆน้อยใหญ่ ก็เหมือนจะช่วยบรรเท่าให้ความเจ็บปวดเบาบางลง ก่อนที่ผมจะฝืนลืมตามองพวกมันไว้ไม่ไหว...
“อย่าหลับนะมึง ใกล้ถึงฝั่งแล้วมึงอดทนไว้ก่อนนะไอ้นาวา มึงจะต้องปลอดภัย” หยดน้ำตา เสียงสั่นสะอื้นพยายามยื้อรั้งไม่ให้แยกจากกันไปไหน ภาพตรงหน้าผมมันก็เหมือนหนังที่ถูกฉายซ้ำ ‘เมื่อ 6 ปีก่อนผมก็ร้องไห้ ร้องขอ ห้ามไม่ให้พ่อแม่จากผมกับน้องไป แต่แล้วก็ไม่อาจฝืนโชคชะตาฟ้าลิขิตได้’
วันนี้ก็ไม่ต่างจากวันนั้นเลย…คนที่ผมไม่ชอบ และพึ่งได้รู้จักความเป็นตัวเขาภายในระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมง เราทั้งคู่ไม่เคยพูดคุยกัน ธาราเขาก็ไม่รู้จักผม
แต่ตอนนี้เขาร้องไห้เสียใจและไม่อยากให้ผมจากเขาไป ทำไมล่ะ ทำไมเขาต้องร้องไห้และส่งสายคร่ำครวญร้องขอ…
“มึงร้องไห้ทำไม?” ผมถาม แลผมอาจจะไม่ได้อยู่ฟังคำตอบ แต่ผมไม่เสียใจเลยที่ตัดสินใจบังกระสุนปืนให้ไอ้ธารา
“มึงงงงงงงงง ไอ้นาวา ตื่นสิ! พี่เอกผมขอไวกว่านี้…” ผมได้เสียงร้องไห้ขี้แยเป็นเด็กๆของมัน ก่อนทุกอย่างจะมืดหายไป
.
.
#นาวี
“กูมานอนอยู่ที่นี่ได้ไง?” ชายร่างสูงใหญ่เค้าโครงหน้าแลดูมีอายุ ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำหมาดๆค่อยเช็ดตามเนื้อตัวผม
“กูก็แค่อุ้มมึงขึ้นมา…ถามได้” คำตอบนั้นทำผมเขิน…เมื่อผมคิดภาพตาม
“เป็นไรว่ะมึง ทำไมหน้าแดงๆ ไข้ขึ้นหรอ?”
“เปล่า…จะทำไรอะ?” คิมหันต์ใช้ฝ่ามือใหญ่ๆของมันวางทาบลงที่กลางหน้าผากผม
“ก็วัดไข้มึงไง…ตัวก็ไม่ร้อน แต่หน้ามึงแดงก็กินยาดักไว้ก่อนก็แล้วกัน”
“แล้วนี่ห้องใคร? อย่าบอกนะว่าห้องมึง” ผมที่ตั้งสติได้อีกนิดก็ถามมันไป
“เออออออ ตกใจไรเยอะแยะ” แต่ก็ต้องสตั้นไปอีกครั้งเมื่อมันตอบว่าห้องมัน งั้นที่ผมตอนอยู่ก็เตียงมันนะสิ พลันสมองผมมันก็คิดไปถึงไหนๆ ก่อนที่ความคิดบ้าๆในสมองมันจะหลุดออกมาเป็นคำพูด “มึงได้ทำอะไรกูเปล่าเนี่ย?” ผมที่ดึงผ้าห่มผืนหนาๆมากอดรัดที่อก
“ทำ!…ทำก็เชี้ยและมึงป่วยอยู่นะ” ผมเกือบตกใจอีกครั้งกับมุขล้อเล่นและใบหน้าที่จริงจังของมัน
“มึงมันโรคจิต กูก็ต้องถามก่อนเพื่อความแน่ใจ” ผมถอนหายใจออกมาได้อย่าสบายอกพลางสบถใส่มันไป
“เห่อออ ขื่นกูทำอะไรมึงขึ้นมาจริงๆ มึงไม่มีแรงมานั่งต่อปากต่อคำกับกูอย่างนี้หรอกไอ้นาวี” คิมหันต์ถอนหายใจกลับ พลันมันจะย่องเอาหน้าหล่อๆของมันเข้ามาใกล้ผม และพูดขู่ผมขึ้น
“ดีและที่ไม่ทำ เพราะถ้ามึงทำอะไรกูขึ้นมาจริงๆ มึงก็คงไม่มีแรงมานั่งต่อปากต่อคำกับกูอย่างนี้หรอกไอ้คิมหันต์”
“ทำไม? มึงจะทำไร ตัวเล็กๆอย่างมึงจะมาทำอะไรกูได้…” มันถาม
“เออ ไอ้ตัวใหญ่ ไอ้สูง ถึงกูจะทำอะไรมึงไม่ได้ แต่กูให้ลูกน้องป๊ากูทำได้!”
