ฮุ่ยเหรินยืนนิ่งอยู่ข้าง ๆ โต๊ะของท่านเลลุซ่าไม่ไหวติง รอท่านเลลุซ่าทำงานอยู่หลังโต๊ะทำงานตั้งแต่เช้าจนคล้อยบ่ายจนสุดท้ายอีกฝ่ายก็ถึงเวลาวางปากกาลงพร้อมกับถอนหายใจ
ฮุ่ยเหรินลอบมองอยู่เล็กน้อยก่อนจะตั้งหน้าตั้งตายืนต่อ จนเป็นอีกฝ่ายที่มองดูเสียเองแล้วถามขึ้น “เจ้า..ไม่เหนื่อยเหรอ? ฮุ่ยเหริน”
“ไม่ค่ะท่าน” หญิงสาวยังคงยืนยัน แต่ทว่าเลลุซ่ายังคงจับจ้องเธอไม่ว่าตา ก่อนจะกดปุ่มเพื่อสั่งบุคคลภายนอกกับไมโครโฟนที่ฝังอยู่ริมโต๊ะ
“นำอาหารสำหรับสองที่เข้ามา น้ำเลมอนเย็น ๆ ด้วย” เพียงเวลาไม่นานประตูก็เปิดออกพร้อมกับรถเข็นอาหาร เลลุซ่าว่าสั่งให้รับใช้ออกไปแล้วปิดประตู เลลุซ่าเปิดที่ครอบขึ้นกลุ่มควันลอยออกมาเป็นอย่างแรก ก่อนจะเผยเนื้ออบซอสอย่างดีอยู่ในนั้นพร้อมกลิ่นหอมเตะจมูก
“ทานข้าวเถอะฮุ่ยเหริน ถ้าเอาไปทางตรงโต๊ะตรงนั้นมันจะอยู่ใต้กล้องวงจรปิดพอดี”
“ไม่เป็นไรค่ะท่านเลลุซ่า” นายเหนือหัวจึงหยิบจานเนื้อและเทน้ำเลมอนลงแก้ว พร้อมกับถือชุดมีดส้อมรวมถึงผ้ากันเปื้อนไปวางตรงนั้นให้
“ทานเถอะนะ กินคนเดียวไม่อร่อยหรอกจะถือว่าเป็นคำสั่งของข้าก็ได้”
ฮุ่ยเหรินอึ้งก่อนจะขานรับ “ได้ค่ะ” แล้วเดินไปทางอาหารแล้วนั่งลง ผูกผ้ากันเปื้อนแล้วหยิบชุดและเริ่มทานเนื้อ
“แม่...เป็นคนใจดีขนาดนี้เลยเหรอ?” รีลที่กำลังตะลึงกับด้านที่แปลกใหม่ของแม่เอ่ยถามออกไป
“ท่านเลลุซ่าเป็นคนใจดีมากค่ะ” เอเธอน่าพูดพลางมองตัวเองในอดีตชาติทานอาหารบนโต๊ะเล็ก ๆ ใต้กล้องวงจรปิด “ในตอนนั้นเป็นเพราะท่านองครักษ์เซเลสเต้องค์เก่าที่อยู่กันมาตั้งแต่สมัยสงครามกับเซราฟิมจะเกษียณไป ท่านเซเลสเต้จึงได้เลือกตัวของดิฉันที่เป็นนักเรียนดีเด่นของโรงเรียนทหารรวมถึงได้คะแนนสูงสุดมาฝึกก่อนมาฝึกเป็นเวลาสามปีก่อนจะมารับใช้ท่านเลลุซ่า ตัวฉันในตอนนี้พึ่งจะมาประจำการเต็มเวลาได้แค่หนึ่งสัปดาห์เท่านั้น”
“สำหรับผม แม่ใจดีกับผมนับครั้งได้เลยครับ” รีลพูด เขายิ้มแต่เป็นรอยยิ้มที่เศร้าและโหยหา ครั้งสุดท้ายที่แม่ห่วงใยเขาเมื่อไรกันนะ ความทรงจำมันเลือนลางเหลือเกิน “ผมจำมันไม่ได้แล้วครับว่าผมได้รับสิ่งเหล่านั้นครั้งสุดท้ายตอนไหน”
เอเธอน่ามองเขานิ่ง ๆ ก่อนจะจับมือของเขาเอาไว้นิ่ง ๆ แล้วส่งรอยยิ้มสดใสให้ “ฉันจะอยู่ตรงนี้แล้วฉันจะใจดีกับคุณให้มาก ๆ เองค่ะ”
รีลนิ่งก่อนจะมองไปภาพตรงหน้าแล้วยิ้มเขินออกมา
“ฮุ่ยเหริน เจ้ามาประจำการได้หนึ่งสัปดาห์แล้วสินะพอเริ่มชินกับการประจำการเต็มเวลาหรือยังล่ะ?”
