บทที่ 9 วิวาห์ล่ม
“ขอโทษ…”
โน้ตสั้นๆ ที่เขาบรรจงเขียนด้วยลายมือถูกวางลงบนชุดเจ้าบ่าวบนเตียง ดวงตาคมกล้าหม่นแสงลงยามทอดมองไปรอบกายอีกครั้ง
การตัดสินใจพลิกฝ่ามือตนเองในครั้งนี้ ไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะจบลงเช่นไร
ความสัมพันธ์ระหว่างวรโชติพงศ์ และเลิศวรานนท์อาจขาดสะบั้น ทว่า… ช่วงเวลาทั้งชีวิตของเขาที่ต้องพบเจอต่อไปในวันข้างหน้าไม่อาจแลกมากับสิ่งของ
“มาวิน” เสียงของคริสดังขึ้นข้างหู ร่างสูงใหญ่เดินมาหยุดยืนข้างกายเพื่อน ตบไหล่หนาเบาๆ แล้วพยักพเยิดไปที่ประตู “ไปเถอะ”
มาวินถอนหายใจเบาๆ หมุนกายเดินตรงไปยังประตู แล้วเปิดออก ยกขาขึ้นก้าวออกสู่นอกห้องโดยไม่หันกลับมาอีกเลย
คริสเร่งร้อนตามไป ทั้งคู่เดินลัดเลาะออกไปยังประตูหลังบ้าน ฝ่าความมืดมิดของท้องฟ้ายามราตรีมุ่งสูงรถที่จอดหลบไว้ไม่ไกลออกไปนัก
มาวินไม่ชะลอฝีเท้า กายสูงยาวสะท้านไหวจนไหล่สั่น หากก็ยังมุ่งหน้าสู่เส้นทางที่ตนเลือก!
คริสมองเพื่อนของตนแล้วลอบถอนหายใจจากเบื้องหลัง จากที่รับรู้มา นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มาวินคัดค้านมารดา เมื่อเดินออกมาใกล้ถึงประตูหลังบ้านก็พบบ้านอีกกะทัดรัดอีกหลังตั้งอยู่
มาวินขมวดคิ้ว หยุดฝีเท้าแล้วมองเข้าไปในตัวบ้าน เห็นแสงไหจากห้องห้องหนึ่งเปิดอยู่ ร่างเล็กแปลกตาเดินออกมายังประตูหน้าบ้าน ด้วยยืนเยื้องมาเล็กน้อย เขาจึงไม่ทันมองเห็นใบหน้าของคนตัวเล็ก เห็นเพียงร่างนั้นก้มๆ เงยๆ กับกระถางดอกไม้ ก่อนจะอุ้มแมวสีขาวตัวกลมขึ้นแล้วเดินกลับเข้าบ้านไป
ชายหนุ่มหันขวับกลับมา เอ่ยถามเสียงเหยียบเย็นทันที “ไหนบอกวางยาทุกคนแล้วไง”
“เอ่อ” คริสเกาหัว มึนงงเหมือนกันที่พบว่ามีบ้านอีกหลังอยู่ตรงนี้ แถมคนตัวเล็กเจ้าของสถานที่ยังเดินไปเดินมารอบบ้านอีกด้วย “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
มาวินสูดลมหายใจเข้าลึก เอ่ยเสียงห้วนออกคำสั่งอย่างว่องไว “ออกประตูหลังไม่ได้แล้วต้องปีนกำแพง”
เขาพ่นลมหายใจด้วยความหงุดหงิด หันกลับมาจ้องบ้านหลังน้อยหลังบ้านตนแล้วขบเขี้ยวเคี้ยวเจ้าของบ้านอยู่ในใจ พ่นลมหายใจอีกครั้ง หมุนตัวกลับไปยังเส้นทางเดิมด้วยอารมณ์คุกรุ่น ถ้าไม่ใช่เพราะยังมีคนตื่น เขาก็คงไม่ต้องลำบากลำบนปีนรั้วบ้านตัวเองแบบนี้!