“โอ๊ยยยยย คิมหันต์กลัวจังเลยครับ” ผมเป๊ะปากใส่มันกับท่าล้อเลียนแบ๊วๆแซวผม
“…ว่าแต่มึงเถอะอาการเป็นไง ยังผะอืดผะอมอยู่ไหม?”
“ไม่แล้ว โอเคขึ้นเยอะแล้ว ขอบใจนะมึง ถ้าไม่ได้ถึงกูคงแย่” ผมแหวกผ้าห่มผืนหนาๆออกจากตัว ก่อนจะลุกไปข้างนอก
“แล้วจะลุกไปไหน?” น้ำเสียงทุ้มๆถามผม
“ไปหาป๊า หายมานานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ เขาคงเป็นห่วง ไหนจะพี่นาวาอีก”
“ได้ๆ งั้นเดี๋ยวกูเดินไปส่ง” คิมหันต์เข้ามาเอามือประคองเอวผมไว้
“เดินเองได้หน่า…”
“ปากกับร่างกายมึงโคตรจะไม่ตรงกันอะ”
.
.
#ธารา
“SOS ขอทีมเพิ่ม 2-3 คนมาที่เรือยอร์ชด้านหน้าหาดด่วน!” พี่เอกใช้วอร์ขอกำลังเสริมจากบอร์ดี้การ์ดส่วนตัวที่ป๊าจ้างมา ขณะที่จอดเรือเทียบท่า ผมช้อนอุ้มร่างนาวาที่นอนแน่นิ่งไม่ได้สติขึ้น พลันเสื้อผ้าเปียกชุ่มไปด้วยกองเลือดจากบาดแผล ก่อนที่รถฉุกเฉินและพี่ๆบอร์ดี้การ์ดมาคุ้มกัน
เสียงไซเรนรถพยายาบาลดังลั่นไปทั่วลานกลับรถหน้าโรงแรม พลางรถที่เข้ามาใช้บริการในช่วงวันหยุดจะค่อยๆแหวกทางให้ รถรีบขับไปส่งคนเจ็บที่อาการสาหัสอย่างรวดเร็ว ผมได้แต่ใช้มือที่เปื้อนไปด้วยคาบเลือดจับมือไอ้นาวาไว้ด้วยความแน่น แลหวังลึกๆให้มันปลอดภัยดี ในขระที่รถเหล่าบรรดาธีมพี่ๆพยาบาลและคุณหมอที่ขึ้นรถมาด้วยทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก่อนที่รถฉุกเฉินจะทำการเลี้ยวเข้าโรงพยาบาลไป เมื่อประตูเปิดออกเหล่าชาย หญิงในคาบชุดกาวน์ก็วิ่งกรูกันเข้ามานำตัวไอ้นาวาที่นอนนิ่งเข้าไปยังห้องผ่าตัด ผมได้แต่วิ่งตามไป…
“ญาติคนไข้รอด้านนอกนะคะ” ผมทรุดลงมานั่งที่เก้ากี้หน้าห้อง เพื่อรอฟังผลการรักษา…อารมณ์ความรู้สึกของผมตอนนี้มันเหมือนกับคลื่นทะเลที่พัดนิ่งๆ และคลื่นพายุที่สูงหลายเมตร ตอนนี้ผมกังวลและกลัว กลัวว่ามันจะตาย ผมไม่น่าชะล่าใจ ดื้อกับคำสั่งป๊าที่ห้ามออกไปไหนตามรำพังเลย
“มึงต้องตื่นนะ…ตื่นมาฟังคำขอโทษจากกูไอ้นาวา”
.
.
…………
ปล.ยังไม่ได้ตรวจคำผิด ต้องขอโทษนักอ่านทุกท่าน สัปดาห์นี้เราแต่งได้เพียงตอนเดียวเท่านั้น และเราจะรีบมาลงตอนใหม่ให้เร็วที่สุดน้า 🙇♂️
1 ตอน 1 คอมเมนต์ 1 ล้านกำลังใจ