“เริ่มชินบ้างแล้วค่ะท่านเลลุซ่า” ฮุ่ยเหรินมองใบหน้าอันสวยงามของอีกฝ่าย
“มีอะไรงั้นรึ?”
“ข้าสงสัยมากเลยค่ะ ทำไมทั้งท่านเลลุซ่าและท่านองค์รักษ์ถึงดูไม่เปลี่ยนไปเลยคะทั้ง ๆ ที่อายุของพวกท่านก็มากกว่าสองร้อยเกือบสามร้อยปีแล้ว”
“อ้อ” เลลุซ่าหัวเราะ “เซเลสเต้ไม่ได้บอกเจ้าเหรอ? ว่าถ้าบ่มเพาะพลังให้ถึงจุดจุดหนึ่งจะสามารถรักษาความเยาว์วัยไว้ได้ รวมถึงสุขภาพที่แข็งแรงและอายุที่ยืนนานน่ะ”
“เหมือนเคยได้ยินจากท่านเซเลสเต้มาบ้างค่ะ แต่ก็รู้สึก...”
“น่าเหลือเชื่ออยู่ดี...” เลลุซ่าต่อให้จนจบ “ใช่ไหม?”
“ค่ะ”
“พอทานเสร็จแล้วเดี๋ยวข้าจะมอบหน้าที่ของเซเลสเต้ให้เจ้าอีกอย่างหนึ่งนะ เท่าที่สัมผัสดูตลอดช่วงหลายวันมานี่พลังของเจ้าเทียบเท่ากับเซเลสเต้ ไม่งั้นเจ้าคงไม่สามารถโคจรพลังของตัวเองเพื่อใช้สัมผัสทิพย์คอยสอดส่องรอบข้างและปิดบังตัวตนของข้าได้นานตลอดหลายวันมานี่หรอก งานทั้งกองเลยเสร็จเร็วแบบนี้ยังไงล่ะ” มือบางทั้งสองตบกองเอกสารกองยักษ์ข้าง ๆ ตัวเอง
“ข้าคิดว่าสามีของท่านคงต้องเหนื่อยรับหน้ากับแขกผู้เกียรติทั้งหลายแทนท่านนะคะ”
“ก็ช่างปะไร อยากเอางานกองพะเนินของตัวเองมาให้ข้าทำทำไมก็ต้องรับแขกให้จนกว่างานจะเสร็จสิถูกแล้ว แค่ตอนปกติเวลาก็แทบไม่มีหายใจอยู่แล้วเดี๋ยวคนโน้นก็เรื่องนั้นเดี๋ยวคนนั้นก็เรื่องนี้ ข้าน่ะไม่ค่อยว่างหรอกนะ”
ฮุ่ยเหรินได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ กับท่าทีเหล่านั้น
หลังจากทานอาหารเสร็จเลลุซ่าจึงเปิดประตูห้องลับที่ซ่อนอยู่หลังชั้นหนังสือ พวกมันถูกแยกออกจากกันโดยใช้พลังของเลลุซ่าในการเปิด
“ข้าจะทำให้ชั้นหนังสือตอบรับกับเจ้าด้วย ส่งพลังของเจ้ามาสิ” ฮุ่ยเหรินสร้างพลังลูกเล็ก ๆ บนฝ่ามือ แล้วเลลุซ่าก็หยิบมันมา เปลี่ยนพลังให้เป็นละอองแล้วพวกมันก็ลอยตรงเข้าไปในชั้นหนังสือ “เท่านี้เจ้าก็จะสามารถเปิดที่นี่ได้อย่างอิสระแล้ว ที่นี่นอกจากข้า เซเลสเต้และเจ้าจะไม่มีใครสามารถเข้าไปข้างในได้อย่างเด็ดขาด”