คริสมองออกว่าเพื่อนหัวเสียหนักขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพบต้นไม้พอเหมาะที่สามารถปีนถึงกำแพงบ้านได้ก็เสนอ
“งั้นฉันไปก่อนนะ จะได้รอรับนาย”
มาวินหันขวับกลับมา ดวงตาวาววับตวัดมองแล้วเบี่ยงกายหลบ
“เชิญ!” เสียงห้วนสั้นบอกอารมณ์ส่งผลให้คริสต้องหัวเราะแห้งๆ แล้วกระโดดขึ้นต้นไม้ ปีนป่ายไม่นานก็ถึงกำแพงบ้าน ก่อนจะกระโดดลงสู่อีกฝั่งก็ไม่ลืมหันมาร้องบอกเพื่อนอย่างใจดี
“นายมาได้เลย ฉันจะลงไปก่อนละนะ”
มาวินไม่ได้ยินด้วยซ้ำ เมื่อสายตาคมกล้าสะดุดกับแสงไฟสว่างไสวจากบ้านหลังน้อยหลังนั้น ร่างผอมบางกำลังก้มๆ เงยๆ ทำบางอย่าง ทว่านั่นยังไม่น่าแปลกใจ ชายหนุ่มมุ่นคิ้ว เขม็งมองอย่างตั้งใจ กระทั่งพบว่าพลาด!
คนตัวเล็กในบ้านกำลังถลกเสื้อยืดตัวนอกออกจากลำตัว แม้จะเห็นเพียงเงา แต่ภาพวาบหวามเช่นนี้ ไม่ต้องจินตนาการลำบากเลย ก็เขาเห็นเธอสวมเสื้อผ้าครบครันเมื่อตอนเจอกันเมื่อครู่
มาบัดนี้เสื้อผ้าบนกายที่เขาเห็นเพียงวูบไปวาบมากำลัง…
“มาวิน!”
ร่างสูงสะดุ้งโหยง ละสายตาจากภาพตรงหน้า และจินตนาการของตนเอง ก่อนกระแอมเบาๆ แล้วกระโดดขึ้นต้นไม้ไปในที่สุด ทว่ากระโดดไปแขวนอยู่บนกิ่งไม้ได้ก็ยังเผลอตัวสาดสายตากลับมาที่เดิมอีกครั้ง
ดวงตาคมกล้าที่เพิ่งหันกลับมา เบิกกว้างขึ้นยามพบว่า… หน้าต่างเปิดออก
เขาหยุดสมอง และความคิดตัวเองปีนป่ายให้พ้นจังหวะการมองหาของเจ้าของบ้าน ไม่รู้ผีทักหรืออย่างไร ยัยตัวจ้อยถึงได้สงสัยว่ามีใครมอง!
“ฮึ” เขาแค่นหัวเราะ สะบัดหน้าแรงๆ แล้วหันกลับไปมองบ้านหลังน้อยอีกครั้ง ใบหน้าปรากฏรอยยิ้ม พร้อมส่ายหน้า แล้วทิ้งกายลงสู่อีกฝั่งเสียที
เช้านี้คนทั้งบ้านวุ่นวายไม่พอ คนนอกบ้านก็มาช่วยวุ่นวายอีกโข อัยรินมองไปมองมา คนโน้นคนนี้ตระเตรียมงานหลายต่อหลายอย่าง หากหัวใจของหญิงสาวกำลังว้าวุ่นอย่างที่สุด
“คุณหญิงเป็นยังไงบ้างคะลุงรันย์”
วรันย์ถอนหายใจหนักๆ ปากที่กำลังขยับออกคำสั่งคนในบ้านชะงักงัน โบกมือไล่เด็กในบ้านที่ตนกำลังสั่งงานแล้วหันกลับมาหาหลานสาว
“ยังร้องไห้อยู่เลย คงเสียใจมาก”
ทั้งๆ ที่คนรอบข้างก็เตือน แต่คุณหญิงวารีก็หนักแน่นในการตัดสินใจ จนสุดท้ายผลออกมาเลวร้ายกว่าที่ควรเป็น
“คุณมาวินหนีไปตอนไหนนะ”
นั่นสิ หัวคิ้วของบอดี้การ์ดสูงวัยขมวดแน่น หากก็ส่ายหน้าในเวลาต่อมา
“ภายนอกเหมือนคนไม่เอาไหน แต่ถ้าได้ลงมือทำแล้วคุณมาวินไม่แพ้คุณวาของเธอหรอกนะ”
อัยรินเบ้ปาก เหลือบตามองไปทางอื่นเป็นเชิงไม่เห็นด้วย
วรันย์จึงส่ายหน้า หัวเราะออกมาคำหนึ่งแล้วเดินออกไปสั่งงานต่อ ทิ้งให้สาวน้อยชะเง้อคอมองบันไดขึ้นชั้นสองตาละห้อย รอคอยใครสักคนลงมาออกคำสั่งหรือเล่าอะไรให้ฟังบ้าง ความอยากรู้ไม่สู้ความห่วงใย หากก็ไม่อาจทิ้งงานที่ถูกสั่งเอาไว้เบื้องหน้าไปได้ แม้เจ้าบ่าวจะหายหัว แต่แขกเหรื่อที่ได้การ์ดเชิญก็มากันอย่างต่อเนื่อง นัยน์ตาคู่หวานกวาดมองผู้คนมากหน้าหลายตาที่ประโคมเครื่องแต่งงานมาจนแยงตาแทบบอด แล้วเม้มปาก กำมือแน่นอย่างหงุดหงิดใจ
“ถ้าคิดจะหนี ทำไมไม่หนีก่อนแจกการ์ดนะ แจกออกไปตั้งเยอะ คนแยะขนาดนี้ ลำบากคนอื่น!”
“ฮัดเช้ย!” อาการจามอย่างไม่มีเหตุผลทำให้คนที่กำลังขับรถสะดุ้งตาม
“ไม่สบายหรือไง” คริสถาม เมื่อเห็นเพื่อนสะบัดหน้าแรงๆ คล้ายมีปัญหา นึกเป็นห่วงด้วยหนีกันมาตั้งแต่เมื่อคืน ยังไม่ได้พักผ่อนด้วยซ้ำ
หากมาวินกลับหัวเราะลงคอ รำพึงเบาๆ อย่างขมขื่น “สงสัยคนที่บ้านกำลังคิดถึง”
คริสเลิกคิ้ว เหลือบมองคนพูดประโยคเมื่อครู่ด้วยความรู้สึกหลากหลาย แต่ที่ชัดเจนที่สุดคงเป็นความกังวล
“นายไม่เคยขัดที่บ้านเลยเหรอ”
ตั้งแต่รู้จักกัน ไม่ว่าจะพ่อ แม่ หรือแม้กระทั่งน้องชาย มาวินก็มักทำตามที่อีกฝ่ายบอกเสมอ ยกตัวอย่างตอนที่เขาพบบิดาของเพื่อนครั้งแรก ถูกซ้อมจนน่วม แถมผู้ให้กำเนิดของมาวินยังยื่นคำขาด หลังจากนั้นเพื่อนของเขาก็เปลี่ยนไป
ที่ผ่านมาไม่รู้ว่ามาวินใช้ชีวิตในกรอบของคนอื่นเช่นนี้ได้อย่างไร เขาเองคิดตามไม่ได้ เพราะชีวิตของเด็กกำพร้าก็อิสรเสรีจนแทบไม่มีที่ซุกหัวนอน กระทั่งได้พบอีกฝ่าย เขาก็ค้นพบคำว่าบุญคุณ และมิตรภาพพร้อมๆ กัน
“ฉันไม่ใช่คนดีหรอก ตอนที่ช่วยนาย ฉันก็มีแผนการในใจตลอด”
มาวินเคยบอกเขาตรงๆ ตอนที่อีกฝ่ายต้องกลับเมืองไทย ตอนนั้นเขายังมึนงง ไม่เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย กระทั่งเพื่อนยื่นกุญแจรถพร้อมเอกสารของอพาทเม้นท์ให้ เขาจึงเข้าใจ
มันตั้งใจจะไล่เขาออกไปจากชีวิตหรือให้ชีวิตใหม่กับเขากันแน่ เขาเคยสงสัย แต่ก็ได้คำตอบในเวลาต่อมาไม่นานนัก คนคนนี้ไม่ใช่คนดีจริงๆ หากก็ไม่ใช่คนเลวอย่างที่ใครเข้าใจ
เพื่อนของเขามีหัวใจ และดูเหมือนมันจะไม่มีใครนอกจากเขาคนเดียว
หนุ่มนัยน์ตาสีฟ้าผู้รักอิสรเสรีจึงเฝ้ารอการติดต่อมาของเพื่อนด้วยความคิดที่ว่า… อย่างไรเสียเขาก็ไม่มีใคร มาวินก็ไม่มีใคร คนไม่มีใครสองคนอยู่ด้วยกันน่าจะดี เพราะฉะนั้นหลังจากได้รับการติดต่อจากมาวิน เขาก็เคลียร์ทุกอย่าง ยกสมบัติที่หามาได้ให้อดีตภรรยาเป็นค่าเลี้ยงดู แล้วบินด่วนมาเมืองไทยเพื่อ… อยู่ข้างๆ มันทันที
เขาดูเป็นคนดี และใช่ เขายอมรับว่าตัวเองเป็นคนดี!
ส่วนเพื่อนนั้น… ดีแหละ แต่ไม่มากเท่าเขา
**** เนื้อหายังมีติดขัดต้องขออภัยนะคะ
ฝากหนูอัยย์กับมาวินด้วยนะคะ
เนื้อหาที่ลงยังไม่มีการปรับแก้ ตรวจคำผิด
อาจมีบางส่วนผิดพลาดต้องขออภัยด้วยนะคะ
ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอด ทุกๆ เรื่องเลยนะคะ
รัก... เอริณ