พวกเขาทั้งคู่ก้าวเข้าไปข้างใน ห้องเล็ก ๆ ที่ถูกตกแต่งด้วยม่านสีม่วงและมีแสงจากตะเกียงเย็นส่องสว่างให้ตลอดเวลา มันเกือบจะเรียกว่าว่างเปล่าแต่ข้างในสุดกลับมีบางสิ่งตั้งอยู่เป็นแท่นโลหะและมีบางอย่างวางอยู่ด้านบน
“นี่คือสิ่งที่เจ้าจะต้องดูแลต่อจากเซเลสเต้”
ปืนสีดำที่มีหลอดแก้วติดอยู่ตรงกลางลำ ภายในหลอดแก้วนั้นมีแสงสีขาวอมฟ้าแต่ที่แปลกคือมันมีพลังงานสีดำสนิทแหวกว่ายอยู่ภายในนั้นด้วย
“ปืนเหรอคะ?”
“นี่คือสมบัติสุดท้ายจากโครน่าของเซราฟิมที่ชั่วช้าที่สุด ‘อิควินอกซ์’ ” เลลุซ่าอธิบาย “ตอนเขาตายเขาเอามันมาจ่อที่หัวตัวเองและพยายามลั่นไก ในตอนนั้นข้าเป็นคนสังหารเขาด้วยกระสุนที่อัดด้วยโซลได้ทันก่อนทุกอย่างจะสายไป ไม่อย่างงั้นสงครามอาจจะทวีความรุนแรงมากกว่านี้
ข้าเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่เท่าที่ได้คำตอบ มันดูคล้ายกับโซลในเรื่องขององค์ประกอบหลาย ๆ อย่างแต่นี่เป็นแค่ข้อสันนิษฐานของข้าเท่านั้น แต่เอาเข้าจริงนี่เป็นสิ่งข้ายังไม่พบคำตอบที่ชัดเจนแม้แต่ครั้งเดียวในสองร้อยปีนี้
เพื่อความปลอดภัยและไม่อยากให้มันถูกใช้ในทางที่ผิดข้าจึงเก็บมันเอาไว้และทำให้มันเป็นความลับอย่างน้อยเก็บไว้กับตัวเองก็ยังพอเชื่อใจตัวเองได้ แต่ว่าข้าก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับข้ารวมถึงกับเจ้าสิ่งนี้ในอนาคต
หลังจากที่สงครามกับเซราฟิมจบลง ท่านเอเธอน่าก็อุทิศชีวิตให้กับการสร้างทอรัสจนสิ้นชีพไป ข้าเลยไม่มีคนที่เกี่ยวข้องที่ไว้ใจได้ปรึกษาอีกต่อไป แต่...ข้าไว้ใจเจ้าได้ใช่ไหม ฮุ่ยเหริน”
หญิงสาวนิ่งอึ้งไปก่อนจะตอบรับอย่างหนักแน่นกว่าทุกครั้งในชีวิต
“แน่นอนค่ะ ท่านเลลุซ่า”
“ท่านรีลรู้ไหมคะ? ถ้าเลือกทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ ข้าจะให้ท่านเลลุซ่าเก็บเรื่องปืนนั้นไว้เป็นความลับ ทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ท่านไว้ใจข้าค่ะ” เอเธอน่าว่าด้วยรอยยิ้มอันแสนเศร้า
รีลลอบมองดูเธอ เขาทำได้แค่ทำให้มือของเขากระชับกับมือของอีกฝ่ายแน่นอีกนิดพร้อมกับมองดูเรื่องราวอันแสนเศร้าเหล่านี้ต่อไปเป็นเพื่อนเธอเท่านั้น